เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 129 ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป!
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 129 ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป!
บทที่ 129 ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป!
ดวงตาของผู้บัญชาการเบิกกว้างด้วยความตกใจ
”เกิดอะไรขึ้น? เธอดุขนาดนั้นเลยเหรอ?”
จริง ๆ แล้ว สิ่งที่สะใภ้เฉินบอกกับหัวหน้าหน่วยเฉินคือ ‘หว่านหว่านซื้อมีดทำครัวมาสองสามเล่ม แล้วเอามาพันไว้รอบเอว เพื่อเอาไปสับคน!’
แต่เพื่อให้ผู้บัญชาการตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหา หัวหน้าหน่วยเฉินจึงพูดไปว่ามีมีดสิบกว่าเล่ม
ไม่อย่างนั้น เขากลัวว่าถ้าหัวหน้ากองพันเฉียวกลับมาแล้วจะถูกตำหนิ และถูกลงโทษทางวินัยได้
แต่เหมือนเขาจะลืมไปว่ากำลังพูดอยู่ที่ไหน ที่นี่เป็นพื้นที่ด้านนอกสำนักงานที่กว้างขวาง แถมยังมีคนมาพักเที่ยง และเดินเข้าเดินออกไม่ใช่น้อย ๆ!
หลังจากที่พูดจบแล้ว ถึงแม้ว่าผู้บัญชาการจะโกรธอยู่ และสีหน้าของอีกฝ่ายก็ไม่ได้เปลี่ยนไปนัก
แต่คนรอบข้างที่ได้ยินนี่สิ กลับไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่าย ๆ!
ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ข่าวก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งค่ายทหาร
“ได้ยินหรือยัง? ภรรยาของหัวหน้ากองพันเฉียวที่อารมณ์ร้ายนั่นน่ะ เอามีดทำครัวหลายสิบเล่มพันรอบเอวเพื่อไปสับคน”
“ใช่คนที่อ้วน ๆ ที่หนักเกือบ 150 กิโลนั่นไหม?”
“ใช่ คนนั้นแหละ! รู้ไหม ผู้หญิงคนนั้นร้ายมาก เธอตบตีไปทั่วจนตอนนี้ไม่มีใครอยากเข้าใกล้แล้ว!”
“ไม่ใช่หรอกน่า เธอจะจัดการคนไปทั่วตำบลเลยเหรอ?!”
”จุ๊ ๆ ฉันยิ่งอยากรู้มากขึ้นไปอีกว่ากับหัวหน้ากองพันน่ะ ใครอยู่ข้างบน ใครอยู่ข้างล่าง…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าพูดเหลวไหลน่า ถ้าหัวหน้ากองพันเฉียวรู้ นายเดือดร้อนแน่! แต่ฉันว่านะ หัวหน้าก็ต้องอยู่ข้างบนไหม เมียอ้วนขนาดนั้นรับไม่ไหวหรอก!”
”ว้า แบบนั้นก็ไม่สนุกสิ!”
ขณะที่ข่าวแพร่ไปทั่วว่าภรรยาหัวหน้ากองพันเฉียวพกมีดไว้ไล่สับคน ด้านเจียงหว่านและชายทั้งสี่คนก็ตกลงประนีประนอมกันได้สำเร็จแล้ว
แม้ว่าหลิวหูจะไม่เต็มใจ แต่การนั่งยอง ๆ ในส้วมก็ทำให้ขาของเขาชาเหลือเกิน
ตอนนี้เขารู้สึกว่าแขนขาอ่อนเปลี้ยมาก เท้ากับขาก็เหยียดยืดออกมาได้ยาก
ถ้าไม่ได้รับความยินยอม เขาก็คงได้นั่งอยู่ในหลุมปุ๋ยต่อไป
และไม่ใช่แค่เขาที่รับไม่ได้ อีกสามคนก็รับไม่ได้เช่นกัน
ต้าหลู่พูด “พวกเรายอมแล้ว บอกมาเลยว่าต้องจ่ายเท่าไหร่!”
เสี่ยวหลู่กล่าวเสริม “เราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร ไม่ได้มาเพื่อช่วยเหลืออะไรด้วย ไม่ยุติธรรมเลย หนี้ก็ต้องให้เจ้านั่นจ่ายสิ!”
เจียงหว่านโบกจานรองกระถางต้นไม้ในมือ “สิ่งที่นายพูดก็มีเหตุผล แต่ไร้ประโยชน์ เพราะพวกนายมาด้วย นั่นแหละคือความผิดพลาด!”
จ้าวเฟิงกัดฟันแน่น ทว่าท้องของเขาอาการไม่สู้ดีนัก จึงทำได้แค่หลับตาลง และปล่อยมันไหลอีกครั้ง
ในที่สุดเขาก็สงบลง จึงเงยหน้าขึ้นมองเจียงหว่าน
“เอาล่ะ ฉัน จ้าวเฟิง ในชีวิตนี้ไม่เคยเชื่อฟังใครนอกจากอาจารย์ ตอนนี้ฉันจะฟังเธอ”
“แต่มันเป็นเพราะเธอมาอยู่หน้าห้องน้ำผู้ชายอย่างหน้าไม่อาย และมองดูผู้ชายสี่คนกำลังนั่งอึ วันนี้ฉันขอยอมแพ้!”
เมื่อเห็นว่าทั้งหมดยอมแล้ว หลิวหูก็ทำได้เพียงยอมรับ “บอกมา ต้องจ่ายชดเชยเท่าไหร่?”
เจียงหว่านลูบคางคิดอยู่ครู่หนึ่ง “การชดเชยไม่ใช่จุดประสงค์หลัก แค่พวกนายไม่มาทำให้ฉันเดือดร้อนก็พอแล้ว”
พวกเขาทั้งสี่คนถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินอย่างนั้น
สำหรับพวกเขาตอนนี้ ขอแค่ไม่ต้องเสียเงิน จะพูดคุยหรือหารืออะไรก็ได้ทั้งนั้น
ก็ไม่มีทางเลือกนี่นะ! คนมันจนนี่นา!
อย่างไรก็ตาม คำพูดถัดไปของเจียงหว่านกลับทำให้ทั้งสี่แทบล้มลง
เจียงหว่านกล่าวว่า “แต่ถึงการชดเชยจะไม่ใช่จุดประสงค์ แต่ก็ยังต้องทำให้พวกนายหลาบจำ งั้นจ่ายมาคนละพันหยวนเป็นไง!”
“อะไรนะ!” จ้าวเฟิงโกรธขึ้นมาทันที
“หนึ่งพันหยวน? ปล้นกันชัด ๆ!”
เจียงหว่านเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย “อย่างที่บอกว่าเงินไม่ใช่จุดประสงค์ แต่ถ้าจำนวนเงินมากพอ พวกนายก็จะไม่มาทำให้ฉันเดือดร้อนไง!”
จ้าวเฟิงโกรธมาก “เหลวไหล ถ้าฉันตกลงวันนี้ เธอก็จะมาวุ่นวายกับฉันทุกวันน่ะสิ!”
“เงินหนึ่งพันหยวนแลกกับการนอนในส้วม ฉันยอมนอนในส้วม!”
เจียงหว่านเยาะเย้ย “ไม่เห็นด้วยงั้นเหรอ ไม่เป็นไร พวกนายเห็นหลุมใต้ส้วมนั้นไหม กระโดดลงไปซะ ว่ายออกไป ทีนี้ก็จะได้ไม่ต้องจ่ายเงิน!”
จ้าวเฟิงเยาะเย้ย “ให้ตายเถอะ เธอคิดว่าเธอจะขู่พวกเราได้ง่าย ๆ ใช่ไหม?”
พูดจบ เขาก็มองไปรอบ ๆ แล้วก็พบว่าไม่มีอะไรให้เช็ดก้นเลย
จึงถามหลิวหูว่า “กระดาษเช็ดก้นล่ะ?”
หลิวหูตอบ “พวกเราไม่มีเงิน ผมจะหากระดาษชำระได้จากที่ไหนล่ะครับ ใช้ได้แต่ใบไม้ใบหญ้าเท่านั้นแหละ”
จ้าวเฟิงกัดฟันแน่น “ถ้าอย่างนั้นใบไม้อยู่ไหน!”
หลิวหูชี้ไปที่เท้าของเจียงหว่าน “ผมเพิ่งจะปาใส่เธอไป”
จ้าวเฟิงโกรธจัด “แกนี่มัน!”
เจียงหว่านหัวเราะเบา ๆ “ตะโกนแล้วมีประโยชน์อะไรล่ะ? นายยังมีนิ้วอยู่ไม่ใช่เหรอ!”
จ้าวเฟิงยอมเสี่ยง เขายืนพร้อมกับดึงกางเกงขึ้น
จะเช็ดหรือไม่เช็ด มันก็ไม่สำคัญแล้ว!
คนที่เหลือทั้งสามตกตะลึง และมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงง ในใจพลางคิดว่าพวกตนควรทำตามหรือไม่
ทันใดนั้นจ้าวเฟิงก็รีบก้าวออกไป หมายจะต่อยเจียงหว่านสักหมัด
ทว่าเจียงหว่านไม่ได้ตื่นตระหนกเลย เธอกลับสวนด้วยการฟันไปทางแขนของจ้าวเฟิงด้วยมีดทำครัว และก็ไม่ลืมที่จะฟาดจานรองกระถางต้นไม้ในมือซ้ายใส่หน้าเขาด้วย
ทักษะการต่อสู้ของจ้าวเฟิงนั้นถือว่าไม่เลว แม้ว่าจะไม่ดีเท่ากับเฉียวเหลียนเฉิง แต่ก็สามารถทำให้อีกฝ่ายหมดสภาพได้
แต่อาการท้องเสียทำให้เขาอ่อนแอมาก
ทำให้เขาหลบมีดได้ แต่ไม่อาจหลบจานรองกระถางได้
พลั่ก!
เขารู้สึกเหมือนสมองมึนงงไปหมด!
มีดวงดาวมากมายปรากฏขึ้นรอบหัว
ก่อนที่จะทันได้โต้ตอบ เจียงหว่านก็ลงมืออีกครั้ง
เธอก้าวไปข้างหน้า แล้วถีบเข้าไปที่หน้าอกของเขา
การเตะนี้ทำให้จ้าวเฟิงกระเด็นถอยหลังไปสองเมตร
ทำไมต้องสองเมตร?
เพราะพื้นที่ในส้วมก็ใหญ่ประมาณนั้นยังไงล่ะ
ทั้งสองคนและหลิวหูที่ยังคงนั่งยอง ๆ อยู่ เห็นแบบนี้ก็หลบหลีกตามสัญชาตญาณ โดยไม่สนใจว่าก้นตัวเองจะสกปรกหรือไม่
จ้าวเฟิงกระแทกเข้ากับกำแพง จนกำแพงพังไปครึ่งหนึ่ง ทั้งสามคนที่เหลือก็นั่งแหมะลงไปกับพื้นเพื่อหลบหลีก และติดอยู่ในช่องว่างระหว่างไม้กระดานทั้งสอง
ทันใดกำแพงก็ถล่มลงมาบนหัวของทั้งสี่คน ทำให้ตอนนี้สภาพของพวกเขาดูน่าเวทนามาก
พวกเขาไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกต่อไป และไม่สนใจแล้วว่าจะได้เช็ดก้นหรือไม่
พวกเขารีบขยับก้นของตัวเองออกมา และจ้องมองเจียงหว่านอย่างระมัดระวังขณะยกกางเกงขึ้นใส่
ทั้งสามกำลังจะเดินออกไป
แต่เจียงหว่านโบกมีดทำครัวในมือ แล้วตะโกนว่า “ฉันบอกพวกแกแล้วว่า ถ้าพวกแกไม่เขียนสัญญาหนี้และจดหมายขอโทษ พวกแกก็ไม่ต้องขึ้นมาจากหลุม!”
จ้าวเฟิงหมดสติไปแล้ว
ส่วนอีกสามคนก็เริ่มกังวล “ถ้าเขาตายเธอก็ต้องติดคุก แล้วทำไมเราต้องมาเขียนจดหมายสำนึกผิดด้วย”
เจียงหว่านตื่นตระหนกเมื่อเห็นอีกฝ่ายหมดสติ แต่ด้วยสายตาที่เฉียบแหลม เธอเห็นการขยับขึ้นลงของหน้าอกจ้าวเฟิง จึงแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอะไร
เธอจำได้ดี แม้ลูกเตะเมื่อกี้อาจจะดูรุนแรง แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ใช้แรงมากนัก แค่ทำให้กำแพงพังเฉย ๆ
กำแพงนี้สร้างจากดินไม่ใช่อิฐ ไม่ได้แน่นหนามาก ไม่สามารถฆ่าใครได้หรอก!
เมื่อมั่นใจแล้ว เจียงหว่านก็ยิ่งบ้าคลั่ง
“ตายแล้วยังไง? ถ้าเรื่องนี้ไม่จบในวันนี้ พวกแกก็จะไม่ปล่อยฉันไปเหมือนกัน!”
“แทนที่ฉันจะรอให้พวกแกมาที่บ้านครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อสร้างปัญหา สู้ฉันฆ่าพวกแกไปซะยังจะดีกว่า”
“จะซ้ายหรือขวาก็ตายอยู่ดี การฆ่าหนึ่งคนก็พอแล้ว แต่การฆ่าสองคนก็ถือว่าได้กำไร!”
พูดจบ เจียงหว่านก็โยนจานในมือทิ้ง และดึงมีดทำครัวออกมาอีกเล่ม
ภาพหญิงสาวที่ถือมีดทำครัวทั้งสองมือ รวมกับความสูง รูปร่าง และใบหน้าที่ดุร้าย
มันราวกับเทพจงขุย[1]*ในตำนาน ที่ลงมายังโลกไม่มีผิด
[1] จงขุย คือเทพผู้เป็นสัญลักษณ์ของการปราบภูตผีปีศาจ มีอำนาจวิเศษและอิทธิฤทธิ์ในการกำราบปีศาจและมารร้ายทั้งปวง