เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 85 ปรมาจารย์มีฝีมือ
บทที่ 85 ปรมาจารย์มีฝีมือ
โจวจินหนานเงียบไปทันใด เม้มปากแน่น แสดงออกว่าเขาจะไม่ยอมประนีประนอม
สวี่ชิงจ้องเขา “ตอนนี้เรากำลังพูดถึงเรื่องภายในบ้าน และเรื่องในบ้านคุณต้องฟังฉัน ไม่งั้นคืนนี้คุณก็อย่าคิดจะขึ้นมานอนบนเตียง ต่อให้ขึ้นมาก็ห้ามแตะต้องฉัน”
โจวจินหนานมุ่นคิ้ว ไม่พูดอะไรสักคำ
สวี่ชิงมองท่าทางสับสนของเขาก็คิดแผนหลอกล่อ ยิ้มแล้วไปลากรถจักรยาน “งั้นคุณก็อยู่บ้านแล้วกัน แต่คืนนี้ฉันไม่อนุญาตให้คุณนอนกับฉันนะคะ”
พูดแล้วก็นั่งคร่อมจักรยานเตรียมตัวขี่จากไป
“ผมไปด้วย”
โจวจินหนานไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่ชั่งน้ำหนักแล้วก็คิดว่าการได้นอนกอดภรรยาอย่างไรก็เป็นเรื่องสำคัญกว่า
ยิ่งหลังจากได้ลองกินเนื้อด้วยแล้ว ใครจะไปทนอดนอนกับภรรยาไหวกัน?
สวี่ชิงลอบยกยิ้มมุมปาก ให้โจวจินหนานจับเบาะนั่งด้านหลังแล้วผลักประตูปิด
หลังล็อกประตูเสร็จ สวี่ชิงก็คิดว่าเธอคงพาโจวจินหนานขี่ลัดเลาะไปตามซอยได้ “ถ้าคุณรู้สึกไม่ดี พวกเราค่อยไปขี่ตรงถนนเส้นหลัก ถึงตอนนั้นคงไม่มีคนสังเกตแล้ว”
โจวจินหนานพยักหน้า ออกมาแล้วยังจะสนใจอะไรอีก
บนถนนเส้นหลัก สวี่ชิงให้โจวจินหนานวางเท้าดี ๆ ก่อน เธอไถลไปข้างหน้าก่อนค่อยขึ้นถีบ
ในตอนแรกเธอตื่นเต้นไปหน่อยจึงทำให้รถส่ายเล็กน้อย
หลังจากขี่ไปได้สักพักสวี่ชิงก็เริ่มใจกล้ามากขึ้น แล้วถีบเร็วยิ่งกว่าเดิม “คุณก็ไม่เห็นจะหนักเลยนี่ คุณดูสิฉันขี่เร็วขนาดไหน อีกอย่างรถคันนี้ก็เป็นคันใหม่ ขี่ได้ดีเชียวล่ะ”
โจวจินหนานไม่พูดไม่จา ใบหน้าถูกเส้นผมยาวสยายของสวี่ชิงปลิวมาป่ายปัด ชวนให้รู้สึกจั๊กจี้ และสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมสายหนึ่ง
จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าความจริงเป็นแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
อึดใจเดียวสวี่ชิงก็ขี่มาถึงซอยฮวยซู่ หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ หลังเสื้อก็ชุ่มเหงื่อเช่นเดียวกัน แล้วเธอก็หยุดรถ “ถึงแล้ว เร็วใช่ไหมล่ะคะ เดี๋ยวพวกเราลองไปถามคุณย่านะคะว่าเมื่อไหร่จะย้ายมาอยู่กับพวกเรา”
โจวจินหนานได้ยินเสียงหอบเล็ก ๆ ของสวี่ชิงก็เป็นห่วงไม่น้อย “คุณกินไอศกรีมหน่อยดีไหม ผมจำได้ว่าทุกครั้งที่มาจะมีคนตะโกนขายไอศครีมอยู่นะ”
สวี่ชิงพนักหน้าหัวเราะเหอะ ๆ “ไม่ค่ะ ฉันไม่หิว”
อีกอย่างไม่แน่ว่าลูกของพวกเขากำลังจะมาเกิดแล้วก็ได้ ช่วงนี้เธอจึงระวังเรื่องอาหารการกินมาก
ทั้งสองลากรถไปบ้านของเฟิงซูฮวาก่อน คิดไม่ถึงว่าสวี่จื้ออิงกับเอ้อร์หยาจะยังอยู่!
เฟิงซูฮวาเห็นสวี่ชิงกับโจวจินหนานเข้ามาก็แปลกใจเล็กน้อย “พวกเธอมาได้ยังไง รีบมานั่งก่อนเร็ว สองวันนี้ร้อนมาก ฉันยังคิดอยู่ยังว่าพวกเธอจะมาไม่ได้”
สวี่ชิงมองสวี่จื้ออิง แต่คงไม่ดีนักถ้าจะตอบว่ามาได้อย่างไร จึงเพียงยิ้มให้เฟิงซูฮวา “คุณย่า วันนี้พวกเรามามีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคือเรามีธุระกับเอ้อร์ซีนิดหน่อย แล้วก็จะถามว่าเมื่อไหร่คุณย่าถึงจะย้ายมาอยู่กับเราคะ”
เฟิงซูฮวามองสวี่จื้ออิงแวบหนึ่ง “ก็เจ้าหนี้หน้าเลือดพวกนี้วันก่อนกินเนื้อเข้าไปเยอะขนาดนั้น แล้วยังกินแตงโมแช่เย็นกับน้ำเย็น ตอนเย็นยังกินไอศกรีมอีก เมื่อวานเลยท้องเสียทั้งวัน”
สวี่จื้ออิงถึงกับสีหน้าซีดเซียวไร้ซึ่งชีวิตชีวา “จะโทษฉันก็ไม่ได้นะคะ ที่ชนบทของพวกเราไม่เคยได้กินของเหล่านี้นี่น่า”
ได้ยินดังนั้น เฟิงซูฮวาก็มีน้ำโหทันที “เลิกพูดเรื่องนี้ให้ฉันฟังได้แล้ว ไม่ใช่ชีวิตที่ชนบททุกบ้านจะไม่ดีไปหมด มีแค่บ้านของพวกแกเนี่ยแหละที่ไม่ดี! แกลองคิดหาสาเหตุดูสิว่ามันเพราะอะไร”
สวี่จื้ออิงมุ่นคิ้วเงียบ ๆ และท่าทางแบบนี้ของหล่อนก็ทำให้เฟิงซูฮวาไม่อาจไล่ให้หล่อนกลับไปได้
สวี่ชิงยิ้มและเปลี่ยนประเด็น “คุณย่า งั้นฉันขอไปคุยธุระกับเอ้อร์ซีก่อนนะคะ เดี๋ยวถึงเวลาแล้วคุณย่าก็มาช่วยให้คำแนะนำกับฉันด้วยนะคะ”
เฟิงซูฮวายิ้ม “เรื่องของหนุ่มสาวอย่างพวกเธอ ฉันจะไปรู้อะไร หลานไปเรียกเขาก็พอ ฉันเพิ่งเห็นเขายังอยู่ในซอยนี้เนี่ยแหละ”
สวี่ชิงให้โจวจินหนานนั่งก่อน จากนั้นก็ไปหาผางเจิ้งหัว
ยังไม่ทันถึงบ้านป้าอ้วน ก็เจอผางเจิ้งหัวที่กำลังสูบบุหรี่อยู่พอดี จึงเดินย่อง ๆ เข้าไปหา
“ผางเจิ้งหัว!”
สวี่ชิงร้องเรียกเสียงหนึ่ง
ผางเจิ้งหัวตกใจจนแทบสำลักควัน รีบทิ้งบุหรี่ในมือ เมื่อหันหน้ามามองเห็นว่าเป็นสวี่ชิง ก็ถอนหายใจโล่งอก “เธออย่าตะโกนแบบนี้สิ ตกใจหมดเลย ฉันนึกว่าแม่ออกมาแล้วซะอีก”
สวี่ชิงร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “เสียงของฉันเหมือนแม่นายขนาดนั้นเลยเหรอ อีกอย่างนายกลัวอะไร”
ผางเจิ้งหัวเดินไปกระซิบกับสวี่ชิง “แม่ฉันไม่ให้สูบบุหรี่ ดังนั้นฉันเลยทำได้แต่ออกมาสูบข้างนอก”
“แล้วทำไมนายไม่หาที่ที่มันซ่อนตัวได้หน่อยล่ะ ยังมาอยู่ในซอยนี้ทำไม”
ผางเจิ้งหัวขำแห้ง “เธอมาหาฉันมีธุระอะไรเหรอ”
สวี่ชิงมองรอบ ๆ “ไป นายมากับฉัน ไปคุยกันที่บ้านคุณย่าฉัน”
หากพวกเขาสองคนคุยกันกลางถนนจะตกเป็นขี้ปากคนอื่นได้
ระหว่างที่เดินไปบ้านคุณย่าเฟิงซูฮวา สวี่ชิงก็พูดอธิบายคราว ๆ “ฉันเห็นว่าฝีมือทำอาหารนายไม่เลว จะเปิดเป็นกิจการโรงอาหารก็ไม่แน่ว่าจะขายดี แต่ว่าพวกเราสามารถเปิดร้านอาหารจานด่วนได้”
ผางเจิ้งหัวไม่ค่อยเข้าใจนัก “อะไรคือร้านอาหารจานด่วน”
สวี่ชิงคิดสักพัก “ก็เหมือนกับตักข้าวแกงในโรงอาหารนั่นแหละ เราจะทำอาหารเตรียมเอาไว้ก่อน พอมีคนสั่งก็แค่เอาข้าวมาตักใส่กล่อง”
ผางเจิ้งหัวคิดถึงข้างแกงที่โรงงาน รสชาติยากจะกลืนลงทั้งยังไม่มีน้ำมัน ก็เกิดลังเลเล็กน้อย “นั่นสามารถทำเงินได้จริงหรือ”
สวี่ชิงพยักหน้าด้วยความมั่นใจ “ทำได้แน่นอน ถ้ากิจการเป็นไปด้วยดีแล้ว แล้วเรายังสามารถจดทะเบียนร้านค้าได้ด้วย กระจายสาขาไปได้อีกในอนาตค”
ผางเจิ้งหัวยิ่งไม่เข้าใจว่ากระจายสาขาคืออะไรยิ่งกว่า แต่ว่าคำศัพท์ใหม่นี้ฟังแล้วดูเหมือนจะเจ๋งไม่เบา
บวกกับช่วงนี้เขาไม่ค่อยมีอะไรทำ และที่บ้านยังคะยั้นคะยอให้เขาไปทำงานในโรงงาน ซึ่งเขาไม่อยากไปทำงานในโรงงานเลยสักนิด
จนกระทั่งเดินมาถึงบ้าน สวี่ชิงที่พูดไปไม่น้อยแล้วก็ถามผางเจิ้งหัว “นายลองคิดดูสิ ว่าจะตกลงหรือเปล่า”
ผางเจิ้งหัวจมอยู่กับความคิดตัวเองขณะย้ายมานั่งใต้ค้างองุ่น ทักทายโจวจินหนาน ถึงค่อยมองสวี่ชิงอย่างเก้อเขิน ๆ “ฉันน่ะคิดว่าทำได้ แต่ว่าฉันไม่มีเงินลงทุนน่ะสิ”
ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาไม่มีอะไรเลย แม้แต่เงินก็ยังมีไม่เกินสองหยวน
แล้วจะเป็นหุ้นส่วนกันอย่างไรเล่า
สวี่ชิงยิ้มออกมา “เงินลงทุนฉันเป็นคนออกเอง นายออกฝีมือ ถึงตอนนั้นนอกจากเงินทุน กำไรจะแบ่งห้าสิบต่อห้าสิบ”
ผางเจิ้งหัวยิ่งเกรงใจ “แบบนั้นได้ยังไง ไม่ให้ฉันออกเงินเลยสักแดงเดียว ไม่งั้นเธอก็ให้เงินค่าแรงฉันเถอะ ฉันถึงจะทำให้เธอ”
สวี่ชิงส่ายหน้า “ถ้าอยากทำอีกนาน ยังไงก็ต้องเป็นหุ้นส่วนกัน ยิ่งนายทำงานหนักนายก็จะยิ่งได้มากเท่านั้น ต่อไปถ้านายมีความคิดอยากทำอย่างอื่นแล้ว อย่างเช่นถ้าไม่อยากเป็นหุ้นส่วนกันแล้ว อยากออกมาทำคนเดียว ถึงตอนนั้นตัวของนายก็มีเงินทุนเป็นของตัวเองแล้ว”
ผางเจิ้งหัวส่ายหน้าทันที “ฉันจะทำแบบนั้นได้ยังไง แบบนั้นไม่เท่ากับฉันหักหลังเพื่อนอย่างนั้นเหรอ”
สวี่ชิงรู้ว่าต่อให้ผางเจิ้งหัวดูเหมือนเชื่อถือไม่ได้ แต่เป็นคนรักพวกพ้องมาก เพราะรู้ว่าเขาจะปฏิบัติกับคนอื่นอย่างไร เธอถึงจะร่วมมือทำกับเขาอย่างไรล่ะ ได้ฟังแล้วก็ยิ้มขึ้น “งั้นพวกเรายิ่งควรร่วมมือกันแล้วล่ะ นายคิดสิว่าคนที่สถานีรถไฟเยอะขนาดนั้น พวกเราขายชุดละหกเหมา กำไรต้องดีมากแน่”
ด้านนอกขายบะหมี่เผ็ดก็ยังขายชามละห้าเหมาแล้ว
ผางเจิ้งหัวรู้สึกใจเต้นเป็นธรรมดา “แต่ไม่รู้ว่าแม่ของฉันจะอนุญาตหรือเปล่า”
เฟิงซูฮวาฟังอยู่ข้าง ๆ ก็เข้าใจทุกอย่างหมดแล้ว “มีอะไรที่แม่ของเธอจะไม่อนุญาตกัน ถ้าไม่อนุญาตก็กลับมาหาฉัน ฉันจะไปพูดกับหล่อนเอง”
สวี่จื้ออิงฟังอยู่ข้าง ๆ เช่นกัน อดถามสวี่ชิงเบา ๆ ไม่ได้บ้างว่า “ชิงชิง เธอว่าให้น้าอยู่ช่วยเธอดีไหม”
สวี่ชิงปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดเลยสักนิด “ไม่ค่ะ!”
สวี่จื้ออิงคว่ำปาก “ชิงชิง เป็นคนต้องมีเมตตา ตอนที่แม่ของเธอคลอดเธอมา ฉันยังเคยช่วยดูแลหล่อนเลย อีกทั้งตอนที่แม่ของเธอทิ้งมรดกเหล่านั้นไว้ให้เธอ ฉันยังให้ความใส่ใจเลย”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ขอให้ร้านข้าวแกงปัง ๆนะคะ
อะไรอีกล่ะคุณอา คุณอามีฝีมืออะไรจะช่วยชิงชิงได้คะ มาช่วยหรือมาเกาะกันแน่
ไหหม่า(海馬)