เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 106 เจียงหว่านติดตามหนี้ชดเชยค่าไก่
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 106 เจียงหว่านติดตามหนี้ชดเชยค่าไก่
บทที่ 106 เจียงหว่านติดตามหนี้ชดเชยค่าไก่
ชายที่ชื่อหลี่หย่วนซานถอนหายใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น
“งั้นฉันก็ต้องฟักพ่อไก่สี่ตัว แม่ไก่สี่ตัวใช่ไหม!”
เจียงหว่านส่ายศีรษะ “ไม่ใช่!”
หลี่หย่วนซานขมวดคิ้วมึนงง “เธอไม่ได้บอกว่า…”
เจียงหว่านหัวเราะ “เอาล่ะ ตามที่แกพูดเมื่อกี้ ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้วล่ะ ฉันต้องการแม่ไก่หกตัว และทุกคนต้องมีแม่ไก่ให้ฉันอย่างน้อยหกตัว!”
อาเฉวียนเริ่มโกรธ “นังอ้วน แกนี่มันหาที่ตายหรือไง!”
เขาพร้อมวิ่งเข้าหาเจียงหว่านโดยสัญชาตญาณ
แต่ก่อนที่เจียงหว่านจะได้ตอบโต้ กลับมีมือหนาคว้าข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน
เวลานั้นเองที่อาเฉวียนรู้สึกว่าตนนั้นไร้ซึ่งพละกำลัง เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือหนา ผู้มีร่างสูงหล่อเหลาตรงหน้า
เมื่อเห็นสิ่งที่เฉียวเหลียนเฉิงทำ ทั้งสามคนยิ่งตื่นตระหนก ก้มหน้าลงสงบปากสงบคำในทันที
พวกเขารู้สึกว่าไร้ค่า
ยิ่งเห็นเฉียวเหลียนเฉิงมองลงมา แรงกดดันจากอีกฝ่ายนั้นน่าสะพรึงกลัวจนทำให้พวกเขาหวาดกลัวมาก
“คุณ คุณเป็นใคร?” อาเฉวียนถามด้วยน้ำเสียงติดขัด
เฉียวเหลียนเฉิงไม่ได้ตอบ แต่ผิงอันกลับตอบขึ้นแทน
“เขาเป็นพ่อของฉัน!”
อาเฉวียนตกตะลึงก่อนจะมองข้อมือที่ถูกจับไว้อย่างไม่อาจขยับเขยื้อน จนเหงื่อเย็นเฉียบท่วมหน้า
ผู้ชายคนนี้น่ากลัวมาก!
หลี่หย่วนซานถอนหายใจสิ้นหวัง “ก็ได้ ตกลงตามที่เธอพูด!”
เจียงหว่านกล่าวย้ำด้วยความพึงพอใจ “แม่ไก่หกตัว มีไก่ตัวผู้ได้สองตัว!”
“ถ้าถึงเวลาที่ต้องเอามันมาให้ฉัน ถ้าพวกแกยังทำไม่ได้ จำนวนก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ก็คือแม่ไก่สิบสองตัว และไก่ตัวผู้สี่ตัว”
ฮวาจือแทบจะร้องไห้ “นี่เธอเป็นเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบเหรอ?”
เจียงหว่านตวาดกลับอย่างไม่พอใจ “พวกแกรู้อะไรไหม นี่น่ะเรียกว่าเงินกู้ที่ถูกจ่ายออกไปแล้ว ปกติพวกแกต้องจ่ายเงินชดเชยมาเลยด้วยซ้ำ แต่นี่ฉันให้เวลาพวกแกหนึ่งเดือน ก็ถือว่าใจดีมากแล้ว!”
“ถ้าหากจ่ายไม่ครบตามกำหนด ก็ต้องเสียดอกเบี้ย แล้วก็บวกดอกเบี้ยของเดือนนี้ด้วย…”
เธอยกนิ้วขึ้นมานับเลขอย่างสนุกสนาน “ก็แค่เพิ่มขึ้นสองเท่า พวกแกก็ไม่เสียอะไรสักหน่อย!”
แม่เจ้า! ถูกหลอกแบบนี้มีหน้ามาบอกว่าไม่เสียอะไรงั้นเหรอ?
ในที่สุดพวกเขาก็ได้รู้ซึ้งถึงคำที่ว่า อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาออกมา!
ทั้งสามคนจากไปแล้ว และตอนนี้เจียงหว่านยังเหลือเนื้ออีกสองกิโลกรัม
เจียงหว่านจึงนำมันกลับไปเป็นมื้อเย็นให้กับครอบครัว
หลังจากกลับมาที่ลาน คนขายเนื้อกับช่างตีเหล็กก็มารออยู่ที่ประตู
“น้องสาว ฉันได้ยินว่าบ้านของเธอถูกบุกงั้นเหรอ!”
เจียงหว่านพึมพำ “เป็นฮวาจือแหละค่ะ ไม่เป็นไร”
คนขายเนื้อมองไปรอบ ๆ “ฮวาจือเป็นลูกพี่ลูกน้องห่าง ๆ ของฉันเองแหละ หล่อนงี่เง่าและไร้เหตุผล ทั้งยังออกไปเที่ยวหลับนอนกับผู้ชายตลอด จนพ่อกับแม่ของเธอโกรธแทบจะกระอักเลือด”
“ไว้ฉันจะส่งคนไปเตือนยัยนั่นให้ว่าอย่ามาสร้างปัญหาให้กับเธออีก!”
เจียงหว่านโบกมือ “ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน[1]*”
“นี่เป็นภาพที่ฉันร่างไว้ค่ะ คุณเข้าใจหรือเปล่า? พอจะทำได้ไหม?”
ในรูปภาพเป็นภาพกล่องเหล็กขนาดใหญ่ มีรูสำหรับวางหม้อและมีแผ่นเหล็กด้านข้างเพื่อหั่นสิ่งต่าง ๆ
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เจียงหว่านคิดค้น มันสามารถวางเตาขนาดเล็กลงในช่องเพื่อให้ความร้อนให้กับเนื้อได้
เพราะหากอากาศเย็น หมูตุ๋นจะดูไม่น่ากิน และเสียรสชาติด้วย
จากนั้นคนขายเนื้อและช่างตีเหล็กเจรจาตกลงกันเรื่องเวลาและราคา แล้วแยกย้ายกันไป
เจียงหว่านไปส่งพวกเขา ก่อนจะกลับมาด้านใน เธอเห็นว่าลานนี้ได้รับการทำความสะอาดแล้ว
จากที่ดูเลอะเทอะ กลายเป็นดูสะอาดตาขึ้นมาก
“นายเอาอะไรมา?” เจียงหว่านถามเมื่อเห็นว่ามีกระสอบใบหนึ่งวางตั้งอยู่ข้างเตา
“อุปกรณ์สำหรับทำอาหารน่ะ ผมเอามาให้ คุณอยู่ที่นี่ จะได้ใช้มันสะดวก ๆ”
เห็นเจียงหว่านประหลาดใจ เฉียวเหลียนเฉิงจึงรีบพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะทำอาหารเอง คุณขายหมูตุ๋นทุกวันก็เหนื่อยแย่แล้ว ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของผมเอง”
เจียงหว่านส่ายศีรษะ “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉันแค่รู้สึกว่าการทำอาหารคนเดียวมันเหนื่อย”
เฉียวเหลียนเฉิงแย้ง “จะมีปัญหาอะไรล่ะ? คุณก็ยังมีผมกับผิงอันอยู่นี่”
พูดจบ เขาก็มองเธอด้วยสายตาคาดหวังและกังวล
เจียงหว่านเงียบ ไม่อยากโต้แย้งกับเขาแล้ว
“เอาเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ ฉันเหนื่อยแล้ว จะไปพักผ่อนก่อน”
เฉียวเหลียนเฉิงยกยิ้มกว้าง “ตกลง งั้นผมจะทำอาหารรอนะ”
เขาตระเตรียมไฟในลานให้พร้อม ก่อนจะเริ่มลงมือ
สิ่งที่เขาจะทำคืนนี้คือเส้นบะหมี่ ใช้แป้งขาวผสมกับแป้งข้าวโพด ต้มในหม้อใบใหญ่ ใส่ไข่และผักใบเขียว
แค่นี้ก็อร่อยแล้ว
เจียงหว่านมองดูเขาอย่างสงสัย “นายทำมันมากี่ปีแล้ว?”
เฉียวเหลียนเฉิงตอบสบาย ๆ “ผมทำอย่างนี้มาสิบแปดปีปีแล้วน่ะ”
สิบแปดปีงั้นเหรอ? ตอนนี้หมอนี่อายุแค่ยี่สิบต้น ๆ ถ้าสิบแปดปีก็หมายความว่าอายุ…
ห้าถึงเจ็ดขวบ!
“นายฝึกทำอาหารตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ?” เจียงหว่านยังคงอยากรู้
เฉียวเหลียนเฉิงเคี้ยวอาหารในปากจนหมดก่อนจะเอ่ยปากตอบ “ตอนนั้นผมสี่ขวบ ยายก็ป่วยต้องนานอยู่บนเตียง ลุกมาทำอาหารไม่ได้”
“ส่วนแม่ชอบตำหนิว่ายายไร้ประโยชน์ ยายเลยต้องลุกขึ้นทั้งใบหน้าเศร้า ๆ เพื่อไปทำอาหาร แต่เธอก็หัวแตกเพราะล้ม”
“ผมเลยอาสาว่าจะทำอาหารให้เอง”
เจียงหว่านประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม “นายอายุแค่สี่ขวบ สูงไม่ถึงเตาไฟด้วยซ้ำ แล้วทำอาหารได้ยังไง”
เฉียวเหลียนเฉิงนึกคิดแล้วตอบกลับ “ตอนแรกผมก็ยังไม่สูงเท่าเตาไฟหรอก แต่ผมอาศัยยืนบนเก้าอี้แทนน่ะ”
“อีกอย่างผมค่อนข้างโตเร็วด้วย แค่ยืนบนเก้าอี้ก็เห็นทุกอย่างแล้ว”
“ผมทำอย่างนั้นอยู่ห้าปี หลังจากยายอาการดีขึ้น ผมก็หยุดทำอาหาร”
เจียงหว่านถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่เฉียวเหลียนเฉิงกลับพูดต่อว่า “แล้วไปซักผ้ากับสับฟืนแทน”
เจียงหว่านถึงกับพูดไม่ออก
เธอถามอีกฝ่ายต่อ “แม่ของนายยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า? ให้เด็กตัวเล็ก ๆ ไปซักผ้า สับฟืน ไหนยังต้องทำอาหารอีก”
แต่จะพูดอย่างนั้นก็คงไม่ได้ เพราะเธอไม่รู้สถานการณ์ในครอบครัวของเขาทั้งหมด
อีกอย่าง แม้หล่อนจะเป็นมารดาผู้ให้กำเนิด แต่สิ่งที่หล่อนทำมันมากเกินไป!
เจียงหว่านไม่มีทางยอมรับว่าผู้หญิงคนนั้นคือแม่สามีเด็ดขาด!
“แล้วพ่อของนายล่ะ ไม่ได้อยู่ที่บ้านด้วยเหรอ?”
เฉียวเหลียนเฉิงเงียบ เขาหลุบตาลงต่ำ แต่ก็ยังเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา
“ปกติพ่อไม่ทำงานบ้าน นอกจากทำงานในไร่แล้ว หลังจากกลับมาก็เปลี่ยนเป็นคนละคน”
“เขาชอบเมาหัวราน้ำ”
เจียงหว่านเงียบ
เธอเติบโตมากับความรุนแรงในครอบครัวตั้งแต่ยังเด็ก
พ่อของเธออารมณ์ร้าย ค่อนข้างเกรี้ยวกราด ไม้เท้าในมือของเขามีไว้เพื่อฟาดเธออยู่ประจำ และเชื่อว่าลูกจะกตัญญู
เธอเองก็เผชิญกับความเข้มงวดนั้นมาเหมือนกัน
หลายครั้งที่เธอรู้สึกภูมิใจในตัวเอง แต่ก็ยังลอบไม่พอใจที่เคยเผชิญกับสิ่งเหล่านั้นในวัยเด็ก
แต่เทียบกับเฉียวเหลียนเฉิงในเวลานี้ ดูเหมือนว่าชีวิตของเธอยังจะดีซะกว่า
อย่างน้อยพ่อก็ไม่เคยละเลยภรรยากับลูก เขาไม่เคยขอให้เธอทำงานบ้านตั้งแต่ยังเด็กด้วย!
หากเทียบกันแล้ว เธอคงเรียกได้ว่าโชคดีล่ะมั้ง
หลังมื้อเย็น เฉียวเหลียนเฉิงเล่าเรื่องที่หลี่ซิ่วจือร้องขอค่าชดเชยจากตระกูลเจียงเมื่อวานนี้
“เจียงเฉิงบอกผมว่าตระกูลเจียงไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอทั้งสามข้อ”
เจียงหว่านไม่แปลกใจ “หลี่ซิ่วหลันเป็นคนโลภ ไม่อย่างนั้นยัยนั่นคงไม่ยอมหันกลับไปจัดการเจียงเสวี่ยหรอก”
เฉียวเหลียนเฉิงเงียบ ก่อนจะถามเสียงแผ่วเบา “คุณคิดว่าเรื่องนี้จะจบลงยังไงเหรอ”
[1] ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน เปรียบถึงไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้