เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 116 สอนเฉียวเหลียนเฉิงมัดใจภรรยา
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 116 สอนเฉียวเหลียนเฉิงมัดใจภรรยา
บทที่ 116 สอนเฉียวเหลียนเฉิงมัดใจภรรยา
“ตัวอย่างเช่น ถ้านายรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วมาก นายก็เข้าไปจูบเธอหรือกอดเธอก็ได้”
“นายแต่งงานมานานแล้ว ถ้ายังทำตัวเหมือนนักบวชแบบนี้ คู่ของนายจะไปมีความสุขอะไรล่ะ”
เจียงเฉิงคิดไปว่า นี่คือที่มาของความไม่ลงรอยกันระหว่างทั้งสองคน เขาจึงเกิดความคิดนี้ขึ้น
เพราะเรื่องที่เจียงหว่านรักเฉียวเหลียนเฉิงใคร ๆ ก็ดูออกกันทั้งนั้น!
จากข้อเท็จจริงที่นักวิจัยได้พิสูจน์แล้วว่า โค้ชที่ดีอาจไม่ใช่ผู้เล่นที่ดี…
เฉียวเหลียนเฉิงจึงคิดว่า เจียงเฉิงก็อาจเป็นเช่นนั้น
เฉียวเหลียนเฉิงตั้งใจจะเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้ในคืนนี้ไปใช้
ตอนนี้เขามั่นใจว่าตัวเองหลงเจียงหว่านเข้าให้แล้ว
จากชื่นชมนิยายที่เธอเขียน ต่อมาก็ชื่นชมทุกสิ่งที่เจียงหว่านทำ ชื่นชมความไม่กลัวอะไรของเธอ
ชื่นชมความแข็งแกร่ง และชื่อชอบการแสดงออกที่ซุกซนของเธอ
เจียงหว่านที่เป็นแบบนี้ ทำให้หัวใจของเขาปั่นป่วนแทบบ้า
การแต่งเติมสีสันชีวิตแต่งงานเหรอ? เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่ก็รู้สึกว่ามันคงสามารถเพิ่มความรู้สึกระหว่างเราขึ้นมาได้บ้าง และคงทำให้ได้อยู่เคียงข้างเธอ ได้คอยเฝ้ามองดูเธอ
และอย่างน้อยเขาก็จะไม่ถูกไล่
ที่เหลือก็ปล่อยให้ทุกอย่างค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป
เจียงหว่านที่กลับมาจากขายเนื้อพบว่าผิงอันไม่อยู่บ้าน เธอจึงถามเฉียวเหลียนเฉิงอย่างสงสัย “ผิงอันล่ะ?”
เฉียวเหลียนเฉิงตอบ “ผมส่งกลับไปแล้ว พรุ่งนี้โรงเรียนหยุด เฉินตงเซิงอยากเล่นกับเขา พรุ่งนี้เย็นผมถึงจะไปรับเขา”
เจียงหว่านเลิกคิ้ว แล้วพูดว่า “แล้วทำไมนายไม่กลับไปด้วยล่ะ? วันพรุ่งนี้ค่อยพาผิงอันกลับมาส่งก็ได้นี่”
เพราะผิงอันต้องไปโรงเรียน เจียงหว่านเลยยอมให้เขาอยู่ที่นี่ด้วย
เมื่อคืนเธอแค่โกรธเฉียวเหลียนเฉิง แต่ไม่ได้จะโกรธอะไรเด็กน้อย
เฉียวเหลียนเฉิงได้ยินเจียงหว่านพูดแบบนั้น แต่เขาก็ไม่ได้โกรธ “ผมมาทำอาหารให้คุณไง ไม่อย่างนั้น ถ้าปล่อยให้ทำเองแล้วทำได้ไม่ดี เกิดคุณหิวขึ้นมาจะทำยังไง?”
เจียงหว่านหัวเราะ “ไม่ต้อง ฉันสบายดี ฉันไปกินข้าวที่โรงอาหารของสถานีตำรวจก็ได้”
เฉียวเหลียนเฉิงพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง ทำได้เพียงเงยหน้ามองดาวบนท้องฟ้าอย่างช่วยไม่ได้
แม้เจียงหว่านจะเมินเฉยต่อเขา แต่เฉียวเหลียนเฉิงก็ยังคงเตรียมอาหารให้ เขาเตรียมอาหารสองจาน เป็นซุปหนึ่งจานและหมั่นโถวหนึ่งจาน
”ช่วงนี้นายทำอาหารค่อนข้างอร่อยเลยนะ”
จากหมั่นโถวแป้งข้าวโพดตอนนั้นกลายเป็นหมั่นโถวก้อนนุ่ม ๆ สีขาวตอนนี้ เป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเลยล่ะ
เฉียวเหลียนเฉิงหยิบจานกับตะเกียบให้เจียงหว่าน แล้วพูดว่า “ผมได้โบนัสจากการไปทำงานที่ต่างเมืองครั้งก่อนมาด้วย”
“เห็นว่าช่วงนี้คุณดูผอมลงเยอะ เลยซื้อบะหมี่กับข้าวมาให้คุณ”
”ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงคุณเอง”
แม้เจียงหว่านไม่อยากต่อว่าเขา แต่มันก็อดไม่ได้ “ฉันมีเงิน และต่อให้ไม่มีฉันก็หาเองได้!”
“ฉันไม่ต้องการให้นายมาเลี้ยง นายควรเก็บเงินที่หามาได้ไปขอภรรยาแต่งงานเถอะ”
มือของเฉียวเหลียนเฉิงหยุดชะงัก ความรู้สึกขุ่นมัวก่อตัวอยู่ในใจ “ผมจะไม่หย่า”
เจียงหว่านหันขวับ “แล้วนายจะเสียใจ! เราตกลงกันไว้แล้วนะ ใครไม่ยอมหย่าคนนั้นเป็นหมา!”
เฉียวเหลียนเฉิงวางตะเกียบลงแล้วมองไปทางอื่น เขาไม่รู้จะพูดอะไรไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาหาเจียงหว่าน
“โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!”
การกระทำของเขาทำให้เจียงหว่านหยุดตะลึง รู้สึกเหมือนร่างกายของเธอกำลังจะระเบิดแล้ว
นี่คือเฉียวเหลียนเฉิงที่แสนเย็นชาในตอนนั้นจริงเหรอ?
นี่คือชายสุดแข็งแกร่งในกองทัพงั้นเหรอ?!
เธอจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เฉียวเหลียนเฉิงส่งเสียงเห่าอีกสองสามครั้ง แล้วทานอาหารต่อ
มีคนเคยสอนเขาว่า ต่อให้อารมณ์ไม่ดีขนาดไหน ก็ต้องกินข้าวให้หมด ห้ามทิ้งให้เสียของ
หลังจากกินเสร็จ เขาวางตะเกียบแล้วหันหลังจากไป
ไม่ปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว!
เจียงหว่านยิ่งตกตะลึง พอได้สติก็หยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วกินต่อ
ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยอารมณ์ปั่นป่วนราวกับสายน้ำ!
จนกระทั่งกินอาหารอิ่ม มันจึงสงบลง
เมื่อล้างจานเสร็จแล้ว เจียงหว่านคิดว่าเฉียวเหลียนเฉิงคงไม่ยอมออกไปง่าย ๆ เหมือนเดิม
แต่ไม่คาดคิด เฉียวเหลียนเฉิงกลับออกไปอย่างง่ายดาย ไม่ได้พยายามเข้ามาในบ้านอีก
และไม่รู้ว่าเขาไปเอาเสื่อจากไหนมาปูไว้ข้างหน้าต่าง
เจียงหว่านได้ยินเสียงก๊อกแก๊กนอกหน้าต่าง เธอจึงส่องไฟฉายดู และเห็นว่าเป็นเฉียวเหลียนเฉิงที่อยู่นอกหน้าต่าง!
”นายทำอะไร?”
เฉียวเหลียนเฉิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าคุณไม่ให้ผมเข้าไป ผมก็จะนอนตรงนี้”
เจียงหว่านถามอย่างท้อใจ “ทำไมถึงต้องมานอนตรงนี้เล่า?”
”สนามหญ้าตั้งกว้าง ลานข้าง ๆ ก็ไม่มีใคร ทำไมไม่ไปนอน”
เฉียวเหลียนเฉิงตอบอย่างดื้อดึง “เพราะว่าตรงนี้เป็นที่ที่ใกล้คุณที่สุด ผมอยากได้ยินเสียงกรนของคุณ”
“นอนตรงนี้ก็เหมือนได้นอนอยู่ข้าง ๆ คุณนั่นแหละ”
เจียงหว่านสับสนทำอะไรไม่ถูก เธอมองลงไปก็เห็นดวงตาแดงก่ำกับใบหน้าที่โศกเศร้าของเฉียวเหลียนเฉิง
ทันใดนั้น หัวใจของเธอก็เต้นแรง
แบบนี้มันไม่ถูกต้อง…
ไหนจะใบหน้าหล่อ ๆ นั่น ไหนจะน้ำเสียงแข็งกร้าวที่พูดถ้อยคำหวาน ๆ ด้วยสีหน้าโศกเศร้าแบบนั้น
ใครจะไปทนได้ล่ะ!
เธอหันหลังกลับ และหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดขึ้น “แล้วแต่นายเถอะ”
หลังจากนั้นเธอก็ปิดหน้าต่าง แล้วเข้านอนทันที
จะนอนก็นอนไป เธอไม่สนใจหรอก
ในคืนนี้ ทั้งที่คนหนึ่งนอนในห้อง อีกคนหนึ่งนอนนอกหน้าต่าง แต่น่าแปลกที่ทั้งคู่ต่างก็หลับสบายมาก…
ทว่าไม่นานหลังจากฃทั้งสองหลับไป นอกลานบ้านก็มีคนสองสามคนเดินเข้ามา
คนพวกนี้ถือไม้ไว้ในมือ แล้วย่องมาที่ประตูลานบ้าน
“ฮวาจือ เธอแน่ใจนะว่าบ้านหลังนี้?” ชายที่เดินนำถามเสียงเบา
ผู้หญิงผมหยิกตัวเล็ก ๆ พยักหน้า “อื้อ ที่นี่ไม่ผิดแน่”
“แต่ว่านะพี่หู ผู้หญิงคนนี้ต่อสู้เป็นและแข็งแกร่งมากด้วย ตอนเข้าไปพี่ต้องระวังตัวด้วยนะ” ฮวาจือเตือนเสียงต่ำ
“ฉันรู้น่า พี่หูของเธอไม่ได้กระจอก ๆ ฉันเก่งที่สุดในทีมกังฟูเลยนะ วางใจเถอะ ฉันจะสั่งสอนผู้หญิงคนนั้นเอง!”
พูดกับฮวาจือจบ เขาก็หันไปพูดกับคนที่อยู่ข้างหลัง “เดี๋ยวตอนที่เข้าไปแล้ว ตียัยอ้วนนั้นให้แรงเลยนะ ไม่ต้องสนใจเด็ก”
“ยัยอ้วนนั่นจะทุบตียังไงก็ได้ แต่ถ้าทุบตีเด็กเข้าจะผิดกฎหมาย เข้าใจไหม”
”เข้าใจครับ!”
“พี่หูไม่ต้องกังวล พวกเรามีแผน”
“ใช่แล้วพี่หู นังนั่นมันรังแกพี่สะใภ้ของเรา เราจะจัดการมันให้สาสม!”
คำว่า ‘พี่สะใภ้’ ทำให้ฮวาจือยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ที่สนามหญ้าเล็ก ๆ มีประตูรั้วเปราะบางขวางอยู่ พี่หูจึงเตะให้มันเปิดออก
คนทั้งหมดรีบเข้าไปในสนาม และตรงไปที่ประตูบ้าน
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้เข้าใกล้ ก็มีเงาสีดำก็แวบผ่านสายตาไป และความรู้สึกเจ็บปวดก็แล่นไปทั่วร่าง พวกเขาล้มลงไปกองกับพื้นทีละคนโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
“เห้ย! อะไรวะ?”
“โอ้ย! ฉันโดนอะไรไม่รู้ตี เจ็บชะมัด!”
“โอ้ย! เท้าฉันเจ็บมาก หักแล้ว ๆ หักแล้วแน่ ๆ เลย!”
“อึก! เอวฉัน! ฉันขยับเอวไม่ได้!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เจียงหว่านที่อยู่ในห้องตกใจ
เจียงหว่านไม่กล้าขยับ เพียงแต่ตั้งใจฟัง เธอได้ยินเสียงต่อยตีอยู่หลายครั้ง ตามมาด้วยเสียงทุ้มต่ำของเฉียวเหลียนเฉิง
“หุบปาก! อย่ามารบกวนภรรยาฉันตอนหลับ!”
คนพวกนั้นตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว แม้ชายคนนี้จะพูดประโยคนั้นนิ่ง ๆ แต่กลับน่าหวาดกลัวจนไม่อาจบรรยายได้ และรู้ได้ทันทีว่าชายตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดา
คนคนนี้น่ากลัวราวกับยมทูตผู้มาจากนรก ทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้ และทำอะไรไม่ถูก
หลายคนไม่กล้าพูดอะไรอีก ทันใดนั้นรัศมีอันเยือกเย็นของเฉียวเหลียนเฉิงก็สลายไปราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น!
“ตอบมา พวกแกเป็นใคร และมาทำอะไรที่นี่กลางดึกแบบนี้?”
เฉียวเหลียนเฉิงถามจี้
คนเหล่านั้นยังคงเงียบ พวกเขานั่งยอง ๆ อยู่บนพื้น ซุกตัวรวมกันราวกับลูกบอลกลม ๆ บางคนตัวสั่นเพราะความกลัว และบางคนก็ตัวสั่นเพราะถูกอัดจนน่วม!