เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 204 พวกค้ามนุษย์ออกอาละวาด และเด็กหายจำนวนมาก!
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 204 พวกค้ามนุษย์ออกอาละวาด และเด็กหายจำนวนมาก!
บทที่ 204 พวกค้ามนุษย์ออกอาละวาด และมีเด็กหายจำนวนมาก!
หลังจากเจียงหว่านจัดการครอบครัวของหลี่หงเหมยเรียบร้อย เธอก็มุ่งไปที่สถานีตำรวจ และตามหาอู่หยาง
มีถึงสามคนที่สามารถก่อให้เกิดความไม่สงบในตำบลได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะยังไงเธอก็ต้องแจ้งกับทางตำรวจไว้ก่อน และให้อู่หยางจับตาดูพวกเขาไว้
เมื่ออู่หยางได้ยินว่าเป็นแม่และน้องชายของเฉียวเหลียนเฉิงมาที่นี่ เขาก็ประหลาดใจ
“ช่วงนี้มีเหตุการณ์ไม่สงบ เราควรขอให้พวกเขาเลี่ยงการออกไปข้างนอกให้ได้มากที่สุดดีกว่านะ”
เจียงหว่านนึกถึงคดีที่เธอได้ยินเมื่อไม่กี่วันก่อนขึ้นมา จึงอดถามไม่ได้
“มีอาชญากรอีกเหรอ?”
อู่หยางยิ้มอย่างขมขื่น “ถ้าเป็นอาชญากรที่ต้องการตัวผมจะไม่ต้องกังวลเลย แต่คราวนี้เป็นพวกค้ามนุษย์ที่ลักพาตัวเด็กไปทั่วทุกที่”
“พวกมันทำกันเป็นขบวนการ ตอนนี้มีคนสูญหายไปเจ็ดแปดคนแล้ว มีทั้งเด็กชาย เด็กหญิง ส่วนวัยก็ต่างกันไป”
“เด็ก ๆ ที่สูญหายไปทั้งหมดอยู่ในตำบลและหมู่บ้านรอบ ๆ นี้ ยังมาไม่ถึงฝั่งของเรา”
“ก่อนหน้านี้เราก็ได้ทำการตรวจสอบในตำบลเราว่ามีเด็กหายไปบ้างไหม แต่ตอนนี้ยังไม่มีรายงานเข้ามา”
เจียงหว่านถามอีกว่า “แล้วผลเป็นยังไง”
อู่หยางส่ายหัว “อย่างน้อยก็ยังไม่มีเด็กที่อยู่ในเขตของเรา”
“ถึงตอนนี้จะยังไม่มี แต่เราก็ต้องทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้ดี กันไว้ดีกว่าแก้ล่ะนะ”
จู่ ๆ เจียงหว่านก็คิดถึงผิงอันขึ้นมา ถ้าทันจับเด็กโดยไม่สนวัย ผิงอันเองก็คงไม่ปลอดภัย
เด็กอายุห้าถึงหกขวบอยู่ในวัยที่ง่ายต่อการลงมือ เพราะเด็กในวัยนี้มีความอยากรู้อยากเห็นจึงถูกชักจูงง่าย
“ลักพาตัวไปยังไง? ลักไปตรง ๆ หรือหลอกไป?”
เธอต้องการทราบข้อมูล เพื่อที่จะได้กำชับกับผิงอันให้ดี
อู่หยางกล่าวว่า “ถ้าเป็นเด็กอายุน้อยหน่อยก็จะถูกลักพาตัวไปโดยตรง แต่ถ้าเป็นเด็กที่โตขึ้นมาหน่อย พวกมันจะตบหัวเด็ก และเด็กก็ตามมันไป ผู้คนเลยเรียกพวกมันว่า ‘พวกตบดอกไม้’!”
เจียงหว่านเคยได้ยินจากเพื่อนในชาติที่แล้วว่า ตอนเพื่อนคนนี้ยังเป็นเด็ก มีพวกตบดอกไม้อยู่ในหมู่บ้าน ถ้าพวกมันตบหัวเด็ก เด็กก็จะติดตามพวกมันไปอย่างว่าง่าย และจะไม่กลับมา ไม่ว่าจะตะโกนเรียกยังไงก็ตาม
ตอนนั้นเธอคิดว่าเพื่อนพูดเกินจริง
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีคนแบบนี้จริง ๆ
“วิชาอะไรที่พวกมันใช้? มันใช้ยาหรือใช้อะไร?” เจียงหว่านถามอย่างสงสัยมากขึ้น
อู่หยางส่ายหัว “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ยังบอกไม่ได้จนกว่าจะจับพวกมันได้!”
“ผมได้ยินมาว่าเป็นยาชนิดนึง ถ้าเอายาใส่มือแล้วตบบนหัวเด็ก เด็กก็จะไม่มีสติ และจะตามไปอย่างเชื่อฟัง”
“ทุกวันนี้เราให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับผู้ปกครองในหมู่บ้านต่าง ๆ มากมาย”
“พวกค้ามนุษย์พวกนี้หลอกลวงมามาก มีครอบครัวนึง พวกเขามีลูกชายอายุสามขวบ แล้วก็ลูกสาวอีกสามคน แต่คนที่โดนลักพาตัวไปกลับเป็นเด็กชาย”
“อีกบ้านนึงก็มีชายชราดูแลเด็กอยู่ แล้วเด็กก็ถูกพวกค้ามนุษย์ลักพาตัวไป พอเด็กคนนั้นหายไป ลูกสะใภ้กลับมาโวยวาย ชายชราคิดไม่ตกว่าจะทำยังไง คืนนั้นเขาเลยกินยาฆ่าหญ้าเข้าไป”
“ให้ตายเถอะ เพราะไอ้พวกค้ามนุษย์พวกนี้ ต้องมีกี่ครอบครัวแล้วที่ถูกทำลายไป!”
อู่หยางเจ็บปวดเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ และเจียงหว่านก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
เธอคิดว่าถ้าผิงอันหายไป แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ แต่เธอต้องรู้สึกเสียใจเหมือนกันแน่นอน
“นอกจากเผยแพร่วิทยาศาสตร์ในแต่ละหมู่บ้านแล้ว ทำไมไม่ไปโรงเรียนเพื่อให้ความรู้เรื่องนี้กับเด็ก ๆ ล่ะ เด็กในโรงเรียนอนุบาลและสถานรับเลี้ยงเด็กน่าจะเป็นจุดสนใจของพวกค้ามนุษย์มากที่สุดนี่”
อู่หยางพยักหน้า “ใช่ ถูกต้องเลย!”
“ผมจะลองบอกผู้กำกับเรื่องการให้ความรู้ที่โรงเรียนดูนะ”
เจียงหว่านกำลังจะบอกลาและจากไป แต่ดูเหมือนเธอจะนึกถึงอะไรบางอย่างได้
“ถ้าคุณมีงานเยอะ แล้วบังเอิญมีงานที่ไม่สำคัญอะไรเท่าไหร่ด้วย ก็ช่วยแนะนำให้ฉันบ้างนะ!”
อู่หยางยิ้ม “คุณจะแนะนำให้น้องเขยใช่ไหม?”
เจียงหว่านพึมพำ “หมอนั่นเป็นคนขี้เกียจ ขี้เกียจยังไงก็ขี้เกียจอย่างนั้น ทำไมไม่ทำงานหาเงินบ้างนะ”
ตราบใดที่หมอนั่นไม่มีเวลาให้เกียจคร้าน เขาก็จะไม่มีเวลาหาวิธีมาเอาเปรียบเฉียวเหลียนเฉิง
อู่หยางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาล่ะ งั้นผมจะบอกตอนผมกลับมาก็แล้วกัน”
ทั้งสองตกลงกัน และเจียงหว่านก็ปั่นจักรยานออกไป
หลังจากเธอจากไป ร่างบางสูงโปร่งก็โผล่ออกมาจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล
คน ๆ นั้นคือไป๋อวี้ซิ่ว
ไป๋อวี้ซิ่วยืนเงียบ ๆ อยู่ใต้ต้นไม้ ดวงตาของเธอคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ในเวลานี้ มีผู้สัญจรผ่านไปมา ไป๋อวี้ซิ่วจึงก้าวไปถามคน ๆ หนึ่ง
“ขอโทษนะ ฟาร์มไปยังไงเหรอ”
ผู้สัญจรไปมาดูงงงวย “ฟาร์มอะไร?”
”เราไม่เคยได้ยินว่ามีฟาร์มที่นี่ ถ้าพูดถึงฟาร์ม ก็ต้องเป็นที่นอกตำบลนู่น!”
พูดจบ เขาก็เหลือบมองไป๋อวี้ซิ่วด้วยความรังเกียจ และจากไป
ไป๋อวี้ซิ่วมาจากมณฑลกานซู และมีสำเนียงที่แตกต่างออกไป เธอจึงถูกดูแคลน
สิ่งที่ไป๋อวี้ซิ่วไม่รู้คือ ทันทีที่ชายคนนั้นจากไป เขาก็หันหลังกลับ และไปที่สถานีตำรวจ
เนื่องจากคนในโรงพักบอกข่าวว่ามีพวกค้ามนุษย์ออกมาอาละวาด ทุกคนระมัดระวังตัว
สำเนียงที่แตกต่างของไป๋อวี้ซิ่ว ทำให้เธอถูกสงสัย ซึ่งเธอเองไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
ไป๋อวี้ซิ่วยังคงถามผู้คนที่เดินผ่านไปมาอีกหลายคน แต่พวกเขาก็บอกว่าไม่เห็นรู้ว่ามีฟาร์มอยู่ด้วย
ไป๋อวี้ซิ่วขมวดคิ้วและกลับไปที่ลานบ้าน ทันทีที่เธอกลับเข้าไป เธอก็ได้ยินหลี่หงเหมยดุเฉียวเหลียนเย่
“บอกฉันหน่อย ทำไมฉันถึงทนเลี้ยงคนขี้แพ้แบบแกมาได้? พรุ่งนี้แกต้องหางานทำ ถ้าหาเงินไม่ได้ใครจะยอมเป็นเมียแก!”
เฉียวเหลียนเย่ตะโกนอย่างไม่มั่นใจ “ผมอยากให้พี่ชายให้เงินผมเมื่อผมแต่งงาน เขาเป็นพี่นะ เขาจะไม่ให้ได้ยังไง”
หลี่หงเหมยพูดด้วยความโกรธ “หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว พี่ชายของแกคอยเลี้ยงแกไปตลอดไม่ได้ แกอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขารึไง? ออกไปหางานทำซะ!”
ในที่สุดหญิงชราก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมเฉียวเหลียนเฉิงถึงไม่อยากเล่าเรื่องที่บ้านให้ใครฟัง และตราบใดที่ยัยอ้วนนั่นยังอยู่ใกล้ ๆ เธอก็ไม่มีทางที่จะเอาเปรียบเขาได้เหมือนเมื่อก่อน!
ลูกชายคนรองที่เคยถูกปฏิบัติเหมือนเด็กทารก ตอนนี้ถูกมองด้วยสายตาน่ารังเกียจ
ใบหน้าของเฉียวเหลียนเย่เต็มไปด้วยความคับข้องใจ ยกมือปกป้องตัวเองเมื่อเห็นหลี่หงเหมยเดินเข้ามาพร้อมกับไม้ค้ำ
เขาหันหลังกลับ และวิ่งออกไป
เมื่อเห็นเขาออกจากลานบ้านไป ไป๋อวี้ซิ่วก็ค่อย ๆ เดินออกมา
หลี่หงเหมยยังคงโกรธ เมื่อเห็นไป๋อวี้ซิ่วเธอจึงหรี่ตาลง “เมื่อกี้เธอไปไหนมา?”
ไป๋อวี้ซิ่วไม่ได้มีความโกรธแม้แต่น้อย เธอมองหลี่หงเหมยอย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า “แม่คะ เรามาพูดถึงเรื่องสำคัญกันดีกว่า!”
ตอนนี้หลี่หงเหมยโกรธมาก เธอเลิกคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “เธอจะพูดอะไร”
ไป๋อวี้ซิ่วดึงเก้าอี้มาแล้วนั่งลง เธอยิ้มแล้วพูดว่า “เล่าเรื่องของเฉียวเหลียนเฉิงให้ฉันฟังหน่อยสิ!”
หลี่หงเหมยนิ่ง
อีกด้าน เจียงหว่านออกจากตำบลมุ่งหน้าไปที่ฟาร์ม
ตอนนี้เป็นฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว และทุ่งข้าวสาลีโดยรอบก็เต็มไปด้วยข้าวสาลีสีเหลือง
สายลมในทุ่งพัดโชยมา ทำให้เกิดคลื่นข้าวสาลี ที่แค่มองก็รู้สึกสบายใจ
หลังจากขี่จักรยายไปได้กว่าชั่วโมง เธอก็มาถึงตีนเขาที่เดินทางได้ยากลำบาก แต่ทันใดนั้นกลับมีเสียงร้องโหยหวนดังออกมา
“ปล่อยฉัน ฉันจะไม่ตามคุณไป คุณมันคนไม่ดี ปล่อยฉัน”
“อ๊าก! แม่ ฉันอยากไปหาแม่!”
เจียงหว่านตามเสียงนั้นไป และเห็นชายคนหนึ่งกำลังฉุดกระชากเด็กชายอยู่ไม่ไกล
เด็กชายคนนั้นต่อต้าน ชายคนนั้นจึงทุบตีเขาอย่างรุนแรง
ชายคนนั้นดูหยาบคาย เสื้อผ้าเลอะเทอะ และกระดุมก็ติดสะเปะสะปะไปหมด
ใบหน้าของเขาดูซีดเล็กน้อย และดูเซื่องซึม มีผ้าเช็ดตัวสีขาวดำพันรอบศีรษะ ดูเหมือนชาวนา แต่ในทุกรายละเอียดที่ว่ามานี้ เขาไม่ใช่ชาวนาแน่ ๆ
โดยเฉพาะมือที่จับเด็กนั้นดูบอบบางมาก และไม่ได้ดูหยาบกร้านเท่าไหร่
เด็กชายที่ถูกทุบตีอายุประมาณสี่ขวบ เสื้อคลุมตัวเล็ก ๆ ที่เขาใส่นั้นดัดแปลงมาจากเสื้อผ้าของผู้ใหญ่อย่างเห็นได้ชัด มีรอยขีดข่วนมากมายบนใบหน้าเล็ก ๆ ที่ดูมอมแมม และใบหน้าของเด็กชายก็บวมเป่งไปครึ่งหนึ่ง
ตาข้างหนึ่งของเด็กชายมีรอยช้ำ ถึงอย่างนั้น ชายคนนั้นก็ยังคงเล็งตบศีรษะของเด็กอย่างตั้งใจ
ชายคนนั้นดึงเด็กชายไว้แน่น ไม่ว่าเด็กชายจะพยายามดิ้นรนแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถหลุดพ้นไปได้
พักหนึ่ง เสียงร้องไห้ของเด็กก็เบาลง
หากยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป เด็กชายอาจถูกทุบตีจนตายภายในไม่กี่นาทีนี้แน่