เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 147 ขอให้หายใจไม่ออกจนตาย!
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 147 ขอให้หายใจไม่ออกจนตาย!
บทที่ 147 ขอให้หายใจไม่ออกจนตาย!
เมื่อได้ยินความคิดที่ตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย เหลยช่านก็ตะคอกกลับ
“เรากำลังจะออกนอกประเทศ ถ้าเราไปถึงที่นั่นและได้เงินมาแล้ว แกจะทำอะไรก็ทำ!”
จ้าวเฟิงสงสัย “แต่พี่เหลย พี่ไม่ได้เจอเฉียวเหลียนเฉิงด้วยซ้ำ หมอนั่นจะรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่นี่ และมันจะมาที่หนานหลีเพื่อช่วยยัยหมูตัวนี้ได้ยังไง?!”
เหลยช่านตะคอก “แกคิดว่าฉันโง่เหมือนแกเหรอ? ตอนที่ฉันอยู่ที่บ้านของเขา ฉันทิ้งชื่ออู๋จิ้นซื่อไว้บนเก้าอี้แล้ว”
แม้ว่าเขาจะเขียนสองในสามคำนี้ไม่ได้ และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้สัญลักษณ์แทน แต่เขาก็เชื่อว่าเฉียวเหลียนเฉิงจะต้องเข้าใจ
ในที่สุดจ้าวเฟิงก็ยกยิ้ม เขาเหลือบมองเจียงหว่านอย่างเย้ยหยันแล้วพูดว่า
“ฉันจะบอกเธอไว้เลยนะ คนในหนานหลีชอบน้ำมันจากมนุษย์มาก ไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าน้ำมันมนุษย์คืออะไร มันคือการเอาคนไปต้มแล้วเอาน้ำมันออกมาไงล่ะ”
“สำหรับคนอ้วน ๆ อย่างเธอ น้ำมันคงได้เยอะน่าดู!”
“อ้วนขนาดนี้ ขายได้ราคาดีแน่ ๆ!”
คำพูดของจ้าวเฟิงทำให้เหลยช่านพึงพอใจ และถามอย่างสงสัย “จริงเหรอ?”
จ้าวเฟิงพยักหน้า “ผมได้ยินมาจากเพื่อน ถ้าจำไม่ผิดนะ ว่ากันว่าที่นั่นมีคนเชี่ยวชาญในเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะในสมัยโบราณจะเอาน้ำมันมนุษย์มาทาตัวแล้วเชื่อว่าจะล่องหนได้”
เมื่อได้ยินคำว่าล่องหน เหลยช่านก็หน้าบิดเบี้ยว และเตะก้นจ้าวเฟิงอย่างแรง
“ไร้สาระ รีบไปหาคนเร็วเข้า!”
จ้าวเฟิงรู้สึกเสียใจ แต่ก็ต้องตอบตกลง และเข้าไปในหมู่บ้าน
หลังจากที่เขาจากไป เหลยช่านก็เหลือบมองไปที่เจียงหว่าน
“เธอนี่ใจเย็นจริง ๆ นะ ฉันยังไม่เห็นเธอตกใจกลัวเลยสักครั้ง”
เจียงหว่านเมินเฉย “ถ้าฉันตาย นายจะใช้ใครล่อเฉียวเหลียนเฉิงมาล่ะ! ตราบใดที่เฉียวเหลียนเฉิงยังไม่ตาย ฉันก็จะไม่ตาย!”
“และถ้าเฉียวเหลียนเฉิงมา ฉันก็จะรอด!”
“อีกอย่าง ฉันยังอยากรู้ด้วยว่าเฉียวเหลียนเฉิงจะมาช่วยฉันไหม!”
เหลยช่านหัวเราะ “มั่นใจจังนะ แต่น่าเสียดาย ฉันเกรงว่าความตั้งใจของเธอจะสูญเปล่าน่ะสิ”
“มีถ้ำเสือ[1]*รออยู่ แค่เฉียวเหลียนเฉิงมา หมอนั่นก็จบเห่!”
“สิ่งที่พวกนั้นต้องการคือเฉียวเหลียนเฉิง และถ้าหมอนั่นตาย มันก็ใช่ว่าเธอจะอยู่ไม่ได้สักหน่อย”
“ทำไมไม่ทำให้ฉันพึงพอใจล่ะ เธออาจจะรอดตายก็ได้ถ้าฉันช่วยขอร้องให้”
เจียงหว่านหรี่ตามองอีกฝ่ายจงใจทำสีหน้าประหลาดใจ
“อา ถ้าอย่างนั้น ฉันต้องขอบคุณนายมาก ๆ”
เหลยช่านโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก ฉันไม่ได้ช่วยเธอเปล่า ๆ เธอแค่บอกเคล็ดลับที่จะไม่ท้องเสียให้ฉันก็พอ”
เจียงหว่านไม่เข้าใจ “ที่พูดมาตั้งเยอะขนาดนี้ จุดประสงค์ของนายคือเรื่องนี้น่ะเหรอ?”
เหลยช่านเริ่มไม่พอใจบ้าง “ก็เป็นข้อตกลงที่สมเหตุสมผลนี่ และฉันก็ไม่ได้บังคับเธอด้วย”
เจียงหว่านรู้สึกงุนงงกับท่าทีของอีกฝ่าย “นายจะบังคับฉันก็ได้ไม่ใช่หรือไง ที่ฉันต้องมาอยู่ในที่แบบนี้ จะมีการทรมานบ้างก็ไม่เห็นเป็นไรนี่? แล้วจะมาทำข้อตกลงกับฉันตอนนี้เนี่ยนะ”
สีหน้าของเหลยช่านเริ่มจริงจังมากขึ้น “แต่มันคุ้มค่า เพราะฉันต้องย้ายที่อยู่บ่อย ๆ อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งอยู่แล้ว”
“เป็นเรื่องปกติที่จะต้องปรับตัวให้ชิน และบังเอิญว่าสิ่งที่ฉันทำคือการทำให้เลือดนองด้วยคมมีด แต่อาการท้องร่วงมันทำให้มือกับเท้าอ่อนแรง”
“ถ้าไปเจอคู่ต่อสู้ที่ฝีมือเท่า ๆ กัน ฉันคงแย่ แต่ฉันคงจะสบายใจขึ้น ถ้าเธอบอกความลับนี้มา”
“ฉันจะไม่ผิดคำพูดด้วย ตราบใดที่เธอบอกความลับนี้กับฉัน”
เจียงหว่านหัวเราะเยาะ “แหม ๆ ขอบคุณนายจริง ๆ นะ”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เธอก็พูดว่า “จริง ๆ ฉันก็บอกได้แหละ ฉันกินผักมด”
“นายก็แค่ต้องกินให้เยอะหน่อย จะได้ไม่ท้องร่วง!”
“จริงเหรอ?” เหลยช่านถามด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเห็นเจียงหว่านพยักหน้า เหลยช่านก็ดีใจ และขอให้เจียงหว่านบอกเขามาว่าผักมดคืออะไร
เจียงหว่านก็บอกไป ทั้งยังทิ้งท้ายว่า “มันออกฤทธิ์ช้า นายต้องกินเป็นประจำจึงจะได้ผล อย่างน้อยก็วันละสองโล”
“ถ้าจะออกไปข้างนอกต้องเริ่มกินก่อนจะท้องเสีย ไม่อย่างนั้นจะไม่เห็นผล!”
เธอพูดอย่างจริงจัง และเหลยช่านก็ตั้งใจฟังเหมือนกัน
เมื่อคิดย้อนไป ดูเหมือนเขาจะเห็นผู้หญิงคนนี้แอบเด็ดหญ้ากินจริง ๆ
เขาพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องห่วง ฉันจะช่วยขอร้องให้ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะฟังหรือเปล่านะ”
เจียงหว่านจ้องมองอีกฝ่าย และตะโกนลั่น “นายหลอกฉัน!”
เหลยช่านกางมือพลางยักไหล่ปฏิเสธ “ฉันบอกว่าฉันจะขอร้องให้ แต่ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าพวกเขาจะเห็นด้วยหรือเปล่า”
“ถือว่าขอบคุณสำหรับเรื่องที่เธอบอก ถ้าเธอเอาตัวรอดออกมาจากหนานหลีได้ เธอมาตามหาฉันที่หมู่บ้านแม่หม้ายได้เลย”
“ฉันจะเลี้ยงข้าวเธอเอง”
ใบหน้าของเจียวหว่านมืดมนลง สูดหายใจเข้าพลางคิดในใจ รู้อยู่หรอกว่าหมอนี่ไม่ได้มีเจตนาดี กินไปเลยนะไอผักมดวันละสองกิโลน่ะ จะได้อึไม่ออก หึ ขอให้หายใจไม่ออกตายไปด้วยเลยก็ดี!
ไม่นาน จ้าวเฟิงก็กลับมา และบ่นกับเหลยช่านอยู่พักนึง จากนั้นจึงพาทั้งสองเข้าไปในหมู่บ้าน
เจียงหว่านเหลือบมองป้ายที่ทางเข้า ‘หมู่บ้านแม่หม้าย’
เธอรู้เกี่ยวกับหมู่บ้านแม่หม้ายเพียงเล็กน้อย เพราะเคยมาที่นี่เมื่อชาติที่แล้ว ตอนที่กำลังหาแรงบันดาลใจแต่งนิยาย
ว่ากันว่าตำนานของหมู่บ้านแม่หม้ายมีมานานนับพันปีแล้ว
เนื่องจากเกิดสงคราม ผู้ชายทุกคนในหมู่บ้านจึงเสียชีวิตไปหมด คนที่เหลือเกือบทั้งหมดเป็นคนแก่ ผู้หญิง และเด็ก จึงเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้าน
หนึ่งพันปีต่อมา หมู่บ้านแม่หม้ายก็กลายเป็นหมู่บ้านอาถรรพ์
เกือบทุกยี่สิบปีจะเกิดเหตุร้ายในหมู่บ้านนี้ตลอด เริ่มต้นด้วยสงคราม จนสงครามสิ้นสุดลง คนในหมู่บ้านก็ถูกสังหารหมู่ เพราะไปสร้างความขุ่นเคืองแก่ผู้มีอำนาจ
จนกระทั่งหลังจากได้รับปลดปล่อยเป็นอิสระ สถานการณ์ในหมู่บ้านก็ดีขึ้น
ผู้ชายในหมู่บ้านแม่หม้ายเป็นเหมือนสมบัติอันล้ำค่า พวกเขาถูกเลี้ยงดูอย่างดี และจะได้อยู่เฉย ๆ โดยไม่ต้องทำอะไร
ก็อาจจะเป็นไปได้ ที่เหลยช่านจะมาที่นี่เพื่อเป็นลูกเขยของบ้านไหนสักบ้าน?
ด้วยความสงสัยของเจียงหว่าน พวกเขาเข้าไปในบ้านที่อยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน
คนที่เปิดประตูเป็นชายร่างผอมอายุประมาณสามสิบปี มีใบหน้าดุดันน่ากลัว
เหลยช่านกับคนอีกสามคนกระซิบกระซาบกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหันไปหาเจียงหว่านแล้วพูดว่า
“สองสามวันนี้ก็พักที่นี่ไปก่อน อย่าคิดจะก่อเรื่องล่ะ ไม่อย่างนั้น ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะหักขาเธอ และค่อยพาออกไป”
“ไม่ใกล้ไม่ไกลจากชายแดนนี้หรอก”
เจียงหว่านตอบเสียงหนักแน่น “ไม่ใช่ฉันเหรอที่คอยให้ความร่วมมือมาตลอดทางน่ะ!”
เหลยช่านเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่สนใจเธอ
ส่วนชายร่างผอมเหลือบมองเจียงหว่านแล้วหันไปทำอาหาร
สิ่งที่เขาทำคือข้าวต้มข้าวโพดที่ใส่ผักแปลก ๆ ลงไป มีทั้งสีเหลืองและสีเขียว
และแน่นอนว่ามันต้องรสชาติแย่มาก
ไม่รู้ว่ามันเป็นความตั้งใจของชายผอม หรือเป็นคำสั่งของเหลยช่าน เพราะตอนนี้มีจานเนื้อวางอยู่ตรงหน้าเหลยช่าน
มันเป็นหมูที่ปรุงสุก กินคู่กับซีอิ๊ว
ดูแค่นี้ก็รู้แล้ว…
ดูเหมือนว่าเหลยช่านจะไม่สนใจ หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วยัดอาหารเข้าปาก
หลังจากกินเสร็จแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองเจียงหว่านที่กำลังส่งสายตาเหยียดหยาม และเยาะเย้ยมา
“สายตาแบบนั้นมันหมายความว่าอะไร” เหลยช่านถามอย่างงุนงง
เจียงหว่านตอบกลับ “ฉันเห็นนายกินน่ะสิ ฉันชื่นชมนะ ที่นายสามารถกลืนอาหารที่ไม่อร่อยลงท้องไปได้ขนาดนี้!”
[1] ถ้ำเสือ ในที่นี้หมายถึงความอันตราย