เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 236 ไม่มีคำว่า ‘ให้อภัย’ ในพจนานุกรมของฉัน
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 236 ไม่มีคำว่า ‘ให้อภัย’ ในพจนานุกรมของฉัน
บทที่ 236 ไม่มีคำว่า ‘ให้อภัย’ ในพจนานุกรมของฉัน
เฉียวเหลียนเฉิงตะโกนด้วยความเสียใจ “หว่านหว่าน!”
เจียงหว่านตะคอกกลับทันที “เข้าใจรึยัง?”
ความเยือกเย็นนี้จรดไปถึงคอหอย ทำให้เฉียวเหลียนเฉิงขุนลุกซู่
เจียงหว่านเอ่ยต่อ “นี่นายพูดคุยต่อรองกับลูกน้องอย่างนี้ตลอดเลยเหรอ?”
เฉียวเหลียนเฉิงตอบด้วยความหดหู่ “แต่ว่าคุณเป็นภรรยาของผม!”
เจียงหว่านกระแอมในคอหนึ่งที “ผู้ชายของฉันจะไม่ยอมแพ้หากยังไม่ได้สู้ นายยังไม่ได้เริ่มเรียนก็คิดว่าตนเองทำไม่ได้แล้วเหรอ?”
“เฉียวเหลียนเฉิง ตอนนายอยู่ที่หนานหลี นายเผชิญหน้ากับศัตรูมากมาย และฝ่าออกจากวงล้อมจนได้ ตอนนั้นก่อนลงมือนายเคยคิดว่าจะทำไม่ได้รึเปล่า?”
“แล้วตอนนายรอดตายหวุดหวิดในป่าลึก ตอนนั้นนายคิดว่าทำไม่ได้บ้างไหม?”
“ตอนนี้นายแค่ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากเพียงน้อยนิด กับอีแค่กฎเกณฑ์บางอย่างที่ไม่ได้เสี่ยงชีวิตเลย ทำไมนายถึงคิดว่านายทำไม่ได้!”
พอถูกเธอพูดถึงขนาดนี้ เฉียวเหลียนเฉิงพลันรู้สึกเลือดในกายพลุ่งพล่านขึ้นมา
ใช่แล้ว เมื่อตอนเป็นเด็กเขากระหายที่จะเรียนรู้ เห็นเด็กคนอื่นไปเรียนหนังสือ แต่เขากลับทำได้แค่อยู่บ้านหุงข้าวทำอาหาร ทำงานบ้าน ตอนนั้นก็แอบเสียใจ
แต่เขาไม่มีทางเลือก จึงเหลือเพียงความใฝ่ฝัน
วันนี้ในเมื่อเขามีโอกาสเรียนแล้ว ทำไมถึงพูดว่าทำไม่ได้นะ
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีครูที่ดีอย่างเจียงหว่านคอยสอนอยู่ทั้งคนด้วย
ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เขาจึงพูดว่า “ได้ ผมจะเรียน!”
เจียงหว่านแค่นหัวเราะออกมา “เสียงของนายทำไมมันเบาอย่างนี้ ฉันไม่ได้ยินเลย แล้วก็ไม่เห็นความมั่นใจของนายด้วย พูดมาดัง ๆ สิ ให้ฉันเห็นความมั่นใจของนายหน่อย!”
เฉียวเหลียนเฉิงหน้าแดงก่ำ เขาพลันลุกขึ้นยืน แล้วตะโกนด้วยความมั่นใจ
“เรียนคุณภรรยา ผมมั่นใจว่าผมจะเรียนจบหลักสูตรภายในหนึ่งปี แล้วปีหน้าผมจะเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร!”
เจียงหว่านยิ้มกว้าง
ยังไม่รอให้เธอได้พูดอะไร ทันใดนั้นเฉียวเหลียนเฉิงก็ลดเสียง ทำเสียงอ่อนเสียงหวานถาม
“หว่านหว่าน คุณไม่หย่าแล้วใช่ไหม”
เจียงหว่านถึงกับยิ้มออกมา “ฉันไม่ได้พูดว่าจะไม่หย่าสักหน่อย!”
“หา?” เฉียวเหลียนเฉิงสับสน หัวใจพลันร่วงลงทันที
เจียงหว่านกระแอมในคอ จงใจทอดสายตามองเข้าไปในดวงตาของเฉียวเหลียนเฉิง “นี่เป็นการเริ่มต้นใหม่เท่านั้น ฉันยังจะต้องศึกษาว่านายเหมาะสมที่ฉันจะใช้ชีวิตที่เหลือด้วยหรือเปล่า”
“แน่นอนว่าฉันก็ต้องเริ่มบ่มเพาะความรู้สึกใหม่อีกครั้งด้วย!”
“อื้ม!” หัวใจของเฉียวเหลียนเฉิงออกโบยบินขึ้นมาอีกครั้ง
เขารีบวิ่งไปคว้ามือเจียงหว่านมากุมไว้ “ได้ ๆ เริ่มใหม่กันนะ!”
เขาพูดซ้ำ ๆ อย่างนั้น มือที่กุมมือเจียงหว่านอยู่สั่นอย่าควบคุมไม่ได้
เจียงหว่านรู้สึกได้ถึงความสุขของเขาเช่นกัน มันทำให้แก้มของเธอแดงระเรื่อ จนสายตาที่เขินอายเสมองไปทางอื่น
“อย่าเพิ่งดีใจไป หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ขึ้นอยู่กับความประพฤติของนายแล้ว”
เฉียวเหลียนเฉิงพยักหน้าราวกับลูกไก่กำลังจิกข้าวสาร “ได้ ๆ ผมจะประพฤติตัวให้ดี!”
เจียงหว่านขมวดคิ้ว “งั้นตอนนี้ก็ถึงเวลาที่นายจะได้ประพฤติตัวดี ๆ แล้ว เอาล่ะ เอารองเท้าฉันคืนมา”
รอยยิ้มบนใบหน้าเฉียวเหลียนเฉิงหุบลงทันทีเมื่อได้ยินอย่างนี้ เขาส่ายหน้าหนักแน่น แสดงออกว่าไม่ได้เต็มที่
เจียงหว่านจ้องเขม็ง “นี่นายจะกักบริเวณฉันเหรอ? แค่เพราะฉันต้องรักษาอาการบาดเจ็บ นายถึงกับต้องกักขังฉันเลยเหรอ!”
เฉียวเหลียนเฉิงรีบอธิบาย “ไม่ใช่ รองเท้าของคุณซักอยู่ มันยังไม่แห้ง คุณอดทนหน่อยนะ พรุ่งนี้ก็แห้งแล้ว”
พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็กล่าวขอโทษด้วยความสลด “ขอโทษ เป็นเพราะผมไม่ใส่ใจ ก่อนหน้านี้ไม่เคยสังเกตว่าคุณมีรองเท้าเพียงคู่เดียว ถึงจะพังแล้วก็ยังใส่อยู่”
“ตะกี้ผมเพิ่งกำชับเจียงเฉิงไป ครั้งหน้าให้เขานำรองเท้าคู่ใหม่มาให้คุณด้วย”
“แล้วตอนบ่ายผมก็ทำไม้ค้ำให้คุณแล้ว พรุ่งนี้ก็ใช้ไม้เท้าช่วยได้”
แบบนี้ก็ไม่เลว เจียงหว่านถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ “งั้นไปนอนได้แล้ว”
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เฉียวเหลียนเฉิงนำรองเท้าและไม้ค้ำมาให้เจียงหว่าน และเขาก็พยุงเธอมานั่งตากแดดในสวน
แสงแดดในฤดูใบไม้ร่วงไม่ได้แรงเท่าไหร่นัก เมื่อกระทบกับร่างกายก็ทำให้รู้สึกอบอุ่น จนเธอรู้สึกง่วงนอนขึ้นมา
ส่วนเฉียวเหลียนเฉิงก็ยังไม่เข็ด เขากำลังออกกำลังหาย ทำท่าก้มตัวย่อขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ใต้ต้นไม้
ครั้งนี้เจียงหว่านไม่ได้ห้ามเขา ตราบที่ไม่ได้กระทบกับแขนก็เพียงพอแล้ว
ตอนนี้ข้อเท้าของเธอบวมน้อยกว่าเมื่อวาน ดูเหมือนว่ายาของลุงฝูจะได้ผล ทำให้เธอมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของลุงฝูมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันนี้เอง พลันมีเสียงดังเอะอะมาจากข้างนอก
เฉียวเหลียนเฉิงหยุดออกกำลังกายเตรียมจะออกไปดู แต่หลี่จ้วงจ้วงก็วิ่งเข้ามาก่อน
“หัวหน้า คนของหมู่บ้านนายพรานมาแล้ว และพวกเขายังนำหมู่ป่ามาตัวนึงด้วย บอกว่าให้พวกเราน่ะ!”
“ฮ่า ๆ” เจียงหว่านหัวเราะลั่น
เฉียวเหลียนเฉียวหน้าขรึมขึ้น “นั่นเอาไว้ให้เราเพาะพันธ์ุหมู ไม่ได้ให้เราเปล่า ๆ!”
หลี่จ้วงจ้วงตะลึงงัน รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
“นายไปจัดการซะ จะขังไว้ที่ไหนให้ไปถามผู้เชี่ยวชาญเสิ่น” เฉียวเหลียนเฉิงออกคำสั่ง
หลี่จ้วงจ้วงตอบรับแล้ววิ่งออกไป
เฉียวเหลียนเฉิงกล่าวอย่างอารมณ์ดี “พอดีกับที่พวกเรามีแม่พันธุ์จะผสมสองสามตัวเลย”
“ไม่ต้องส่งรายงานแล้วเหรอ?” เจียงหว่านเอ่ยถาม
เฉียวเหลียนเฉิงส่ายหน้า “ไม่ต้อง เมื่อวานผมบอกเจียงเฉิงแล้ว เขาบอกว่าเรื่องนี้ให้ผมตัดสินใจได้เลย ที่ผ่านมาอัตราการรอดของหมูต่ำมาก ดังนั้น ไม่ว่าผมจะทำยังไงก็จะไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้วล่ะ”
มีเหตุผล!
ทั้งคู่กำลังคุยกัน แต่จู่ ๆ ก็ได้มีเสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกล ปรากฏว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามา และเมื่อเข้ามาใกล้ เธอก็คุกเข่าลงตรงหน้าเจียงหว่าน
“สหายเจียง ฉันผิดไปแล้ว เธอให้อภัยฉันเถอะ!”
เจียงหว่านตกใจมาก พอมองอย่างละเอียดก็จำได้ ผู้หญิงคนนี้คือ เถาจื่อจากหมู่บ้านนายพราน
เพราะไม่เจอกันหลายวัน และเถาจื่อก็ซีดเซียวลงไปมาก ถึงแม้ว่าเสื้อคลุมที่ใส่จะทำให้หุ่นเธอดูพอดี แต่ร่างบอบบางที่กำลังคุกเข่าอยู่ราวกับว่า หากถูกลมพัดสักนิดก็คงจะปลิวล้มลงไปได้ทันทีอย่างไรอย่างนั้น
ใบหน้าด้านหนึ่งของหล่อนกระตุกขึ้นเป็นครั้งคราว ด้วยความถี่สม่ำเสมอ
เพียงแต่ทุกครั้งที่กระตุก กล้ามเนื้อหน้าก็จะขยับไปด้วย ทำให้ใบหน้าของเธอยิ่งดุร้าย และน่ากลัวมากยิ่งขึ้น!
เจียงหว่านเอ่ยอย่างเย็นชา “ใครสั่งให้เธอมา?”
เถาจื่อไม่ได้ปิดบัง “หัวหน้าหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านบอกว่า ถ้าเธอไม่ให้อภัยฉัน ก็จะให้ฉันออกจากหมู่บ้านไปซะ”
“ต้าหลางกับพี่ชานก็จะมาด้วย เพียงแต่โทษโบยที่พวกเขาได้รับค่อนข้างหนัก เลยลงมาจากเตียงไม่ได้”
เจียงหว่านแค่นยิ้ม “พูดแบบนี้แสดงว่าเธอไม่ได้ถูกโบยเหรอ?”
เถาจื่อดึงหน้า เพราะยังคงรู้สึกว่าหลังที่ถูกตียังเจ็บแสบ ๆ อยู่ อีกทั้งความแค้นในใจก็ยังคงพรั่งพรูออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
เพียงแต่ หากครั้งนี้ไม่ได้รับการให้อภัยจากเจียงหว่าน เกรงว่ากลับไปคงจะถูกโบยตีอีก เธอจึงทำได้แค่อธิบายด้วยความอดทน “ตีแล้ว ฉันโดนโบยตีสิบที หัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าหนึ่งเดือนจะตีฉันสิบที หากตีให้เสร็จในครั้งเดียวเกรงว่าฉันจะตายเสียก่อน”
“ขอโทษนะ สหายเจียง ฉันรู้ว่าฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่ควรคิดร้ายต่อเธอ ให้อภัยฉันเถอะ!”
แม้ว่าท่าทางของเถาจื่อจะถ่อมเนื้อถ่อมตัวอย่างยิ่ง แต่ทว่าความแค้นในดวงตาทำอย่างไรก็ไม่อาจปิดบังได้
เพียวแวบเดียวเจียงหว่านก็มองทะลุไปถึงความคิดในจิตใจของอีกฝ่ายแล้ว เธอจึงพูดอย่างเย็นชา “เธอมาขอให้ฉันให้อภัยถึงที่นี่ เพราะกลัวว่าจะโดนไล่ออกจากหมู่บ้านสินะ!”
เถาจื่อรีบปฏิเสธทันที “ไม่ใช่ ๆ ฉันรู้สึกผิดแล้ว ฉันรู้สึกผิดแล้วจริง ๆ”
เจียงหว่านขัดจังหวะด้วยความรำคาญ “พอแล้ว ขอโทษอย่างไม่บริสุทธิ์ใจแบบนี้ ไม่ว่าเธอจะสำนึกผิดหรือเปล่า ฉันก็จะไม่ให้อภัยเธอหรอก”
“และในพจนานุกรมของเจียงหว่าน ไม่มีคำว่าให้อภัย!”
เถาจื่อยังคงพูดต่อไปไม่หยุด เจียงหว่านจึงเอาไม้ค้ำในมือกระแทกลงพื้น “ถ้ายังไม่ไปอีกฉันจะตบเธอ!”