เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 231 ประสบการณ์ชีวิตของเฉียวเหลียนเฉิง
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 231 ประสบการณ์ชีวิตของเฉียวเหลียนเฉิง
บทที่ 231 ประสบการณ์ชีวิตของเฉียวเหลียนเฉิง
ไม่นาน เฉียวเหลียนเฉินก็กลับเข้ามาอีกครั้ง ทว่าไม่มีรองเท้าของเจียงหว่านกลับมาด้วย
“รองเท้าของฉันล่ะ!” เจียงหว่านถาม
เฉียวเหลียนเฉิงวางกล่องข้าวในมือลง แล้วพูดขึ้นว่า “กินข้าวก่อนเถอะ รองเท้าของคุณสกปรกมาก ผมเอาไปซักให้”
เจียงหว่านเงียบ “…”
“ฉันมีรองเท้าคู่เดียว แล้วฉันจะใส่อะไร?”
เฉียวเหลียนเฉิงถามกลับ “คุณไม่จำเป็นต้องออกไปข้างนอกนี่ ทำไมต้องใส่รองเท้าด้วย?!”
เจียงหว่านไม่รู้จะทำหน้ายังไง “แต่ฉันต้องไปเข้าห้องน้ำ และออกไปโดนแสงแดดบ้าง ฉันจะนอนเฉย ๆ บนเตียงตลอดสิบวันไม่ได้หรอกนะ”
เฉียวเหลียนเฉิงพยักหน้า “ใช่ แบบนั้นแหละ”
เจียงหว่านสับสน “อะไร?”
เขาตอบกลับ “นอนบนเตียงเป็นเวลาสิบวันนั่นแหละดีแล้ว!”
เจียงหว่านยิ่งกังวล “ไม่ได้! แล้วฉันจะไปเข้าห้องน้ำยังไงถ้าให้ฉันเอาแต่นอนอยู่บนนี้ตลอดสิบวัน?”
เฉียวเหลียนเฉิงเงียบสักพัก แล้วพูดว่า “ผมจะอุ้มคุณไปเอง”
เจียงหว่านพลันนึกคิดถึงฉากที่เธอต้องไปเข้าห้องน้ำในอ้อมแขนของเฉียวเหลียนเฉิง
ทันทีที่นึกถึงภาพนั้น ใบหน้าก็ร้อนผ่าว เลือดทั่วกายสูบฉีดอย่างบ้าคลั่ง
เธอรีบส่ายศีรษะสะบัดความคิดนั้นออกไปจากหัว
“ไม่ได้! เอารองเท้าของฉันคืนมาเถอะ ฉันจะไม่ออกไปข้างนอกหรอก”
เฉียวเหลียนเฉิงเปิดกล่องอาหารกลางวันก่อนจะขยับมันไปวางตรงหน้าของเจียงหว่าน
“รองเท้าซักไปแล้ว ยังใส่ไม่ได้ เอาล่ะ คุณกินข้าวก่อนเถอะ”
เจียงหว่านโกรธมาก แม้เธอก็รู้ว่าที่เฉียวเหลียนเฉิงทำแบบนี้ก็เพราะเท้าของเธอเอง
แต่ความรู้สึกที่ถูกควบคุมเช่นนี้ทำเธอไม่สบายใจเลย ความขบถในใจเริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย
“ก็ได้ ซักแล้วก็ซักไป งั้นหารองเท้าแตะมาให้ฉันอีกคู่ก็ได้นี่”
เฉียวเหลียนเฉิงเพิกเฉยต่อเจียงหว่าน มองเธอแล้วกล่าวเสียงหนัก “กินข้าว”
“ฉันอยากได้รองเท้า!” เห็นเขาเพิกเฉยต่อคำขอ เจียงหว่านก็ขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว
เฉียวเหลียนเฉิงยังพูดซ้ำประโยคเดิม “กินข้าว อย่าดื้อ”
เจียงหว่านกังวลมาก และยิ่งรู้สึกเหมือนถูกบังคับขึ้นไปอีก เธอโกรธจนไม่รู้จะโกรธยังไงแล้ว
“ไม่กิน! ฉันอยากได้ร้องเท้า เฉียวเหลียนเฉิง นายกำลังบังคับฉันนะ!”
เห็นว่าเจียงหว่านไม่ยอมกินข้าว เฉียวเหลียนเฉิงก็หยิบกล่องข้าวขึ้นมา เขาหยิบช้อน แล้วตักข้าวป้อนเธอ พลางกล่าวปลอบโยนให้ภรรยาใจเย็นลงไปด้วย
“กินข้าวก่อนเถอะนะ ผมคุยกับเจียงเฉิงแล้ว พรุ่งนี้เขาจะมาที่นี่เพื่อเอาหมูป่าออกไป แล้วเขาจะเอาแป้งขาวกับข้าวมาให้คุณด้วย”
“ผมจ่ายเงินให้แล้ว”
เจียงหว่านมองอาหารเช้าที่มาจ่อตรงปากก่อนจะหันหน้าหนี
เฉียวเหลียนเฉิงไม่โกรธ และยังคงพยายามป้อนต่อ
ไม่นาน เจียงหว่านก็หันกลับมา แต่ก็ยังไม่ยอมกินข้าวอยู่ดี
แล้วก็มีความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ เธอคิดว่า ถ้าเธอไม่ยอมกิน เขาก็จะคงอยู่ในท่านี้ตลอดไป
เจียงหว่านไม่เคยรู้มาก่อนว่าเฉียวเหลียนเฉิงจะมีมุมดื้อรั้นแบบนี้ด้วย
เด็กที่เกิดจากครอบครัวชาวนาธรรมดาล้วนแต่ได้เรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิตมากมาย และเป็นเพราะความพากเพียรดื้อรั้นของพวกเขาไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้พวกเขารอดชีวิตมาได้ถึงทุกวันนี้?
แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายใช้ความดื้อรั้นนั่นบีบบังคับเธอให้ยินยอม เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่!
เขาควรจะทะเลาะกับเธอไปเลยดีกว่า การทะเลาะมันดีกว่าแบบนี้ซะอีก
การประนีประนอมแต่กดดันแบบนี้ยิ่งทำให้เธออึดอัด!
ยิ่งพอเห็นว่าแขนซ้ายของเขายังคงห้อยอยู่เช่นเคย ในใจเธอก็ยิ่งหดหู่ สุดท้ายเธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมอ่อนข้อ
เธอจงใจหันศีรษะมองจ้องกลับไป
“ฉันจะกินเอง นายวางมันเถอะ ฉันไม่อยากให้นายป้อน ฉันโตแล้วไม่ใช่เด็กสามขวบ”
น้ำเสียงของเธอค่อนข้างบึ้งตึง แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความอดกลั้น
สิ่งนี้ทำให้เฉียวเหลียนเฉิงผ่อนคลาย
เขาวางทุกอย่างลง ก่อนจะดันกล่องอาหารไปด้านหน้าเจียงหว่าน
เจียงหว่านหยิบกล่องอาหารขึ้นมาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะถามว่า “นายจะคืนรองเท้าให้ฉันเมื่อไหร่?”
แม้ว่าน้ำเสียงจะเกรี้ยวกราดไปสักหน่อย แต่สีหน้าก็อ่อนลงมากแล้ว
เฉียวเหลียนเฉิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เท้าของคุณบวม และลุงฝูจะเป็นคนคืนมันให้กับคุณ หลังจากยืนยันว่าคุณหายดีแล้ว”
ทันทีที่เจียงหว่านตระหนักได้ว่าตัวเองจะไม่สามารถออกไปไหนได้เป็นเวลาสิบวัน เธอก็อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิด
“ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย!”
เฉียวเหลียนเฉิงพยักหน้า และลุกขึ้น เดินออกไปทันที
พอเขาไปถึงประตู เจียงหว่านก็ตะโกนรั้ง “เดี๋ยว!”
เฉียวเหลียนเฉิงหยุดฝีเท้าพลางหันมอง
เจียงหว่านถามอีก “แล้วตอนกลางคืน ฉันต้องนอนที่ไหน?”
เฉียวเหลียนเฉิงตอบกลับ “ที่นี่ คุณกับผมนอนที่นี่ด้วยกัน”
เจียงหว่านประหลาดใจ ในฟาร์มไม่ได้มีบ้านพักมากนัก ถ้าหากพวกเขาสองคนอยู่ที่นี่ด้วยกัน แล้วคนอื่นล่ะ?
เวลานั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เข้ามา!” เฉียวเหลียนเฉิงตะโกนบอก
ประตูเปิดออก แล้วเสิ่นหรูเหมยก็เข้ามา
“ขอโทษที่มารบกวนทั้งสองคนนะ”
“เหล่าเฉียว ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าอยากพบนาย เธอบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับนาย”
เฉียวเหลียนเฉิงขมวดคิ้ว ไม่คิดแยแส
เสิ่นหรูเหมยเห็นว่าอีกฝ่ายปฏิเสธจึงกล่าวกระซิบ
“จริง ๆ ฉันไม่ควรจะพูดอะไร แต่เราต้องจัดการเรื่องของไป๋อวี้ซิ่วอย่างรอบคอบนะ”
“ยังไง หลี่จ้วงจ้วงก็เป็นคนเตะข้อเท้าของเธอ ถ้าหากเธอคิดออกไปร้องเรียน มันจะส่งผลกระทบต่อหลี่จ้วงจ้วงแน่”
เฉียวเหลียนเฉิงเงียบ เขารู้ดีว่าครอบครัวของหลี่จ้วงจ้วงมีฐานะไม่ค่อยดีนัก เรียกได้ว่ายากจนข้นแค้น ไม่มีเงินเพียงพอ
ความหวังเดียวในการหาเงินของเขาคือการทำงานหนักในกองทัพ ถ้าหากไป๋อวี้ซิ่วเกิดร้องเรียนขึ้นมา ไม่ว่าผลการสอบสวนขั้นสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาจะไม่สามารถเข้าร่วมงานกับกองทัพได้อีก
ได้ยินอย่างนั้นแล้ว เฉียวเหลียนเฉิงจึงพยักหน้ารับ “อืม ฉันจะไปจัดการเอง”
“เดี๋ยว!” เจียงหว่านวางช้อนลง พร้อมตะโกนเรียก
เฉียวเหลียนเฉิงหันมองเธอ แล้วพูดเสียงเบา “คุณรีบกินข้าวเถอะ ผมจะไปดูเธอสักหน่อยเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”
เจียงหว่านพูดอย่างเย็นชา “ไม่ ฉันจะไปด้วย ถ้านายไม่ยอมให้ฉันไป ฉันก็จะตามนายไปเอง!”
เห็นว่าเฉียวเหลียนเฉิงขมวดคิ้ว เจียงหว่านก็รีบพูดต่อ “ต่อให้ไม่มีรองเท้า ฉันจะก็เดินเท้าเปล่า!”
เฉียวเหลียนเฉิงปวดหัว เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรแล้ว!
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง และสุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ก็ได้ ๆ ผมจะพาคุณไปด้วย!”
เขาเดินเข้าไปคว้าเอวเจียงหว่านด้วยแขนขวา อุ้มเธอขึ้น แล้วพาเดินออกไป
เสิ่นหรูเหมยที่อยู่ใกล้ ๆ ถึงกับตกตะลึง
เจียงหว่านหนักกว่าร้อยโล แต่เฉียวเหลียนเฉิงสามารถอุ้มหล่อนได้ด้วยแขนข้างเดียว!
สมแล้วที่เขาคือชายที่แข็งแกร่งที่สุดของกองทัพ
แล้วแบบนี้เขาจะโหดขนาดไหน หากแขนสองข้างใช้งานได้ปกติ?
ข้อเท้าของไป๋อวี้ซิ่วบาดเจ็บร้ายแรงกว่าของเจียงหว่าน และลุงฝูจัดการดามข้อเท้าให้ด้วยกิ่งไม้และกระดานไม้
เมื่อเฉียวเหลียนเฉิงเดินเข้ามาภายในห้อง ก็เห็นผ้าห่มของเธอเปิดออก เผยให้เห็นขาที่ถูกดามเอาไว้ เวลานี้เธอกำลังอ่านหนังสือเล่มน้อยอย่างสบายใจ
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มมาแล้ว ไป๋อวี้ซิ่วก็วางหนังสือลง และยิ้มแย้มออกมา
ทว่าเมื่อเห็นเฉียวเหลียนเฉินเข้ามาพร้อมกับเจียงหว่านในอ้อมแขน ใบหน้าของเธอจึงกลับไปมืดมนอีกครั้ง
เฉียวเหลียนเฉิงวางเจียงหว่านลง และปรับตำแหน่งให้เธอนั่งได้อย่างสบาย ๆ แล้วจึงหันมองไป๋อวี้ซิ่ว ถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“มีอะไรจะคุยกับฉัน?”
รอยยิ้มของไป๋อวี้ซิ่วชะงักค้าง ดวงตาราวกับคมมีดขณะที่จ้องมองเจียงหว่าน และเวลานี้เธอกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงงอแง
“พี่ใหญ่ ฉันเจ็บเท้ามาก เลยอยากให้พี่มาหา”
เฉียวเหลียนเฉิงไม่ตอบกลับ ดวงตาเต็มไปด้วยความรังเกียจ
เจียงหว่านได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมา “ทำไมเธอถึงไร้ยางอายขนาดนี้ ฉันนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้แต่ก็ยังกล้าพูดออกมาอีกนะ!”
ไป๋อวี้ซิ่วถลึงตาใส่เจียงหว่าน “มาพูดแบบนี้กับฉันได้ยังไง? นี่พี่ของฉัน มันจะมีอะไรถ้าหากว่าพี่น้องสองคนรักกัน?”
เจียงหว่านโบกมือ “ไม่เลย”
“พวกเธอสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ทำไมถึงกล้าพูดแบบนี้ออกมา?”
“อยากจะผายลมอะไรอีกล่ะ หรืออยากจะโดนตบอีก!”