เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 240 เธอทำให้มู่เหย่ประทับใจมาก
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 240 เธอทำให้มู่เหย่ประทับใจมาก
บทที่ 240 เธอทำให้มู่เหย่ประทับใจมาก
จู่ ๆ หูของไป๋อวี้ซิ่วก็ได้ยินคำพูดของเถาจื่อแว่วมาโดยไม่รู้ตัว
‘สิ่งที่ฉันนำมาคืองูเจ็ดดอก มันว่องไวมากและมีพิษร้ายแรง พิษของมันแค่เล็กน้อยก็เปลี่ยนผู้คนให้กลายเป็นคนสติฟั่นเฟือนได้แล้ว!’
‘และฉันเอาพวกมันมาหกตัว ฉะนั้นไม่ต้องห่วง ผู้หญิงคนนั้นตายแน่นอน!’
ตาย?
เธอเงยหน้าขึ้นมองเจียงหว่านที่กำลังเคี้ยวเนื้องู และพูดคุยอย่างสนุกสนานกับทุกคน นี่คือสิ่งที่เรียกว่าตายของเถาจื่อเหรอ?
เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อระงับความโกรธที่ท่วมท้นอยู่ในใจ และเธอก็เกือบจะระเบิดมันออกมา
ให้ตายเถอะ ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงฆ่าไม่ตายสักที? พระเจ้าตาบอดหรือไง?
เธอกัดฟันด้วยความเกลียดชัง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทันใดนั้น หางตาเธอก็เหลือไปเห็นถุงกระดาษใบเล็กที่อยู่ใต้ผ้าห่ม
เป็นยาที่เถาจื่อมอบให้เธอ ยาที่อาจทำให้คนสติเลือนลาง และทำให้อีกฝ่ายทำตามคำสั่ง
ตอนได้ยานี้ ไป๋อวี้ซิ่วถามเถาจื่อว่า ‘นี่ได้จะผลไหม? มีผลแค่ไหน’
คำตอบของเถาจื่อคือ ‘แน่นอน มันได้ผล พี่ชานเตรียมมันเองกับมือและฉันก็เคยใช้ด้วย’
“คนที่ไม่ยอมแตะต้องฉัน พอฉันใช้ยานี้ พวกเขาก็ขอร้องฉันทุกราย…”
คำพูดของเถาจื่อดังก้องอยู่ในหู แต่เมื่อมองดูงูย่างในมือของเจียงหว่าน เธอก็รู้สึกไม่เชื่อคำพูดของผู้หญิงคนนั้นเลย
วิธีที่ดีที่สุดคือหาคนมาทดสอบประสิทธิภาพของยา
แต่จะหาใครมาลองล่ะ?
เธอแทบไม่ได้ลุกออกจากเตียง และไม่ได้มีใครอยากเข้าใกล้เธอด้วย
เมื่อกำลังกังวล เสิ่นหรูเหมยก็เปิดประตูแล้วเดินเข้ามา “ฉันเอาอาหารเย็นมาให้ พี่สะใภ้เฉียวกำลังกินงูย่าง แต่บาดแผลของเธอไม่สามารถกินอาหารที่มีพิษแบบนั้นได้ ฉันจึงให้เธอกินไม่ได้”
เสิ่นหรูเหมยอธิบาย และวางอาหารเย็นลงบนโต๊ะ
บางทีเธออาจจะกลัวว่าไป๋อวี้ซิ่วจะอาละวาดเหมือนที่หล่อนเคยทำ เธอจึงรีบวางอาหารเย็น และหันหลังเดินออกไปทันที
ไป๋อวี้ซิ่วมองดูอีกฝ่ายจากไปอย่างรวดเร็ว และดวงตาก็สว่างวาบด้วยความดีใจ
นึกออกแล้ว ทดลองกับยัยนี่นี่แหละ!
เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอก็เดินไปที่โต๊ะแล้วหยิบขวดน้ำตาลของเสิ่นหรูเหมยขึ้นมา
ไป๋อวี้ซิ่วมองไปที่เจียงหว่าน และเจียงหว่านก็มองเธออยู่เช่นกัน
เจียงหว่านไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนว่าเธอสามารถมองเห็นไป๋อวี้ซิ่วได้ชัดเจนจากมุมนี้
แม้ว่าเจียงหว่านจะไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย แต่แค่คิดถึงสีหน้าของหล่อนตอนนี้ มันก็ทำให้เจียงหว่านอารมณ์ดีแล้ว
“นายคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับไป๋อวี้ซิ่วหรือเปล่า?” เจียงหว่านถามเฉียวเหลียนเฉิง
เฉียวเหลียนเฉิงนิ่งเงียบ ก่อนจะพูดว่า “ต้องเกี่ยวแน่ ๆ เธอคงตั้งใจทำมัน วันที่เธออาละวาด”
“จุดประสงค์ก็เพื่อล่อพวกเราไปที่นั่น แล้วให้คนเอางูมาปล่อยเข้าบ้าน”
เจียงหว่านก็คิดเช่นเดียวกัน เธอถามว่า “ว่าแต่ใครเป็นคนเอามาปล่อยล่ะ?”
“คนที่สามารถจับงูได้คือคนจากหมู่บ้านนายพราน วันนี้พวกเขาเพิ่งจะมาที่นี่กัน คนที่มาคือเสี่ยวซานกับเถาจื่อ และพวกเขาก็ออกไปตอนที่ไป๋อวี้ซิ่วกำลังอาละวาด”
“เขาไปแล้วกลับมาหรือเปล่า?”
เฉียวเหลียนเฉิงถาม “เสี่ยวซานจะกลับมาอีกตอนไหน?”
เจียงหว่านกล่าวว่า “เขาไปรับหมูป่าอีกสามวัน และจะส่งรายการของมาให้ด้วย”
เฉียวเหลียนเฉิงกล่าวว่า “คุณจะรู้ได้เมื่อคุณถามเขา แต่คุณก็ควรระวังตัวไว้ ไม่รับประกันว่าจะมีงูอยู่ในฟาร์มอีกไหม!”
เจียงหว่านฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี การต่อสู้กับงูในวันนี้ได้พัฒนาทักษะการจับงูของเธอขึ้นไปอีกระดับหนึ่งแล้ว
ยังไงก็ตาม ปกติผู้หญิงมักจะรู้สึกหวาดกลัวกับเรื่องพวกนี้
แม้ว่าเธอจะแก้แค้นด้วยการกินเนื้องู แต่เธอก็ยังคงไม่อยากเห็น ‘แท่งพิษเล็ก ๆ’ เหล่านี้อีก
เนื่องจากมีงูหกตัว เฉียวเหลียนเฉิงจึงเรียกทุกคนในฟาร์มมากินด้วยกัน
ขณะคนอื่น ๆ รวมตัว และพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน มู่เหย่ก็เข้ามาถามเจียงหว่าน
“ดูไม่ออกเลยว่าเธอจับงูได้ อยากรู้จริง ๆ ว่ามีอะไรที่เธอทำไม่ได้บ้าง?”
เจียงหว่านเลิกคิ้วอย่างภาคภูมิใจ “แทบไม่มีเลย ตอนนี้นายคงรู้แล้วสิว่าฉันเป็นใคร ฉันเป็นหญิงสาวผู้แข็งแกร่งไงล่ะ!”
มู่เหย่พูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง
แล้วเขาก็พูดต่อว่า “พรุ่งนี้ฉันจะไปแล้ว ต้องเอาพิษงูไปให้คุณยายให้เร็วที่สุด”
“ครั้งนี้ฉันอยากจะมาขอบคุณ เพราะพิษงูนี้เพียงพอให้คุณยายใช้ได้สามปีเลยล่ะ”
เจียงหว่านประหลาดใจ “ทำไมใช้ได้นานขนาดนนั้นล่ะ!”
“นายได้ของไปมากมายโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท นายจะขอบคุณฉันยังไง!”
มู่เหย่ยิ้ม แล้วพูดว่า “ตอนนี้เราทำธุรกิจด้วยกันแล้ว ยังจำเป็นต้องคำนวณอะไรให้ชัดเจนอีกเหรอ?”
เจียงหว่านยิ้ม “เหลวไหล ในเมื่อนายบอกว่าร่วมมือกัน ดังนั้นเราก็ต้องทำความเข้าใจกันให้ชัดเจนสิ”
มู่เหย่ถามอย่างหดหู่ “งั้นเธอจะเอาเท่าไหร่? มาตกลงกันก่อน แต่อย่าให้แพงกว่าหมู่บ้านนายพรานนะ!”
เจียงหว่านคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เงินน่ะฉันไม่ต้องการหรอก ทำไมนายไม่ลองออกรถให้ฉันล่ะ!”
“ฮะ?” มู่เหย่สับสน
รถยนต์ที่ถูกที่สุดในปัจจุบันก็ราคาหนึ่งหมื่นถึงสองหมื่นหยวนได้ เธอเอ่ยปากขอรถแบบนี้ มันโหดไปหรือเปล่า!
เจียงหว่านกล่าวต่อ “มันไม่การขอเปล่า แต่ฉันจะกู้ยืม เพราะเสบียงที่ส่งไปหมู่บ้านนายพรานต้องใช้รถขน ฉันแบกมันไปเองไม่ไหวหรอก!”
มู่เหย่ก็คิดแบบนั้น
ทันใดนั้นเฉียวเหลียนเฉิงที่กำลังฟังอยู่ข้าง ๆ ก็พูดแทรก
“ทำไมพวกคุณไม่ร่วมมือกันเปิดบริษัทล่ะ”
“วิธีนี้ทำให้เราสามารถแบ่งปันทรัพยากรกันได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องการยืมรถ”
”ยิ่งไปกว่านั้น หว่านหว่านยังช่วยนายเรื่องการตลาดและบรรจุภัณฑ์ได้อีกด้วย ทั้งสองคนจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกันเห็น ๆ!”
มู่เหย่รู้สึกประหลาดใจ ไม่คิดว่าเฉียวเหลียนเฉิงจะพูดแบบนี้
ส่วนเจียงหว่านไม่มีปัญหากับสิ่งที่เขาพูด เพราะเธอได้บอกเฉียวเหลียนเฉิงไปแล้วว่า วิธีที่ดีที่สุดที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายคือการเปิดบริษัทด้วยกัน
เพียงแต่ตอนนี้เธอไม่มีทุนมากพอ เธอจึงอายที่จะพูด
แต่เฉียวเหลียนเฉิงกลับพูดสิ่งนี้โดยไม่คาดคิด
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่เหย่ก็เหลือบมองเจียงหว่าน และพูดจากวนโอ๊ยอีกครั้ง
“ยัยหมูน้อย เมื่อพูดถึงการต่อสู้ อย่างการต่อสู้กับหมูป่าและงู ฉันยอมรับว่าเธอเก่งมาก!”
“แต่การเปิดบริษัทมันต่างกัน เธอคิดว่าเธอจะเปิดบริษัทด้วยการเอามีดเสียบเอวแล้วเดินไปมาได้ไหม?”
เจียงหว่านจ้องมองเขาด้วยความโกรธ “นายกำลังพูดอะไร เราตกลงกันแล้วว่าจะไม่เรียกฉันว่าหมู อยากโดนรึไง?”
“อีกอย่าง เวลาไหนที่ฉันมีมีดอยู่ในมือ นั่นไม่ได้เกี่ยวกับเปิดบริษัท แต่ฉันกำลังจะไปฆ่าคน เข้าใจนะ!”
“เจ้าเด็กน้อย หัดมองดูผู้คนผ่านรอยแยกประตูหน่อยไม่ได้เหรอ?”
“นายไม่เคยเห็นมาก่อน นายรู้ได้ยังไงว่าฉันทำไม่ได้!”
มู่เหย่เริ่มอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา เขายกคางขึ้นอย่างท้าทาย และมองเจียงหว่าน
“เอาล่ะ ถ้าเธอคิดว่าเธอมีความสามารถมากพอ บอกฉันทีว่าเธอวางแผนจะบริหารมันยังไง!”
“ตราบใดสิ่งที่เธอพูดทำให้ฉันประทับใจ ฉันตกลงจะร่วมเปิดบริษัทกับเธอ จัดหาเงินทุนเริ่มต้นให้ ให้เธอจะเป็นผู้ตัดสินใจในการดำเนินงานและการจัดการ รวมทั้งแบ่งกำไรกันแบบห้าสิบ ๆ!”
เจียงหว่านยิ้ม “นายกำลังทดสอบฉันเหรอ?”
มู่เหย่แค่นเสียงอย่างดูถูก “ใช่ ฉันอยากทดสอบเธอ”
“ยังไงฉันก็มาจากเมืองหลวง แต่ฉันยังไม่เคยเห็นแผนธุรกิจแบบนี้มาก่อน ฉันอยากรู้ว่าเธอจะมีแนวคิดอะไรใหม่ ๆ บ้าง”
เจียงหว่านคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เอาล่ะ หากนายต้องการเริ่มต้นเปิดบริษัท นายต้องเริ่มต้นด้วยการจดทะเบียนแบรนด์ ตามด้วยบรรจุภัณฑ์และการประชาสัมพันธ์…”
เจียงหว่านพูดอย่างฉะฉาน และอธิบายแผนธุรกิจที่เธอคิดมาหลายวันแล้ว
ตอนแรกมู่เหย่ยังคงแทะเนื้องูอยู่อย่างสบาย ๆ แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดทุกอย่าง
แม้แต่งูย่างในมือก็ร่วงลงกับพื้นด้วยความประหลาดใจ เขาไม่ได้สนใจงูอีก
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเจียงหว่านพูดจบ มู่เหย่ก็กลับมาได้สติอีกครั้ง
“คุณเฉียว เมียของคุณนี่มีความสามารถจริง ๆ!”
เจียงหว่านพูดอย่างภาคภูมิใจ “แล้วพอจะทำให้นายพอใจได้บ้างไหมล่ะ”
มู่เหย่พยักหน้ารัว ๆ เหมือนไก่จิกข้าว “พอใจสิ พอใจมาก!”
“เท่านั้นแหละ กลับไปคราวนี้ฉันจะจดทะเบียนบริษัท ฉันเป็นนิติบุคคล และเธอเป็นหุ้นส่วน บริษัทเป็นของเราทั้งคู่ และการแบ่งกำไรจะอยู่ที่ห้าสิบห้าสิบ”
เจียงหว่านยิ้มอย่างพึงพอใจ ตอนนี้เธอมีเงินเพื่อซื้อของและรถยนต์แล้ว
แล้วแบบนี้เงินก้อนแรกจะยังอยู่อีกไกลไหมนะ?
คืนนี้ทุกคนต่างมีช่วงเวลาที่ดี และเข้านอนกันดึกนิดหน่อย
เป็นเวลาเก้าโมงเช้าที่เจียงหว่านลืมตาขึ้นมา
เฉียวเหลียนเฉิงกลับมาจากการฝึกพอดี และพอเห็นว่าเธอตื่นแล้ว เขาจึงรีบนำอาหารเช้ามาให้
“เสิ่นหรูเหมยกำลังตามหาคุณอยู่น่ะ”
เจียงหว่านมองเท้าของตัวเองที่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว “เธอมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
เฉียวเหลียนเฉิงลังเลที่จะพูด เมื่อเห็นเจียงหว่านมองดูอย่างสับสน เขาจึงกล่าวว่า
“หมูป่าตัวนั้นที่ส่งมาจากหมู่บ้านนายพรานใช้การไม่ได้ เธอต้องการให้คุณปรึกษากับทางหมู่บ้านว่า จะขอเปลี่ยนเป็นหมูป่าที่สามารถใช้การได้”
เจียงหว่านสับสนอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เธอจะเข้าใจว่า ’ใช้การได้’ หมายถึงอะไร
หลังจากทานอาหารแล้ว เจียงหว่านพร้อมด้วยเฉียวเหลียนเฉิงก็ไปที่ฟาร์มหมูพร้อมไม้ค้ำ
เท้าของเธอหายดีแล้ว แต่เฉียวเหลียนเฉิงกลัวว่าจะเดินไม่มั่นคง อย่างน้อยการมีไม้ค้ำก็ทำให้เธอทรงตัวได้ดีมากกว่า
เมื่อพวกเขามาถึง ก็เห็นเสิ่นหรูเหมยที่ยืนอยู่หน้าคอกหมูป่ากำลังเป็นกังวล
เสิ่นหรูเหมยกล่าวทักทายอย่างกระตือรือร้น แล้วหยิบแก้วในมือยื่นให้เจียงหว่าน
“ฉันเพิ่งทำน้ำหวานมา เธอลองดื่มดูสักหน่อยสิ!”