เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 90 นี่เรียกว่าการศึกไม่หน่ายกลอุบาย
บทที่ 90 นี่เรียกว่าการศึกไม่หน่ายกลอุบาย
ไม่รู้ว่าสวี่ชิงตั้งใจหรือไม่ ฟางหลานซินหยิบมาดูอย่างประหลาดใจ แว่นขยายที่ดวงตาของเย่หนาน สายตาจ้องตรงไปข้างหน้าอย่างเงียบสงบ สายตาที่ทะลุผ่านแว่นขยายนั้นมีความรู้สึกบางอย่าง ราวกับเห็นภาพลวงตาวิญญาณกำลังจับจ้องหล่อนอยู่ในนั้น
ฟางหลานซินตกใจจนงอตัวอย่างรวดเร็ว จ้องสวี่ชิง “แกหมายความว่าอะไร”
สวี่ชิงดึงแว่นขยายแล้วก็รูปภาพกลับมา แม้แต่จดหมายก็ยังเก็บกลับในกระเป๋า “คุณไม่เข้าใจอีกเหรอว่ามันหมายความว่าอะไร งั้นฉันจะพูดอีกรอบ สิ่งที่แม่ของฉันทิ้งเอาไว้เข็มหนึ่งอันด้ายหนึ่งเส้นคุณก็ต้องคืนให้ฉันทั้งหมด!”
ฟางหลานซินยังคงไม่คิดจะปริปากพูด แต่จ้องมองสวี่ชิงด้วยสายตาเยือกเย็น ไหนจะเครื่องบันทึกเสียงที่อยู่ในมือของเธอนั่นอีก
แม้จะไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ แต่หล่อนก็ไม่กล้าเสี่ยง
หล่อนเชื่อว่าถ้ามีเครื่องบันทึกเสียงอยู่จริง สวี่ชิงนังเด็นชั่วคนนี้ก็กล้าที่จะเอาเสียงบันทึกนี้ไปส่งให้คลื่นวิทยุเขตโรงงานจริง ๆ เป็นแน่ ถึงตอนนั้นหล่อนจะทำอย่างไร
สวี่ชิงกดดันไม่ให้เวลาหล่อนได้ไตร่ตรอง “วันมะรืนถ้าคุณยังไม่เอามาให้ฉันอีก มะรืนนี้เป็นงานแต่งงานสวี่หรูเยว่ซะด้วย ฉันจะทำให้พวกคุณโด่งดังเอง!”
พูดแล้วก็ดึงมือโจวจินหนาน “พวกเรากลับบ้านกันเถอะค่ะ”
โจวจินหนานลุกขึ้นให้ความร่วมมือกับเธอเดินตามสวี่ชิงออกไปข้างนอก
ฟางหลานซินอยากขวางก็ไม่กล้าขวาง หล่อนกลัวจริง ๆ ว่าในงานแต่งของสวี่หรูเยว่จะมีอะไรผิดพลาด ทำได้เพียงจิกตามองสวี่ชิงกับโจวจินหนานได้จากไป
หล่อนโมโหจนใบหน้าบิดเบี้ยว ทว่าทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว ตอนนี้หล่อนถูกสวี่ชิงจูงจมูกเดินไปแล้วอย่างสมบูรณ์!
สวี่หรูเยว่ใบหน้าดำเป็นแถบโดยไม่พูดอะไรสักคำตลอด จนกระทั่งสวี่ชิงจากไปแล้วจึงพุ่งไปหาฟางหลานซิน “แม่ สวี่ชิงหมายความว่าอะไรทำไมมันรู้ว่าแม่มันทิ้งของเอาไว้ แล้วอะไรอยู่ในกำมือของมันคะ?”
เดิมทีฟางหลานซินก็โมโหมากอยู่แล้ว ยังถูกลูกสาวถามเช่นนี้อีก จึงพูดอย่างโมโหออกมาว่า “แกจะถามอะไรเยอะแยะให้มันได้อะไรขึ้นมา ทั้งหมดมันเป็นเพราะแก ถ้าแกพยายามแต่งงานกับโจวจินซวนให้ได้ เรื่องทั้งหมดนี้มันจะเกิดขึ้นไหม”
สวี่หรูเยว่เองก็โกรธแล้วเช่นกัน “แม่มาโทษหนูได้ยังไง แผนการของสวี่ชิงในตอนแรกก็เป็นแม่นั่นแหละที่รับปากมัน”
ฟางหลานซินโบกมือปัดออก “เอาล่ะ! เงียบเสียที ฉันกำลังคิดหาวิธีอยู่”
สวี่หรูเยว่เดินกลับห้องด้วยความโมโห อย่างไรหล่อนก็คิดไม่ออกเลยว่าเหตุใดจู่ ๆ สวี่ชิงก็กลายเป็นเก่งไปเสียทุกเรื่องแบบนี้ได้?
…….
สวี่ชิงรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ ๆ ก็เก่ง แต่เป็นประสบการณ์ให้ชาติก่อนของตน จึงทำให้บีบฟางหลานซินได้ ให้หล่อนจำใจต้องเดินตามเธอไปอย่างว่าง่าย
อารมณ์ตอนเดินลงจากตึกพร้อมกับโจวจินหนานั้นดีมากทีเดียว ทั้งยังพูดถึงท่าทางเมื่อครู่ของฟางหลานซินกับโจวจินหนานด้วย “เกรงว่าหล่อนจะโมโหจนตายแล้ว ตอนนี้คงรู้สึกกขยะแขยงยิ่งกว่าอมแมลงสาปร้อยตัวแล้วมั้ง”
โจวจินหนานแปลกใจไม่น้อย “ในรูปมีพวกกำไลกับสร้อยคอด้วยจริงเหรอ?”
สวี่ชิงหัวเราะเหอะ ๆ “แน่นอนว่าไม่มีค่ะ ฉันใช้ดินสอวาดลงไปเบา ๆ น่ะ ถ้าไม่มองให้ละเอียดต้องดูไม่ออกหรอก สร้อยทองพวกนี้ฉันไม่รู้ว่ามีหรือไม่มี แต่พวกเครื่องประดับน่ะต่างก็เป็นพวกสร้อยทองกำไลทองทั้งนั้น อีกอย่างเมื่อกี้ตอนฉันส่องแว่นขยาย ฉันตั้งใจส่องขยายตาของแม่ฉันก่อนโดนเฉพาะเลยค่ะ”
“คนคนหนึ่งที่เคยทำเรื่องไม่ดีก็มักจะละอายต่อบาป ต้องไม่กล้ามองตาของอีกฝ่ายอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นดวงตาของคนตาย คุณไม่เห็นท่าทางเมื่อกี้ของฟางหลานซินเหรอคะ หน้าอย่างกับเห็นผี สีหน้าเปลี่ยนไปเลย”
สวี่ชิงพูดอย่างมีความสุข น้ำเสียงนั้นทั้งซุกซนทั้งมีชีวิตชีวา
โจวจินหนานยิ้มอย่างอดไม่อยู่ คิดไม่ถึงว่าสวี่ชิงจะคิดแผนล่องูออกจากถ้ำ ทั้งยังเลียนแบบได้เหมือนอีกด้วย
“คุณไม่กลัวว่าสองวันนี้หล่อนจะเอาของบางส่วนไปซ่อนอย่างนั้นเหรอ”
สวี่ชิงมั่นใจมาก “ไม่ใช่ว่าคุณให้พี่ใหญ่เกาจับตาดูอยู่หรือคะ ของในบ้านขอเพียงหล่อนไม่เอาออกมา มันก็จะยังคงอยู่ในบ้าน เดี๋ยววันมะรืนเมื่อฉันมาอีกครั้งมันคงไม่ง่ายขนาดนั้นแล้ว”
โจวจินหนานบีบมือของเธอเบา ๆ “คุณฉลาดมาก”
สวี่ชิงยิ้มจนตายี “ฉันก็คิดว่าฉันฉลาดมากเหมือนกันค่ะ”
หม่าเสวี่ยหลานมองสวี่ชิงจับมือเดินกับโจวจินหนานมาจากไกล ๆ แม้ว่าโจวจินหนานจะตาบอด แต่พอเห็นสองคนจับมือถือแขนแบบนี้แล้วก็รู้สึกประเจิดประเจ่ออยู่ดี
สายตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเดินมาหยุดตรงหน้าสวี่ชิง “ชิงชิง กลับบ้านแม่แล้วเหรอจ๊ะ?”
สวี่ชิงยิ้มทักทายหม่าเสวี่ยหลาน “อรุณสวัสดิ์ค่ะป้าหม่า”
สำหรับหม่าเสวี่ยหลานเธอไม่ได้เกลียดและก็ไม่ได้ชอบ แม้ว่าคนคนนี้จะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แต่หล่อนปากมากเกินไป
หม่าเสวี่ยหลานกวาดสายตามองโจวจินหนานด้วยสองตา “สามีหน้าตาไม่เลวเลยนะจ๊ะ ชิงชิงโชคดีจริง ๆ นี้กลับมาบ้านแม่เหรอจ๊ะ?”
สวี่ชิงรู้ว่าหล่อนอยากรู้เรื่องอะไร จึงยิ้ม “เปล่าค่ะ ฟางหลานซินบอกฉันว่าแม่ของฉันทิ้งของบางส่วนไว้ให้ฉัน ให้ฉันมาเอา หล่อนน่าจะยังเก็บไม่เรียบร้อย บ่ายโมงมะรืนจึงว่าจะมาใหม่น่ะค่ะ”
หม่าเสวี่ยหลานอยากรู้จนแทบทนไม่ไหว “เป็นของอะไรหรือ?”
สวี่ชิงส่ายหน้า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เหมือนจะเป็นพวกเครื่องประดับมั้งคะ”
คำตอบคลุมเครือทำให้หม่าเสวี่ยหลานจินตนาการได้อย่างไร้ขีดจำกัด อีกทั้งหล่อนเองก็ไม่เคยเห็นแม่แท้ ๆ ของสวี่ชิงเหมือนกัน แต่ได้ยินว่าหน้าตาดีมาก
พูดคุยเรื่อยเปื่อยอีกประโยคสองประโยค หม่าเสวี่ยหลานก็ขอตัวจากไป วิ่งไปจับกลุ่มหาคนคุยด้วย
สวี่ชิงมองร่างอ้วน ๆ ของหม่าเสวี่ยหลานที่วิ่งจากไปไกลแล้ว ถึงค่อยพูดกับโจวจินหนาน “คนนี้เป็นลำโพงตัวใหญ่ของเขตโรงงานเรา ขอเพียงหล่อนเคยได้ยินเรื่องอะไรสักอย่าง ก็สามารถแต่งให้เรื่องนั้นมีจมูกมีตาได้หมด ในตอนแรกก็เป็นหล่อนเนี่ยแหละที่เอาเรื่องของฉันไปพูดข้างนอกค่ะ”
พูดจบอยู่ ๆ ก็หันกลับมามองโจวจินหนาน “คุณคงไม่ใส่ใจเรื่องก่อนหน้านี้ของฉันจริง ๆ ใช่ไหมคะ?”
โจวจินหนานที่กำลังอารมณ์ดีพลันใจหล่นวูบ รีบจับมือของสวี่ชิง มีทั้งความละอายทั้งเจ็บปวดใจ “ผมไม่สนใจ นั่นไม่ใช่ความผิดของคุณ คนที่ทำร้ายคุณต่างหากที่สมควรตาย”
สวี่ชิงยิ้ม “ขอบคุณนะคะ โจวจินหนาน! จากนั้นไปฉันจะต้องทำดีต่อคุณให้มาก ๆ เลย!”
หลายปีหลังจากนี้ ไม่มีผู้ชายคนไหนไม่สนใจว่าเป็นคนแรกของผู้หญิงหรือเปล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในตอนนี้
ดังนั้นสวี่ชิงจึงซาบซึ้งใจมาก และก็เพราะโจวจินหนานเป็นคนใจกว้างแบบนี้ นำก้อนหินที่อยู่ในใจของเธอออกไปได้ ทำให้ตัวเธอผ่อนคลายลงมาก
ทั้งสองเดินไปพูดไปก็เดินมาถึงหน้าประตูใหญ่
และเพราะว่าโจวจินหนานมีนิสัยนิ่งเงียบไม่ค่อยพูดจา ทำให้สวี่ชิงไม่ทันสังเกตุเลยว่าเขากำลังใจลอย
ตอนมาถึงประตูใหญ่ สวี่ชิงยังมองเห็นหวังกายฮวากระซิบกระซาบกับคนซ้อมรองเท้าอยู้ด้านนอก หล่อนพูดโดยที่สายตายังคงมองเข้าไปภายในเขตโรงงานด้วย เดาว่าน่าจะมาหาข่าวเกี่ยวกับฟางหลานซิน
เธอเดาว่าที่หวังกายฮวาไม่วิ่งเข้าไปหาเรื่องฟางหลานซินทันที เพราะถูกติงชางเหวินขู่เอาไว้เป็นแน่ ว่าถ้าหล่อนก่อเรื่องเขาจะหย่ากับหล่อน
และสิ่งที่หวังกายฮวากลัวที่สุดก็คือการหย่า!
กลับถึงบ้านสวี่ชิงให้โจวจินหนานนั่งที่ลานหน้าบ้านดื่มชาฟังวิทยุ เธอหยิบกระดาษที่แต่เดิมก็วางอยู่ข้างโต๊ะตัวเตี้ยอยู่แล้วมาเขียน ๆ วาด ๆ
ที่ตั้งสามแผงเธอกะว่าจะไปเช่ามา ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ต้องรีบร้อน
ส่วนร้านสองร้านทั้งหมดจะทำเป็นร้านอาหารจานด่วน หนึ่งในนั้นรวมพวกหลู่เว่ย*ต่าง ๆ ด้วย น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีเครื่องสูญญากาศ หรือไม่ก็เอาหลู่เว่ยใส่ในถุงสูญญากาศเอา ลูกค้าจะได้สะดวกเอาขึ้นรถไฟได้
สวี่ชิงลูบคางขณะคิดหาวิธีไปด้วย มองโจวจินหนานโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็พบว่าวิทยุที่โจวจินหนานฟัง เธอฟังไม่เข้าใจเลยสักนิด
“ที่คุณกำลังฟังอยู่มันคือภาษาอะไรหรือคะ ฉันฟังไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
“ภาษารัสเซียน่ะ เมื่อตอนที่อยู่ชายแดนเคยเรียนมา”
สวี่ชิงร้องว้าว “คุณเก่งอะไรขนาดนี้ ไว้มาสอนฉันบ้างนะคะ”
“ได้” โจวจินหนานพยักหน้าแล้วก็คิดขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง “อีกสองวันจะมีเพื่อนสองคนมาจากปักกิ่งมาเยี่ยม ผมจะแนะนำให้คุณรู้จักนะ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
*卤味 หลู่เว่ย เป็นเนื้อที่ตุ๋นด้วยเครื่องเทศต่าง ๆ คล้าย ๆ กับเครื่องเทศทำพะโล้บ้านเรา
สารจากผู้แปล
หวังกายฮวาแอบมาสืบข่าวสินะ ศัตรูของศัตรูก็ถือว่าเป็นมิตรได้อยู่นะคะ
ไหหม่า(海馬)