เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 278 โจวจินหนานพาคนกลับมา
บทที่ 278 โจวจินหนานพาคนกลับมา
ยาที่สวี่ชิงป้อนให้หล่อนยังต้องใช้เวลาออกฤทธิ์ แล้วอวี๋จิ้งจะรอไหวได้อย่างไร?
ร่างกายไม่ทันมีแรง หล่อนก็อุจจาระราดอย่างควบคุมไม่อยู่
ตั้งแต่โตมาขนาดนี้ ไม่เคยมีครั้งไหนที่หล่อนรู้สึกอับอายและโดนดูถูกอย่างนี้มาก่อน จนแทบอยากจะเอาศีรษะโขกกำแพงตายไปเสียให้พ้น ๆ
สวี่ชิงทำเป็นมองไม่เห็น เดินออกมายืนหน้าคอกแพะพูดกับเหยียนจี้ชวนว่า “เจียงเสวี่ยอิงเป็นคนทำ ฉันเดาว่าหล่อนต้องรู้ว่าโจวจินหนานจะไปยูนนาน ก็เลยให้อวี๋จิ้งติดตามเขา”
เหยียนจี้ชวนเองก็รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย เจียงเสวี่ยอิงตอนนี้ยังมีความสามารถนี้ด้วยเหรอ?
แต่ก็พลันนึกถึงสิ่งที่คุณย่าเฟิงพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ในร่างกายเจียงเสวี่ยอิงมีพิษกู่ ร่างกายก็ค่อย ๆ เน่า หล่อนน่าจะรู้ดี
แม้เจียงเสวี่ยอิงจะทำงานเป็นแพทย์ แต่ก็ร่วมทำงานกับทางมหาวิทยาลัยมาโดยตลอด หล่อนยังมีตำแหน่งเป็นศาสตาจารย์กิติมศักดิ์ของมหาวิทยาลัยแพทย์ มีห้องทดลองส่วนตัว และพานักศึกษามาทำการทดลองได้ด้วย
เป็นไปได้อย่างมากว่าห้องทดลองของเจียงเสวี่ยอิงจะมีจุดประสงค์แท้จริงในการศึกษาค้นคว้าพิษ
สวี่ชิงเห็นเหยียนจี้ชวนมุ่นคิ้วไม่พูดจาก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ฉันกำลังคิดว่าหรือว่าเจียงเสวี่ยอิงจะมาที่นี่แล้วเหมือนกัน ฉันเองก็คิดจะเข้าไปดูในภูเขาเหมือนกัน อาเล็กคะพวกเราไปด้วยกันนะ”
สำหรับอวี๋จิ้งนั้น หล่อนก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งของเจียงเสวี่ยอิงเท่านั้น ไม่มีค่าพอให้หวาดกลัว
เหยียนจี้ชวนคิดว่าถ้าศัตรูเป็นเจียงเสวี่ยอิง อย่างไรก็ไม่น่ากังวลมาก จึงคิดว่าหากพาสวี่ชิงไปด้วยก็น่าจะไม่มีปัญหา
“รอบ่ายโมงก่อนค่อยไป”
สวี่ชิงคิดแล้วก็ตกลง “อาเล็กคะ อาไปซื้ออาหารพวกธัญพืชกลับมาหน่อยดีไหมคะ ไว้ให้พวกเรากินระหว่างเดินทาง ยังมีแป้งข้าวเจ้าที่ต้องซื้อให้ครอบครัวเฉาอีก ฉันเห็นเด็กสองคนนั้นแล้วดูพวกเขาจะได้รับการบำรุงไม่ค่อยดีพอเท่าไหร่”
พวกเขาต่างเป็นเด็กกำลังโต แต่ร่างกายผ่ายผอมจนมองเห็นซี่โครงราวผู้ประสบภัยอย่างไรอย่างนั้น
เหยียนจี้ชวนเลิกคิ้ว สวี่ชิงจึงรีบเสริมอีกประโยคหนึ่ง “เงินมาเอาที่ฉันได้ ฉันจะไม่ให้อาเล็กต้องออกเงินสักแดงเดียว”
เหยียนจี้ชวนหัวเราะร่า ยื่นมือไปจิ้มหน้าผากสวี่ชิง “ถูกเจ้าโจวจินหนานทำให้เสียคนหมดแล้ว ทำไมไม่เลียนแบบอะไรดี ๆ มานะ”
สวี่ชิงหัวเราะ
สองคนยืนคุยอยู่ภายในลานหน้าบ้าน ตอนนี้สวี่ชิงอยากยืนคุยอยู่หน้าคอกแพะและไม่ติดจะเข้าไปในบ้านเช่นกัน
เพราะภายในห้องคงเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นหึ่งจากฝีมือของอวี๋จิ้งโดยไม่ต้องสงสัย
ขณะที่พูด สวี่ชิงก็มองแพะภูเขาในคอกก้มกินหญ้าแห้ง มันมีทั้งหมดสองตัว สีขาวล้วนราวหิมะ ขนยาวทีเดียว
ความคิดหนึ่งแวบผ่านเข้ามาในสมอง ไม่ทันได้จับไว้ก็ต้องจากไปแล้ว
เธอเคาะศีรษะ รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ เหตุใดถึงผ่านไปแบบนี้แล้วล่ะ?
อวี๋จิ้งนอนห่มร้องไห้อยู่ในห้องครึ่งค่อนวัน ตั้งแต่เล็กหล่อนโตมาอย่างมีเกียรติมีศักดิศรี เป็นเพราะครั้งนี้เจียงเสวี่ยอิงขอร้องหล่อน และต่อมาหล่อนก็ชอบหน้าตาของโจวจินหนานจริงๆ
ทำให้หล่อนตอบตกลงเจียงเสวี่ยอย่างไม่ลังเล
ต่อให้รู้ว่าโจวจินหนานแต่งงานแล้ว หล่อนก็รู้สึกว่าแล้วอย่างไร? เขาไม่ได้แต่งงานเพราะความรัก อย่างไรก็ไม่มีทางมีความสุขได้หรอก
อีกอย่างเจียงเสวี่ยอิงยังบอกหล่อนว่าคนที่โจวจินหนานกำลังหาเป็นผู้หญิงที่พรากคนรักของหล่อนไป
เจียงเสวี่ยอิงต้องทนถูกผู้อื่นรังแก
ด้านอวี๋จิ้งคิดว่าความรักสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้นจึงทุ่มแรงกายแรงใจช่วยเจียงเสวี่ยอิง
ตอนนี้กลับถูกสวี่ชิงเอาคืนจนมีสภาพเป็นแบบนี้ ครั้นร้องไห้ในห้องจนพอแล้ว ร่างกายเองก็มีเรี่ยวแรงกลับมาเช่นกัน จึงรีบลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า แม้กระทั่งตัวเองยังรังเกียจแทบอาเจียน
สุดท้ายก็หอบเสื้อผ้าสกปรกออกมา ก่ายก่ายที่กำลังตากถั่วแห้งอยู่ที่ลานหน้าบ้านพอดีสูดจมูกฟุดฟิด มองอวี๋จิ้งอย่างสงสัย “คุณน้าอึราดกางเกงเหรอคะ? งั้นต้องไปซักที่แม่น้ำนะคะ ในบ้านไม่มีน้ำมากขนาดนั้น”
น้ำตาที่เพิ่งหยุดไหลของอวี๋จิ้งพลันไหลพรากทันที วิ่งออกไปข้างนอกด้วยใบหน้าดำทะมึน ไม่ถามด้วยซ้ำว่าแม่น้ำไปทางไหน
หลิวเยี่ยนอุ้มลูกขึ้นมาอย่างนุ่มนวล “ตายจริง โตขนาดนั้นทำไมยังอึรดกางเกงอยู่อีก เมื่อกี้ได้ยินร้องไห้อยู่ในห้อง ยังนึกว่าคิดถึงบ้านซะอีก หล่อนรู้ทางไปแม่น้ำไหมเนี่ย? ก่ายก่าย ลูกไปดูสิ อย่าทำให้นักข่าวอวี้ขายหน้าด้วยล่ะ”
ก่ายก่ายวิ่งตามออกไปอย่างเชื่อฟังทันที
สวี่ชิงหัวเราะในความโชคร้ายขอองคนอื่น ในเมื่อกล้าคิดถึงคนของเธอ ของของเธอ เธอย่อมไม่ออมมือให้อยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นยังร่วมมือกับเจียงเสวี่ยอิงศัตรูของมารดาด้วยแล้ว
ตลอดจนหลังมื้อเที่ยง อวี๋จิ้งกับก่ายก่ายถึงจะกลับมา
อวี๋จิ้งเปียกไปหมดทั้งตัว เส้นผมยังมีน้ำหยดติ๋ง ๆ
ตาหล่อนบวมอย่างคนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก แต่ยังคงรู้สึกตัวเหม็นอยู่ กลับมาจึงรีบตรงกลับห้อง
หลิวเยี่ยนยังคงกังวลเล็กน้อย “จนถึงตอนนี้นักข่าวอวี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย ก่ายก่าย ลูกไปเอาหมั่นโถวให้นักข่าวอวี้หน่อย”
สวี่ชิงขวางเอาไว้อย่างหวังดี “คุณให้หล่อนไปหล่อนก็คงไม่กินอยู่ดี ไม่แน่อาจจะโยนทิ้งด้วย ไม่ต้องสนหล่อน สองมื้อก็ไม่ทำให้หิวตายได้หรอกค่ะ”
หลิวเยี่ยนยังไม่วางใจ “ช่างเถอะ ยังไงก็ส่งไปให้เถอะค่ะ หมั่นโถวขาว ๆ อวบ ๆ แบบนี้ ใครก็ทำใจโยนทิ้งไม่ลง”
สวี่ชิงเองก็ไม่ว่าอะไรอีก เมื่อตอนเช้าเหยียนจี้ชวนเป็นคนซื้อแป้งกลับมาแล้ว ส่วนเธอช่วยนึ่งหมั่นโถวแม้ว่าจะไม่ใช่อาหารดีเด่อะไร หมั่นโถวสีขาวกำลังออกจากซึ้งร้อน ๆ ส่งกลิ่นหอมยามได้กิน
ก่ายก่ายถือหมั่นโถวเข้าไปในห้อง ต่อมาได้ยินเสียงคำรามอวี๋จิ้งดังออกมา ไม่นานก่ายก่ายก็ถือหมั่นโถวที่เปื้อนดินเปื้อนฝุ่นออกมา
เพราะปวดใจ จึงทำให้ขอบตาแดงระเรื่อ “แม่ หล่อนไม่กิน แล้วยังโยนหมั่นโถวทิ้งด้วย”
หลิวเยี่ยนปวดใจยิ่งกว่า หยิบหมั่นโถวมาเป่าฝุ่นด้านบนออก “ไม่กินก็ไม่กิน แป้งขาวออกจะคุณภาพขนาดนี้ บาปกรรมจริง ๆ”
ถ้าไม่ใช่พวกสวี่ชิงซื้อแป้งขาวมาให้ หล่อนต้องรอถึงปีใหม่ก่อนจึงจะได้กินหมั่นโถวจากแป้งขาวสักมื้อหนึ่ง
ผู้หญิงในเมืองคงจะมีข้าวมีน้ำให้ดื่มกินทุกมื้อสินะ หมั่นโถวที่ดีขนาดนี้ยังทำใจโยนทิ้งได้ลง?
สวี่ชิงเห็นหลิวเยี่ยนตาแดงก็รีบปลอบใจ “ไม่เป็นไรค่ะ เราดึงเปลือกหมั่นโถวที่สกปรกทิ้งไปก็ใช้ได้แล้ว ด้านในยังกินได้อยู่
กระทั่งเปลือกด้านนอกหลิวเยี่ยนยังทำใจทิ้งไม่ลง “ปีใหม่ทุกวันนี้มีอาหารการกินดีกว่าหลายปีก่อน แต่คนที่นี่หลายบ้านแทบไม่มีโอกาสได้กินหมั่นโถวแป้งขาวแบบนี้กันหมดหรอกนะคะ”
สวี่ชิงมองสองแม่ลูกช่วยกันเป่าฝุ่นออกแล้วแบ่งกันกินจนหมด ในใจก็รู้สึกขมปร่า
ถ้าเกิดหาโจวจินหนานเจอแล้ว ก็น่าคิดวิธีทำให้ครอบครัวเฉามีฐานะขึ้นมาได้บ้าง?
ไม่ถึงกับให้กลายเป็นครัวเรือนหมื่นหยวน* อย่างน้อยก็ทำให้พวกเขาได้มีหมั่นโถวขาว ๆ ได้กินทุกสัปดาห์ก็พอ
*ในที่นี่หมายถึง ครอบครัวที่มีเงินเก็บหรือรายได้หนึ่งหมื่นหยวนต่อเดือน ในสมัย70มีคำกล่าวว่าเงิน1หมื่นหยวนสามารถซื้อของได้มากมาย
เมื่อได้เวลานัดกับเหยียนจี้ชวนแล้วก็ออกเดินทาง สวี่ชิงจึงบอกหลิวเยี่ยนว่าอยากได้ห่อผ้าไปใส่หมั่นโถวในห้องครัวเข้าไปกินในภูเขา
ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะไปนานเท่าใด ของกินสามารถเอาไปได้เท่าไรก็เอาไปเท่านั้น
ตอนที่กำลังใส่ของก็ได้ยินเสียงของก่ายก่ายร้องเรียกคำหนึ่ง ต่อมาก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ไหนจะเสียงเหยียนจี้ชวนสบถลั่นคำหนึ่งนั่นอีก
สวี่ชิงชะงักพักหนึ่ง วางห่อผ้าแล้ววิ่งออกไป ก็เห็นเกาจ้านกับสวีหย่วนตงพาคนคนนั้นเดินเป็นขบวนเข้ามา
คนคนนั้นมีใบหน้าเปื้อนดินโคลนอยู่เต็ม บนเรือนผมมีแต่ใบไม้ เสื้อผ้าบนร่างกายเต็มไปด้วยรอยเลือดแห้งกรัง ราวกับคนที่ปีนขึ้นมาจากความตายก็ไม่ปาน
บนหลังยังมีคนคนหนึ่งที่ห่อด้วยผ้าคลุมสีดำเอาไว้ ปกคลุมมิดชิดจนมองไม่เห็นอะไร
อีกด้านหนึ่งก็ยังมีอามู่ตามมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
สวี่ชิงยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น หัวใจเต้นรัวเร็ว
ผู้ชายที่เหมือนคนป่าคนนั้น ไม่ใช่โจวจินหนานแล้วจะเป็นใคร
ดวงตาพลันแดงระเรื่อ จมูกพลันรู้สึกแสบ น้ำตาไหลออกมา
โจวจินหนานได้ยินมาจากเกาจ้านว่าสวี่ชิงมาถึงแล้ว ตอนเห็นสวี่ชิงก็กระชับคนบนหลัง แล้วยกยิ้มกว้างเผยฟันขาวออกมา
เป็นความบ้าระห่ำแฝงความซื่อตรงบางอย่าง “ไม่เป็นไรแล้ว ผมไม่ได้กลับมาเฉย ๆ หรอกนะ ดูสิว่าผมพาใครกลับมาด้วย”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ชิงชิงกำจัดมือที่สามได้แสบมาก แสบแบบยัยนักข่าวต้องจำจนวันตาย
พี่หนานพาใครมานะ
ไหหม่า(海馬)