เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 102 เจียงเสวี่ยไม่พอใจเงื่อนไขที่หลี่ซิ่วหลันร้องขอ
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 102 เจียงเสวี่ยไม่พอใจเงื่อนไขที่หลี่ซิ่วหลันร้องขอ
บทที่ 102 เจียงเสวี่ยไม่พอใจเงื่อนไขที่หลี่ซิ่วหลันร้องขอ
เจียงเสวี่ยตบที่วางแขนของตัวเองด้วยความโกรธ คล้ายว่าอยากทุบตีอีกฝ่ายเต็มทน
“โกรธไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะเธอแพ้ผู้หญิงคนนั้น นี่คือความจริง!” ถังซิ่วอวิ๋นยังคงยั่วยุต่อไป
เจียงเสวี่ยโกรธมาก และคราวนี้เธอเริ่มทุบตีที่วางแขนของรถเข็น
จนกระทั่งประตูถูกปิดลง เสียงของทั้งสองจึงหายลับไปจากทางเดิน
ในคืนนั้น เฉียวเหลียนเฉิงไปเอาอาหารที่โรงอาหาร และเมื่อกลับมาก็เห็นว่าที่นี่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
สะใภ้เฉิน เหอหยวนหยวน หลัวหมิ่น รวมถึงลูก ๆ ของพวกเธอมาต่างที่นี่ จนเกิดเสียงจอแจไปทั่ว
เฉียวเหลียนเฉิงสับสนกับภาพตรงหน้า ภรรยาทหารทั้งหมดมารวมตัวกันงั้นเหรอ?
สะใภ้เฉินกล่าวขึ้น “หัวหน้ากองพันเฉียวกลับมาแล้ว งั้นเราไม่รบกวนครอบครัวของพวกเธอแล้วดีกว่า”
“ใช่ ๆ เราจะกลับไปเตรียมอาหารก่อน สามีของพวกเราน่าจะกลับมาถึงบ้านแล้วล่ะ” หลัวหมิ่นตะโกน
ทุกคนบอกลาแล้วรีบจากไป
พวกเธอมา และจากไปอย่างรวดเร็ว
ในพริบตา ห้องแห่งนี้ก็ว่างเปล่าอีกครั้ง
เฉียวเหลียนเฉิงมองเจียงหว่าน และมองของที่วางอยู่ตรงหน้าของเธอ มีทั้งเกี๊ยว หมูน้ำค้าง[1]* และไข่
ของทั้งหมดมีไม่มาก แค่สองสามชิ้น แต่เขาก็เข้าใจความคิดของทุกคนได้
“พี่สะใภ้เฉินเคยไปหาคุณที่ห้องควบคุมตัวชั่วคราวด้วยนะ แต่ตอนนั้นคุณไม่ได้รับอนุญาตให้พบกับใคร เธอจึงเข้าไปหาคุณไม่ได้น่ะ” เฉียวเหลียนเฉิงรู้สึกดีใจที่ภรรยาของเขามีความสัมพันธ์อันดีกับภรรยาของทหารในค่าย
เขาเลยอธิบายให้เธอฟัง
เจียงหว่านกลับสะดุ้งโหยง!
“ลูกเจี๊ยบกำลังจะฟักในอีกสองสามวันข้างหน้า”
“พอถึงเวลานั้น ฉันจะให้ลูกเจี๊ยบกับเธอเป็นสองเท่าเพื่อตอบแทนน้ำใจ”
“ส่วนที่เหลือก็ยกให้หลัวหมิ่นกับคนอื่น ๆ เราต้องตอบแทนน้ำใจของพวกเขาสักหน่อย” เจียงหว่านยิ้มอย่างมีความสุข
แล้วเฉียวเหลียนเฉิงก็ชวนเธอไปกินข้าว
เจียงหว่านหั่นหมูน้ำค้างที่หลัวหมิ่นนำมาให้เป็นชิ้นเล็ก และกินร่วมกับผักด้วย
“มันต้องกินแบบนี้เหรอ? นึกว่าต้องเอาใส่ในผัดผักซะอีก” เฉียวเหลียนเฉิงสงสัย
เจียงหว่านลังเลเล็กน้อย แล้วพูดว่า “อื้ม ไม่เป็นไรหรอก เพื่อนของฉันชอบกิน และเธอจะหั่นมันก่อนกินทุกครั้งน่ะ”
แม้ว่าเฉียวเหลียนเฉิงจะมาจากทางเหนือ แต่เขาก็ไม่ได้ชอบสิ่งนี้มากนัก
ส่วนเจียงหว่านเป็นเด็กหญิงที่เกิดและเติบโตที่ตงเป่ย อาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน จึงไม่เคยกินหมูน้ำค้างแบบนี้มาก่อน
ทั้งสองมองดูหมูน้ำค้างในจานด้วยความสับสน ก่อนจะลองกัดชิมหนึ่งคำ
“อื้ม ก็อร่อยนะ ออกหวาน ๆ” เจียงหว่านดันจานเพื่อบอกให้เฉียวเหลียนเฉิงลองชิม
ผิงอันกลับมาจากห้องน้ำ พร้อมจะทานอาหารแล้ว แต่เมื่อมองดูหมูน้ำค้างที่ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ อย่างนั้นเขากลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
“น้าอ้วน ผมว่าเจ้านี่มันควรจะอยู่ในผัดผักนะ”
“แล้วมันต่างกันตรงไหน? กินเข้าไปก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่มีพิษหรอก ลองชิมดูสิ!”
ผิงอันคิดตามแล้วก็คิดว่า…มันก็จริง
ทั้งสามคนจึงนั่งกินข้าวด้วยกัน
หลังรับประทานอาหารแล้ว เจียงหว่านเปิดประตูเพื่อออกไปทำความสะอาดกล่องอาหารและจานชาม
พลันเธอก็เห็นหลี่ซิ่วจือกำลังเดินผ่านมา
เจียงหว่านกล่าวทักทาย “สวัสดีค่ะ กินข้าวหรือยัง?”
หลี่ซิ่วจือที่เห็นอีกฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอาย เพราะนึกถึงเรื่องที่น้องสาวทำเอาไว้
แต่ความอับอายนั้นหายไปในพริบตา “สวัสดีจ้ะ”
เจียงหว่านเพียงกล่าวทักทายอย่างไม่คิดอะไร และกำลังจะเดินกลับไป
แต่ขณะที่เธอกำลังเดินออกไปนั้น หลี่ซิ่วจือก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “หว่านหว่าน ฉันขอโทษนะ”
เจียงหว่านหันมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ
หลี่ซิ่วจือกล่าวต่อ “ขอโทษในสิ่งที่น้องสาวของฉันทำ!”
เจียงหว่านยิ้มปลอบโยน “ไม่หรอกค่ะ คุณจะขอโทษได้ก็ต่อเมื่อมันเป็นความผิดของคุณ แต่นี่ไม่ใช่ คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษเลย”
“ยิ่งถ้ากล่าวแทนน้องสาวของคุณก็ไม่จำเป็นหรอกค่ะ เพราะเรื่องแบบนี้ไม่มีใครทำแทนใครได้”
“ฉันคิดว่าหล่อนคงจะเกลียดฉันมาก เพราะอย่างนั้นคำขอโทษของคุณเลยไม่ค่อยมีความหมายสักเท่าไหร่”
“แต่ถึงหล่อนคิดจะขอโทษฉันจริง ๆ ฉันก็ไม่คิดให้อภัยคนที่จะทำร้ายฉันหรอกค่ะ!”
ใบหน้าของหลี่ซิ่วจือซีดเซียวลง แต่เธอก็ไม่ได้ตอบโต้หรือกล่าวขัดอะไร
ส่วนเจียงหว่านเองก็ไม่อยากจะพูดอะไรนัก เพียงพยักหน้าให้เบา ๆ แล้วเดินจากไป
หลี่ซิ่วจือยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบน
เธอมาหาเจียงเสวี่ย
แต่บังเอิญว่าเจียงเฉิงก็อยู่ที่บ้านด้วย
สองพี่น้องตระกูลเจียงพร้อมกับถังซิ่วอวิ๋นอยู่พร้อมหน้ากันในห้อง
หลี่ซิ่วจือจึงบอกวัตถุประสงค์ของการมาเยี่ยมในวันนี้ “คนจากฝ่ายรักษาความปลอดภัยมาหาพวกเราแล้ว และน้องสาวของฉันก็ชี้แจงสถานการณ์ทั้งหมดไปเรียบร้อยแล้ว”
“แต่ถึงซิ่วหลันจะร่วงลงไปเอง แต่เพราะราวบันไดถูกทำให้ไม่แข็งแรงอยู่ก่อนแล้วเธอถึงได้ร่วงลงไป”
“เหล่าหลัวต้องการให้เราตกลงกันเป็นการส่วนตัว”
หลังจากหยุดพูดไปชั่วขณะ หลี่ซิ่วจือก็หันมองเจียงเฉิงอย่างละอายใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“น้องสาวของฉันต้องการเงิน งาน และสามี!”
เจียงเสวี่ยตกตะลึง “คุณหมายความว่ายังไง! พูดออกมาให้ชัดเจนสิ!”
เจียงเสวี่ยรู้แล้ว เธอไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไปว่าตนเองเป็นคนเลื่อยราวบันได
และตอนนี้เธอไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ จึงทำได้เพียงหาทางออกที่ดีที่สุด แต่ที่สำคัญคือถังซิ่วอวิ๋นอยู่ด้วย เจียงเสวี่ยไม่ต้องการให้ผู้หญิงคนนี้มาเห็นเรื่องตลกของเธอ
หลี่ซิ่วจือสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดต่อ “น้องสาวของฉันต้องการสามี และเพราะอุบัติเหตุเธอคงหาสามีมาแต่งงานด้วยตัวเองไม่ได้ ฉันต้องการให้พวกคุณหาผู้ชายมาแต่งงานกับเธอ และเขาจะต้องมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งภายในเมือง”
สองพี่น้องตระกูลเจียงยังคงเงียบ
หลี่ซิ่วจือกล่าวต่อ “น้องสาวของฉันยังต้องหาเลี้ยงชีพ แม้ขาจะพิการแต่เธอก็ต้องเลี้ยงตัวเองได้!”
“และต้องการค่าแรงเต็มอัตรา!”
สองพี่น้องตระกูลเจียงยังคงนิ่งเงียบ แต่ใบหน้าเคร่งเครียดขึ้น
แล้วในที่สุดหลี่ซิ่วจือก็พูดต่อ “พวกคุณต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลสำหรับเรื่องคราวนี้ และค่ากินอยู่ของน้องสาวฉันทั้งหมด อีกทั้งยังมีเงินค่าทำขวัญอีกหนึ่งหมื่นหยวนด้วย!”
น่าเหลือเชื่อจริง ๆ!
หลี่ซิ่วหลันกลายเป็นสิงโตปากกว้างไปได้ยังไง!
ถังซิ่วอวิ๋นที่อยู่ใกล้ ๆ หันมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
ช่างน่าประทับใจที่อีกฝ่ายกล้ากล่าวคำขอที่ละโมบเช่นนี้ออกมาได้!
นี่ไม่ใช่ข้อตกลงตามกฎหมาย หลี่ซิ่วจือเองก็รู้ตัวว่าไม่สามารถบังคับอีกฝ่ายได้ เธอจึงยืนขึ้นแล้วพูดต่อว่า
“ทั้งหมดคือคำขอจากน้องสาวของฉัน เธอบอกว่ามันคือค่าใช้จ่ายสำหรับอนาคตของเจียงเสวี่ย ฉันอยากจะให้พวกคุณไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างละเอียดด้วย”
หลังพูดอย่างนั้นแล้ว หลี่ซิ่วจือก็เดินออกไป
เมื่อเธอเดินไปที่ประตู ก็นึกถึงคำพูดของน้องสาวได้ จึงกล่าวขึ้นมาอีก
“น้องสาวของฉันยังบอกอีกว่า ถ้าพวกคุณรู้สึกรังเกียจข้อเสนอของเธอ เธออาจจะเพิ่มความผิดที่เจียงเสวี่ยยุยงให้เด็กสามขวบกระโดดลงไปในกระทะที่น้ำมันกำลังเดือดอีกหนึ่งคดี”
ตอนนี้ทุกสิ่งที่เธอต้องพูดก็ถูกพูดออกไปหมดแล้ว หลี่ซิ่วจือจึงปิดประตู จากไป
เจียงเฉิงขมวดคิ้วก่อนจะหันมองน้องสาวด้วยความสับสน “ให้เด็กสามขวบกระโดดลงกระทะ?”
ดวงตาของเจียงเสวี่ยแดงก่ำด้วยความอึดอัดใจ “วันนั้นฉันบอกกับเด็กน้อยว่าในกระทะมีอาหารอร่อย”
“แต่… แต่ฉันไม่รู้ว่ามีน้ำมันเดือดอยู่ในกระทะนั้นสักหน่อย!”
เมื่อเธอกล่าวออกมาอย่างนั้น แต่กลับหลุบดวงตาต่ำลง เหมือนคนกำลังหลบความผิด
เจียงเฉิงเข้าใจได้ทันทีว่า มันคือความจริง
ตอนนี้เขาไม่คิดเชื่อคำพูดเจียงเสวี่ยอีกต่อไปแล้ว
ชายหนุ่มลุกขึ้นก่อนจะจ้องมองน้องสาวด้วยความผิดหวัง “ฉันจะไปนอนที่ห้องทำงาน ทั้งสองคนรีบเข้านอนกันได้แล้ว”
พูดจบ เขาก็เปิดประตูออกไปทันที
หน้าของเจียงเสวี่ยกลายเป็นสีแดงด้วยความละอายใจ
พอหันกลับมาแล้ว เธอก็เห็นว่าถังซิ่วอวิ๋นกำลังสนุกสนานบนความโชคร้ายของเธอ “มีความสุขมากสินะ!”
ถังซิ่วอวิ๋นพยักหน้า “ใช่ ฉันมีความสุขมาก เพราะเธอทำทุกอย่างเองโดยที่ฉันไม่ต้องทำอะไรเลย และยังหลอกลวงพี่ชายตัวเองอีกด้วย”
“หึ ๆ โง่เขลาจริง ๆ!”
ใบหน้าของเจียงเสวี่ยมืดครึ้ม “ไม่ต้องมายุ่ง!”
[1] เป็นวิธีการเก็บรักษาอาหารของชาวจีนยูนนาน จะนิยมทำกันในหน้าหนาว เพราะกลางวันตากแดด กลางคืนปล่อยให้ตากน้ำค้างไว้(อากาศเย็น) ตากหลายสิบวันจนหมูแห้ง ก็สามารถแขวนไว้ในบ้านเก็บไว้กินได้ตลอดทั้งปี