เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 107 หัวใจเต้นรัว! เจียงหว่านในสายตาของเฉียวเหลียนเฉิงนั้นช่างเปล่งประกาย
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 107 หัวใจเต้นรัว! เจียงหว่านในสายตาของเฉียวเหลียนเฉิงนั้นช่างเปล่งประกาย
บทที่ 107 หัวใจเต้นรัว! เจียงหว่านในสายตาของเฉียวเหลียนเฉิงนั้นช่างเปล่งประกาย
เจียงหว่านเคาะโต๊ะพลางคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ “ตระกูลเจียงคงจะเห็นด้วย แต่ว่าจากเงื่อนไขสามข้อนั้น พวกเขาอาจจะยอมตกลงแค่ข้อใดข้อหนึ่ง”
“เจียงเสวี่ยเห็นแก่ตัวมาก ได้ยินมาว่าเธอยังบ่นแม่เลี้ยงอยู่ เงื่อนไขที่จะให้เงินหนึ่งหมื่นหยวนไม่มีทาง”
“ส่วนเงื่อนไขที่จะหาคนมาแต่งงานกับหลี่ซิ่วหลันก็ต้องลองดู คราวนี้ขึ้นอยู่กับว่าตระกูลเจียงจะมีความสามารถหรือไม่แล้วล่ะนะ”
“แต่งงาน?” เฉียวเหลียนเฉิงประหลาดใจ จากที่เขาดูแล้ว เงื่อนไขนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ยากที่สุด
แต่เจียงหว่านเพียงยกยิ้ม “นายก็คงจะพอรู้อยู่แล้ว ว่าถ้าเป็นเงื่อนไขเรื่องการแต่งงาน คนที่จะมาแต่งงานกับหลี่ซิ่วหลันจะต้องไม่ใช่คนที่มาจากตระกูลเจียง สิ่งเดียวที่ตระกูลเจียงต้องการคือการหาคนที่เป็นหนี้บุญคุณของพวกเขา”
“หลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อไป ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขาแล้ว”
“ถึงเวลานั้น เวลาคงผ่านไปมากโข หลี่ซิ่วหลันก็คงไม่สร้างปัญหาอะไรได้แม้ว่าเธอจะอยากทำก็ตาม”
“เพราะไม่อย่างนั้น หลี่ซิ่วหลันก็ดูเหมือนคนงี่เง่าคนหนึ่ง หล่อนไม่ควรยกข้อเสนอนี้ขึ้นมา!”
เธอพูดต่อ “ถ้าพูดถึงเรื่องงาน ตระกูลเจียงก็คงจะขะมักเขม้น อยู่ที่ว่าเป็นงานประเภทไหน”
“ในฐานะคนพิการ สิ่งที่เธอทำได้คือไปที่โรงงานที่จ้างผู้พิการโดยเฉพาะ อย่างงานติดกล่องกระดาษ”
“อ้อ! หลี่ซิ่วหลันเหมาะที่จะทำอันนี้มากเลยแฮะ!”
เฉียวเหลียนเฉิงนิ่ง ไม่ออกความเห็น
เขาไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่นัก จะดีเสียกว่าถ้าให้เขาไปต่อสู้ฆ่าฟันศัตรูหรือตามจับอาชญากร การให้ทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้ออกจะยากไปหน่อยสำหรับเขา
“ใช่แล้ว! มีจดหมายของคุณด้วย ผมลืมไปเลย”
เฉียวเหลียนเฉิงหยิบจดหมายออกมาสองฉบับมอบให้เจียงหว่าน
เจียงหว่านเปิดจดหมายออกมา ทันใดนั้น รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมาบนในหน้าของเธอ
“เรื่องสั้นของฉันถูกเอามาตีพิมพ์ ได้ค่าลิขสิทธิ์มาสามสิบหยวนล่ะ!”
เฉียวเหลียนเฉิงประหลาดใจ “สามสิบ! ทำไมได้เยอะขนาดนั้นล่ะ!”
เจียงหว่านฮัมเพลงพลางเปิดจดหมายอีกฉบับ คราวนี้บนหน้าของเธอก็ปรากฏรอยยิ้มที่กว้างมากขึ้น
“จริง ๆ เลยนะ ตอนที่ต้องการเงิน เงินก็ไม่มา พอตอนนี้มีเงินไม่ขาด ก็มีจดหมายมาถึงสองฉบับ”
“นี่ก็เรื่องสั้นของคุณเหรอ?” เฉียวเหลียนเฉิงถามขึ้นมาจากด้านข้าง
เจียงหว่านส่ายหัว “ไม่ อันนี้มันเป็นนิยาย ฉันเคยเขียนนิยายส่งไปหนึ่งบท และเมื่อเร็ว ๆ นี้พวกเขาก็วางแผนที่จะตีพิมพ์ต่อเนื่องกัน เพื่อเพิ่มความเหนียวแน่นของลูกค้า พวกเขาเลยใช้งานของฉัน”
“พวกเขาบอกว่าจะจ่ายเงินให้ฉันยี่สิบหยวนต่อหนึ่งพันคำ และถามความสมัครใจของฉัน ถ้าฉันตกลงฉันก็สามารถเซ็นสัญญาได้เลย จากนั้นทุก ๆ สัปดาห์ก็ต้องส่งต้นฉบับให้ตรงเวลา แต่ถ้าฉันจะทำ ฉันก็แค่ส่งครั้งละหนึ่งพันคำเท่านั้น”
“ขอถามหน่อยได้มั้ยว่าทั้งหมดมีกี่คำ”
“ยี่สิบหยวนต่อหนึ่งพันคำ ไม่คุ้มเลยนะ”
หนึ่งพันคำจะใช้เวลาเขียนนานแค่ไหนกัน เขาคิดพลางมองไปที่นิ้วของเจียงหว่าน
ถ้าเขียนสัปดาห์ละหนึ่งพันคำ เอามาปรับเปลี่ยนแก้ไขก็ปาไปสามพันคำแล้ว จะไม่เจ็บนิ้วไปหมดเหรอ!
แต่เจียงหว่านไม่สนใจ “โชคดีที่ราคาของนิยายถึงจะต่ำกว่า แต่ก็ยั่งยืน โดยทั่วไปแล้วงานเขียนประเภทนี้ต้องมีอย่างน้อยประมาณหมื่นคำล่ะนะ”
“อีกอย่างนะ ฉันก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร บรรณาธิการบอกว่าถ้าได้รับการตอบรับที่ดี เขาจะขึ้นราคาให้ฉันในฉบับหน้า!”
เธอดูมีความสุขมาก และดูเป็นความสุขอย่างแท้จริง ประกอบกับใบหน้าที่อ้วนท้วนของเธอก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดูเปล่งประกาย
โดยเฉพาะดวงตาสีเข้มคู่นั้น ที่ระยิบระยับราวกับดวงดาวในท้องฟ้ายามค่ำคืน
เฉียวเหลียนเฉิงเงยหน้าขึ้นมาสบสายตาอย่างไม่ตั้งใจ
และเขาก็ถูกเจียงหว่านดึงดูดไปทันที ไม่เพียงแต่เธอสวยเท่านั้น แต่เธอยังเหมือนหลุมดำที่ดึงดูดสายตาและหัวใจของเขาไว้อีกด้วย
เจียงหว่านวางจดหมายลง ตอนนี้เธอมีความสุขมาก แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เธอกลับเห็นสายตาร้อนแรงของเฉียวเหลียนเฉิง
ณ นาทีนี้ แม้ว่าเธอจะไม่เคยมีความรักมาก่อน แต่เธอก็เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังจะสื่อ
หัวใจของเธอเต้นระรัว รีบหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว
“วันนี้ยุ่งมาทั้งวันแล้ว ฉันจะไปอาบน้ำสักหน่อยดีกว่า”
พูดจบเธอก็วิ่งออกไปโดยไม่หันกลับมามอง
เจียงหว่านเดินจากไป แต่เฉียวเหลียนเฉิงยังไม่ขยับไปไหน เขายังรู้สึกถึงไออุ่นอันแผ่วเบาของเธอที่ยังลอยอยู่ในอากาศ
แต่ไหนแต่ไร หัวใจของเขาสงบนิ่งมาตลอด ในหัวก็ไม่เคยมีอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ กับเธอเลย
ในเวลาที่เขาเข้าร่วมกองทัพ เขาก็มุ่งความสนใจไปที่งานและการฝึกฝน ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวกับผู้หญิงคนไหนเลยสักนิด
ขนาดเจียงเสวี่ยที่มาถึงตรงหน้า เขาก็เพียงพยักหน้าอย่างสุภาพกลับไปเท่านั้นเอง!
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบมองผู้หญิงสวย แต่สำหรับเขา ผู้หญิงสวย ๆ แค่มองครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว
เขาไม่เคยคิดที่จะอยากพาพวกเธอกลับบ้าน หรือไม่คิดจะครอบครองหญิงสาวเหล่านั้นเลย
วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกหวั่นไหว
หัวใจที่อกข้างซ้ายกำลังเต้นรัวอย่างกระสับกระส่าย ราวกับว่ามันกำลังจะทะลุออกมา
เจียงหว่านชำระล้างร่างกายของเธอด้วยน้ำอุ่นอยู่ด้านนอก และไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมความชื้นจากไอน้ำ
เมื่อกลับเข้ามา ด้านเฉียวเหลียนเฉิงก็สงบลงแล้ว
จากนั้นเขาก็ออกไปอาบน้ำเช่นกัน
เมื่อกลับมา ไฟในบ้านก็ปิดลงไปแล้ว
เขานอนอยู่บนพื้นท่ามกลางแสงจันทร์
ส่วนเจียงหว่านก็กำลังนอนสบายอยู่บนเตียง พร้อมกับเฉียวผิงอันที่โดนกล่อมจนผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
คนทั้งสองต่างนอนไม่หลับ
เมื่อฟังเสียงจากด้านล่าง เธอก็รู้สึกไม่สบายใจ
เธอคงจะโกหก ถ้าจะบอกว่าเธอไม่สนใจเขา ก็เฉียวเหลียนเฉิงทั้งหน้าตาหล่อเหลา เป็นสุภาพบุรุษ แถมยังใจดีมากขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม จากเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เธอก็มีศักดิ์ศรีเกินกว่าจะให้อภัยได้
ในความคิดของเธอ รอยร้าวในอดีตนั้นไม่มีวันผสานได้
อย่างนั้นก็ให้เป็นไปอย่างนี้แหละ!
เมื่อคิดได้แบบนี้ หัวใจของเจียงหว่านก็สงบลง และผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น เฉียวเหลียนเฉิงก็ออกไปแล้ว
เจียงหว่านยังคงยุ่งอยู่ทั้งวัน
จนถึงช่วงบ่าย ในที่สุดเธอก็มีเวลาเสียที จึงพาเฉียวผิงอันไปโรงเรียน
โรงเรียนอนุบาลจะเข้าได้เมื่ออายุห้าขวบ ซึ่งเป็นวัยที่เหมาะสมสำหรับผิงอัน ส่วนจะเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หรือจะรออีกสองปีนั้น ขึ้นอยู่กับผลงานของนักเรียนและความต้องการของผู้ปกครอง
“โดยปกติแล้ว โรงเรียนของเราจะแนะนำให้เด็ก ๆ เข้าโรงเรียนเมื่ออายุแปดขวบ แต่แน่นอนว่าหากผู้ปกครองร้องขอ พวกเขาก็เข้าเรียนได้เมื่ออายุเจ็ดขวบเช่นกันค่ะ”
”ค่าเล่าเรียนสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนอยู่ที่ 1.5 หยวนต่อเดือน สามารถกลับบ้านไปทานอาหารกลางวันได้ และผู้ปกครองก็สามารถมารับหรือจะกลับเองก็ได้” คุณครูให้คำแนะนำ
โรงเรียนอยู่ในตำบล ซึ่งผิงอันสามารถไปกลับเองได้
หลังจากที่เจียงหว่านรับทราบข้อมูลโดยละเอียดแล้ว เธอก็สมัครเรียนให้ผิงอัน
แต่ผิงอันยังคงลังเล “คุณไม่กลับไปถามพ่อของผมก่อนเหรอ? ค่าเรียนมากกว่าหนึ่งหยวนต่อเดือนเชียวนะ”
เจียงหว่านเหลือบมองเด็กชาย “ตอนนี้ฉันเป็นแม่เลี้ยงของเธอแล้ว ฉันเป็นคนตัดสินใจ”
เฉียวเหลียนเฉิงเป็นคนแนะนำให้ส่งผิงอันมาที่นี่ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาเห็นด้วย เธอจะกลับไปถามทำไมล่ะ
แบบฟอร์มก็กรอกแล้ว เงินก็จ่ายแล้ว
แต่ผิงอันยังทำหน้าบูดบึ้ง ดูไม่มีความสุขเท่าไหร่นัก
เจียงหว่านยิ้ม “เธอยังอยากเจอเจียงเสวี่ยอยู่หรือเปล่า? ถ้าเธออยากไป ฉันไปส่งเธอได้นะ”
เธอหยุดไปชั่วครู่ แล้วกล่าวเสริม “บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้นะ”
ผิงอันเม้มริมฝีปากด้วยความเสียใจ “คุณจะหัวเราะเยาะว่าผมโง่เหรอ”
เมื่อเห็นว่าเจียงหว่านยังคงเงียบ ผิงอันก็พูดพึมพำ “อันที่จริงผมก็รู้แล้วล่ะ ว่าน้าเจียงเสวี่ยทำสิ่งที่เลวร้าย”
เจียงหว่านถึงกับสงสัย “โอ้? เธอรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? เล่าให้ฟังหน่อยสิ”
ผิงอันก้มลงแล้วพูดว่า “ไม่นานมานี้ เธอขอให้ผมไปเอาใบเลื่อย ผมถึงรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ”
เขาเงยหน้าจ้องมองไปที่เจียงหว่าน จากนั้นก็กระซิบกระซาบ “ครั้งที่แล้วกระถางดอกไม้ตกเกือบจะโดนป้าเฉิน ผมก็รู้”
“ตอนที่ผมเห็นใบเลื่อยนั้น ผมก็พอจะเดาได้ว่าเธอเป็นคนทำ”