เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 94 โจวจินหนาน - เมื่อก่อนฉันเคยเจอหล่อน
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80
- บทที่ 94 โจวจินหนาน - เมื่อก่อนฉันเคยเจอหล่อน
บทที่ 94 โจวจินหนาน – เมื่อก่อนฉันเคยเจอหล่อน
พอซูโม่พูดประโยคนั้นคำเดียว ผู้ชายสามคนก็นิ่งคิด แม้แต่เหอเหลียงผิงก็เก็บใบหน้ายิ้มแย้มกลับไป
เหอเหลียงผิงลังเลเล็กน้อย “เรื่องนั้นก็จัดการยากอยู่นิดหน่อยนะเนี่ย”
เกาจ้านเห็นโจวจินหนานอารมณ์ดิ่งลง ก็ตบโต๊ะครั้งหนึ่ง “เอาล่ะ เรื่องนี้ต่อไปห้ามพูดอีก ซูโม่เธอพูดถูก งั้นฉันขอถามเธอหน่อยว่าเหล่าสวีกับพวกที่ช่วยเหลือพี่น้องเหล่านั้นตายเปล่าหรือไม่? ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ผลลัพธ์หลังจากนี้เธอเคยคิดบ้างหรือเปล่า? พวกเราเองก็รู้สึกผิดกับสวี่ชิง เลยปฏิบัติกับหล่อนให้ดียิ่งขึ้นเป็นการชดเชยอย่างไรล่ะ”
“ถ้าเป็นไปได้ ให้ฉันยกชีวิตนี้ให้หล่อนเลยก็ได้!”
เพราะอยู่ในร้านอาหาร เกาจ้านจึงพูดด้วยเสียงต่ำและเบามาก แต่ยากจะควบคุมอารมณ์ไว้ได้ ขณะเอ่ยประโยคสุดท้ายหางตายังขึ้นสีแดงด้วย
พูดว่ารู้สึกผิด มีใครบ้างไม่รู้สึกผิด?
โจวจินหนานไม่รู้สึกผิดหรืออย่างไร?
ซูโม่โกรธจนตาแดง “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉันแค่รู้สึกไม่ยุติกรรมกับสวี่ชิง เป็นความผิดของฉันเอง”
เกาจ้านกระแอมไอ “เอาล่ะ ไม่พูดแล้ว เธอคิดว่าบนโลกนี้มีความยุติธรรมด้วยเหรอ? เหล่าทหารที่ตายในสนามรบแม้แต่เสื้อผ้าก็ยังเอากลับมาไม่ได้ นั่นน่ะยุติธรรมกับพวกเขาไหม?”
จู่ ๆ โจวจินหนานที่สงบคำมาโดยตลอดเอ่ยปากพูด “พอแล้ว พวกนายไม่ต้องพูดอีกแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องของฉันกับสวี่ชิงสองคน ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกนาย”
ซูโม่เช็ดหางตา “งั้นนายก็ต้องดีกับสวี่ชิงให้มากหน่อย แม้ว่าพวกนายจะไม่มีความรู้สึก…”
โจวจินหนานขมวดคิ้ว “ใครบอกไม่มีความรู้สึก ก่อนหน้านี้ฉันเคยเจอหล่อนมาแล้ว”
เกาจ้านพลันอยากรู้ขึ้นมาทันที “ที่แม่น้ำหวงเหอนั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่นายเจอสวี่ชิงงั้นเหรอ”
โจวจินหนานครุ่นคิดแล้วพยักหน้า “ไม่ใช่”
เกาจ้านหลุดหัวเราะออกมาทันที “ช่างเถอะ ๆ ตอนนี้ถือเสียว่าพวกนายเป็นสามีภรรยากันแล้ว พวกเราจะไม่กังวลแทนแล้ว”
จากนั้นก็มองไปที่ซูโม่อีก “แล้วก็เธอ เก็บความรู้สึกอยากผดุงความยุติธรรมอะไรนั่นของเธอไปเสีย มีอีกหลายเรื่องที่มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่ใจต้องการหรอกนะ”
ซูโม่หายใจฟืดฟาด และไม่พูดอะไรอีก
เหอเหลียงผิงอยู่ ๆ ก็พูดขึ้น “เวลานี้เหมาะจะดื่มเหล้าที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอ พวกเราควรต้องดื่มเหล้าสองขวดจริง ๆ แล้วล่ะ”
…..
สวี่ชิงออกมาจากร้านก็เห็นหวังไก๋ฮวากับหรูเหมยผู้เป็นเพื่อนบ้านยืนคุยกันอยู่ไม่ไกลนักด้วยอามณ์กระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด
เธอก้าวเท้าเชื่องช้า ค่อย ๆ เดินไปหาทั้งสอง
จนกระทั่งได้ยินหวังไก๋ฮวาพูดกับหรูเหมยอย่างโมโห “ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าอายุปูนนั้นแล้วหล่อนจะหน้าไม่อายมากขนาดนี้ ยัยฟางหลานซินคนนั้นหน้าตาหรือก็ไม่เห็นจะดี ติงชางเหวินชอบหล่อนไปได้ยังไง”
หรูเหมยคล้อยตาม “ใช่ ๆๆ อาจารย์ติงตอนนี้มีฐานะเป็นอะไร จะไปชอบคนอายุมากอย่างนั้นได้อย่างไร ถ้าหาจริง ๆ ก็ควรจะหาในมหาวิทยาลัยสิ”
หวังไก๋ฮวาถูกปลอบประโลม “อีกอย่างฉันไปได้ยินว่า ฟางหลานซินกับสามีของหล่อนมีความสัมพันธ์ดีเชียวล่ะ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริง สามีของหล่อนจะไม่สนใจเลยเหรอ ข่าวลือแพร่ไปทั่ว บอกว่าลูกสาวของฟางหลานซินก็คือลูกของติงชางเหวิน ถ้าเป็นเรื่องจริง ผู้ชายคนนั้นก็เลี้ยงลูกของคนอื่นอย่างเสียแรงเปล่า เป็นไปไม่ได้หรอก”
สวี่ชิงได้ยินประโยคนั้น ก็เข้าใจว่าหวังไก๋ฮวาไม่อยากหย่า เริ่มเข้าข้างตัวเองบังคับให้หาคำมาแก้ต่างให้กับข่าวลือที่ได้ยินมา
เหมือนปิดหูขโมยกระดิ่ง(1)หลอกตัวเองอยู่
สวี่ชิงจงใจเดินเข้าไปทักทายกับหรูเหมย “อ้าว คุณป้า พวกคุณมาเช้าจังเลยนะคะ กินข้าวเช้าหรือยังคะ”
หรูเหมยเคยไปกินเลี้ยงงานแต่งงานของสวี่ชิงกับโจวจินหนาน ส่งยิ้มกลับไปให้สวี่ชิง “กินแล้วจ้ะ เช้าขนาดนี้เธอมาทำอะไรล่ะ”
สวี่ชิงทำเหมือนไม่เห็นหวังไก๋ฮวา พลางถอนหายใจ “มะรืนน้องสาวของฉันจะแต่งงาน เดี๋ยวอีกสักพักฉันจะไปช่วย”
หรูเหมยพูดตามสวี่ชิง “ข่าวดีนะจ๊ะ”
สวี่ชิงทำหน้าปูเลี่ยน “ข่าวดีอะไรกันคะ พ่อฉันกับแม่เลี้ยงทะเลาะกันทุกวัน พ่อของฉันเอาแต่บอกว่าน้องสาวฉันไม่ใช่ลูกของเขา ในบ้านแทบจะไม่มีกลิ่นอายของงานมงคลเลยสักนิดเดียว”
หวังไก๋ฮวาฟังเนื้อเรื่องแล้วก็รู้สึกคุ้น ๆ ถามอย่างเผลอตัว “บ้านแม่ของเธออยู่ที่ไหนหรือ”
“อยู่ที่เขตโรงงานรถยนต์ ไม่ไกลจากที่นี่หรอกค่ะ”
ตอนนี้หวังไก๋ฮวาไม่อาจฟังคำว่าโรงงานรถยนต์ได้เลย แค่ได้ยินขนหัวก็ลุกแล้ว
เหตุใดถึงบังเอิญขนาดนี้ เป็นโรงงานรถยนต์อีกแล้ว! หล่อนกัดกรามกรอดถามอีกประโยคหนึ่ง “แม่เลี้ยงของเธอคือใคร”
“ฟางหลานซินค่ะ” สวี่ชิงพูดอย่างตกใจ ขณะมองหวังไก๋ฮวา “คุณคงไม่รู้จักหรอกใช่ไหมคะ ฉันขอไม่พูดดีกว่า มะรืนก็จะมีงานแต่งงานแล้ว ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องวุ่น ๆ อะไรบ้าง ฉันต้องรีบกลับไปดูล่ะ”
พูดแล้วก็เดินจากไปด้วยสีหน้าวิตกกังวล
หรูเหมยเป็นคนยืนฟังข้าง ๆ ได้ยินชัดเจน สวี่ชิงหญิงสาวคนนี้เดิมไม่ใช่คนชอบพูดชอบจา ทุกครั้งที่ออกมาเจอกันข้างนอกก็มักจะส่งยิ้มทักทายกันเท่านั้น
เมื่อกี้จู่ ๆ กลับพูดเยอะขนาดนี้ ชัดเจนว่าอยากพูดให้หวังไก๋ฮวาได้ยิน
แต่หวังไก๋ฮวาไม่ได้คิดถึงจุดนี้เลยสักนิด หล่อนเพิ่งจะกอดความหวังไว้ว่ามันไม่ใช่ความจริง กลับคิดไม่ถึงเลยว่ามันคือเรื่องจริง!
พอคิดว่าติงชางเหวินกับนังหญิงชั่วฟางหลานซินมีลูกด้วยกันโตถึงขนาดนั้นแล้วด้วย ก็โกรธจนแทบจะระเบิด
แต่งงาน? ให้มันแต่งงานดี ๆ ได้หรือ มีแต่ผีเท่านั้นแหละ!
สวี่ชิงเดินอ้อมกลับมาร้านอาหาร เธอรู้ว่าหวังไก๋ฮวาเป็นคนโมโหง่าย หล่อนคงไม่ไปยืนยันกับติงชางเหวิน คงจะเลือกไปก่อความวุ่นวายในงานแต่งของสวี่หรูเยว่ก่อนเป็นแน่
ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากเห็น
กลับเข้ามาในร้านก็เห็นเพียงโจวจินหนานกับเกาจ้านที่ยังอยู่ ส่วนเหอเหลียงผิงกับซูโม่จากไปแล้ว จึงขอโทษแล้วนั่งลง “เสี่ยวเหอกับซูโม่ล่ะคะ”
เกาจ้านยิ้ม “พวกเขามีธุระนิดหน่อย ต้องรีบไปขึ้นรถไฟก่อนแล้ว”
สวี่ชิงไม่คิดอะไรมาก “ฉันนึกว่าพวกเขาจะอยู่อีกสองสามวันเสียอีก ถ้ารู้ว่าไปเร็วขนาดนี้ไม่ว่าจะพูดยังไงก็คงทำเกี๊ยวที่บ้านกินกันแล้ว”
“ไม่เป็นไรน้องสะใภ้ พวกเขาไม่ได้กินก็ยังมีผมอยู่นะ กลับไปห่อเกี๊ยวอย่าลืมเรียกผมด้วยล่ะ”
สวี่ชิงพยักหน้า “ได้ค่ะ ห่อเกี๊ยวแล้วต้องเรียกคุณมาแน่นอน”
หลังออกมาจากร้าน เกาจ้านก็ขับรถจากไปในทันที
สวี่ชิงคล้องแขนโจวจินหนานอาศัยใต้ร่มไม้กลับบ้าน เดินไปก็กระซิบเสียงเบา ๆ ไป “ฉันคิดว่าจะไปขายทองที่ตลาดมืด แม่ของฉันทิ้งทองแท่งไว้สามแท่ง”
ด้วยราคาทองในตอนนี้ ทองสามแท่งจึงขายได้ราคาไม่เท่าไรนัก
โจวิจนหนานคิดถึงคนดีชั่วรวมอยู่ในตลาดมืดแล้วก็เอ่ยปาก “ให้ผมไปเป็นเพื่อนคุณไหม”
สวี่ชิงพยักหน้า “อืม พรุ่งนี้เช้าพวกเราไปเร็ว ๆ หน่อย ได้ยินว่าตีสามตีสี่ก็มีคนไปแล้ว”
เพราะทำการค้าในตอนมืด ฟ้าสว่างตลาดก็วายแล้ว ฉะนั้นในตอนที่แสงไฟมืดสลัว ๆ จึงเป็นตอนที่คนเยอะที่สุด
มันให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในดงภูติผี ดังนั้นจึงเรียกว่าตลาดผีก็ได้เช่นกัน
ตอนที่สวี่ชิงไปในชาติก่อน ตลาดผีได้ถูกจัดการเป็นมาตรฐานแล้ว มีแผงลอยที่ถูกต้องตามกฎหมายและคนดูแลตลาดแล้ว
แต่ตอนนี้ยังไม่มีกฎทำการค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในนั้นจึงมีคนอยู่ทุกรูปแบบ
หากพาโจวจินหนานไปด้วยจึงจะปลอดภัยขึ้นหน่อย
แม้เขาจะมองไม่เห็น แต่พลังที่ออกมาจากตัวเขาก็ทำให้คนเกรงกลัวได้ อีกทั้งยังสู้คนได้ด้วย!
สวี่ชิงยิ่งคิดก็ยิ่งดีใจ กอดผู้คุ้มกันประจำตัวกลับบ้านอย่างมีความสุข
ตกดึกทั้งสองเข้านอนเร็วหน่อย และตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตีสอง
พอนาฬิกาปลุกดัง สวี่ชิงก็ลุกขึ้นและพาโจวจินหนานออกเดินทางไปด้วยกัน
เธอขี่จักรยานพาโจวจินหนานพุ่งตรงไปยังตลาดมืด ตอนที่พวกเขามาถึง ในตลาดก็มีคนเยอะแล้ว ที่นี่ไม่มีแสงไฟ ในมือของหลายคนจึงมีไฟฉายอยู่ในมือหรือไม่ก็ถือตะเกียงน้ำมัน ค่อย ๆ เดินหาของขายหรือซื้อของ
ในค่ำคืนอันมืดมิดมีเพียงแสงไฟสลัวราง ยิ่งทำให้คนเหล่านั้นเหมือนวิญญาณเข้าไปใหญ่
สวี่ชิงกลัวจักรยานหาย ก็เลยถือโอกาสลากโจวจินหนานเดินไหลตามกลุ่มคนไปอย่างช้า ๆ…..
………………………………………………………………………………………………………………………
(1)เป็นสำนวน ใช้เปรียบเทียบกับการพยายามหลอกตัวเอง หรือพยายามปกปิดในเรื่องที่ทราบดีว่าไม่มีทางปกปิดได้สำเร็จ คือการขโมยกระดิ่งมาแล้วแต่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าขโมยกระดิ่งจึงปิดหูตัวเองไม่ให้ได้ยินเสียงกระดิ่ง ไม่ได้ยินเสียงก็ถือว่าไม่ได้ขโมยประมาณนี้
สารจากผู้แปล
พีคอีกแล้ว พี่หนานเคยเจอสวี่ชิงและชอบสวี่ชิงมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น
รอดูวิวาห์ล่มของนังหรูเยว่เลย สวี่ชิงปั่นขนาดนั้นจะเหลืออะไร
ไหหม่า(海馬)