เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 270 จะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับโจวจินหนานแน่ ๆ
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80
- บทที่ 270 จะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับโจวจินหนานแน่ ๆ
บทที่ 270 จะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับโจวจินหนานแน่ ๆ
ถึงกลางดึก ทั่วทั้งเมืองหลินหวู่ก็ตกอยู่ในความมืดมิด มีเพียงแสงไฟสลัวจากไฟถนนสายหลักเพียงไม่กี่ต้น ไร้ซึ่งคนเดินเท้าบนท้องถนน
ลมหนาวพัดผ่านร่างโจวจินหนานที่ออกมาจากโรงพยาบาล เขารู้ดีว่าถึงตอนนี้จะไปถึงสถานขนส่งก็คงเปล่าประโยชน์ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะนั่งรถประจำทางลงไปยังทางตอนใต้
และการเดินเท้าก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้แล้วใหญ่
เขาวิ่งกลับไปที่บังกะโล ขอยืมรถจักรยานจากเจ้าของบังกะโล และถามถึงที่อยู่ของหมู่บ้านสันเขาสกุลเฉาที่ตั้งอยู่เมืองเป่ยซาน
เจ้าของบังกะโลรู้เส้นทางการไปเมืองเป่ยซาน แต่เขาไม่รู้วิธีการไปหมู่บ้านสันเขาสกุลเฉา “คุณไปถามเอาแถวในเมืองอีกทีนะ แต่ถ้าคุณจะไปเมืองเป่ยซานคุณต้องข้ามสันเขาสองลูกไปก่อน ขับรถไปอีกประมาณสามสิบกิโลเมตรได้”
โจวจินหนานไม่หวาดหวั่น ถามเส้นทางและขี่จักรยานมุ่งหน้าไปยังเมืองเป่ยซาน
ในช่วงแรกถนนลาดยางค่อนข้างเป็นหลุมเป็นบ่อ ต่อมาเป็นถนนลูกรัง และสุดท้ายเป็นถนนที่มีหลุมน้ำลึกว่าครึ่งฟุต
โจวจินหนานปั่นจักรยานไปจนถึงในเมืองจนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มสว่าง แต่หลังของเขากลับเปียกโชก
หลังจากเดินวนรอบเมือง เขาก็ปรี่เข้าไปถามหาที่ตั้งของหมู่บ้านสันสกุลเฉากับทางร้านอาหาร ก่อนจะปั่นจักรยานไปอีกสักพักจนท้องฟ้าสว่างจ้า และมีคนสองสามคนทำงานอยู่บนท้องถนน
เขาเอาแต่ถามหาหมู่บ้านสันเขาสกุลเฉามาตลอดทั้งทาง
หมู่บ้านสันเขาสกุลเฉาอยู่หลังภูเขาและติดกับแม่น้ำ เป็นพื้นที่ตั้งเหมาะสมกับฮวงจุ้ย ทว่าท้องถนนบนภูเขาค่อนข้างเดินได้ยากลำบาก จะต้องปีนป่ายสันเขาอีกหลายลูกเพื่อผ่านทางไป ไม่มีถนนพาดผ่าน และหมู่บ้านค่อนข้างยากจนมาก
เหมือนถูกแยกตัวออกจากโลกภายนอก แต่จู่ ๆ โจวจินหนานที่ดูแปลกหน้าก็โผล่เข้ามา ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาเริ่มสนใจเขา
โจวจินหนานเดินทางไปตามคำบอกเล่าของเฉาตงฟา ปั่นจักรยานไปทางทิศตะวันออกสองถึงสามกิโลเมตร จนถนนธรรมดาเริ่มจางหายไป เหลือเพียงเส้นทางบนภูเขาที่พวกแกะใช้เดินทาง อีกทั้งยังยากต่อการสัญจรผ่านหลุมผ่านบ่อ
ได้แต่เข็นรถจักรยานไปข้างหน้า จวนเวลาเกือบเที่ยงก็ยังไม่เห็นพื้นที่เขตปลอดลมหนาวที่เฉาตงฟาบอก
เขาจึงคำนวณระยะทางเงียบ ๆ ในใจ ถ้าดูจากความเร็วของเขาแล้ว เขาน่าจะเดินทางมาประมาณสิบห้าถึงสิบหกกิโลเมตรได้ เขามาผิดทางหรือว่าเฉาตงฟาบอกเขาผิดทางกันแน่?
หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้แล้ว เขาก็ตัดสินใจเดินต่ออีกสองถึงสามกิโลเมตร หากยังไม่เจออะไร เขาจะกลับไปถามทางที่หมู่บ้านอีกครั้ง
หลังจากเดินคดเคี้ยวอยู่ระยะหนึ่ง เขาก็พบเข้ากับกระท่อมดินโคลนหลังเตี้ยสองหลังที่มุมไหล่เขา ทุกด้านถูกล้อมรอบด้วยกำแพงดินโคลนทั้งสี่ด้าน ซึ่งน่าจะเป็นคอกแกะที่คนเลี้ยงสัตว์ใช้เลี้ยงวัวและแกะในสมัยก่อน
โจวจินหนานจอดจักรยานและมองไปรอบ ๆ เมื่อตระหนักได้ถึงคำเตือนของเฉาตงฟา พืชพรรณบริเวณรอบยังคงเป็นสีเขียวปกติ เมื่อไม่เห็นสิ่งผิดแปลกอะไร เขาจึงเดินเข้าไปใกล้กระท่อม
ทั้งที่ยังเที่ยงวัน แต่รอบข้างกลับเงียบสนิท และไม่มีเสียงอะไรดังเล็ดลอดออกมาจากในบ้าน
โจวจินหนานเม้มปาก เลียริมฝีปากล่างจนชุ่ม และร้องตะโกนเสียงดัง “คุณยายเป่ยซานอยู่ไหมครับ? พี่เฉาตงฟาวานผมให้มาถามอะไรหน่อย”
ภายในกระท่อมยังคงเงียบสนิทหลังจากเขาร้องตะโกนติดต่อกันถึงสามครั้ง
ทว่าแมวตัวหนึ่งกลับพุ่งออกมาจากกระท่อม ทั้งตัวของมันเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก ดวงตาเป็นสีฟ้าเมื่อสะท้อนกับแสงแดด แฝงไปด้วยความเย็นชาจนขนหัวลุก
โจวจินหนานจ้องไปที่แมวดำสองสามวินาที และเดินย่องไปที่ประตูกระท่อมอย่างระมัดระวัง เขามองเห็นรอยร้าวบนผนังประตูกระท่อมที่ถูกลมฝนกัดกร่อนได้อย่างชัดเจน ความมืดมิดปรากฏอยู่ในช่องประตูหลังจากที่แมวดำเดินออกมา
เขาตะโกนเรียกอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีใครขานรับ
โจวจินหนานคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มตัวลงไปยัดขากางเกงเข้าไปในถุงเท้า ผูกเชือกรองเท้าและหยิบแท่งไม้ขึ้นมาตีทุ่งหญ้าดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ประตูบ้าน
แมวดำรีบโก่งตัวทันทีที่เห็นคนแปลกหน้าเดินเข้ามาใกล้ ขนสีดำตั้งชันขึ้น ราวกับพร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ
โจวจินหนานเดินเข้าไปมากขึ้นเรื่อย ๆ เอามือสัมผัสประตูและร้องตะโกนอีกครั้ง แต่ทั้งกระท่อมก็ยังเงียบสนิท
ครั้งนี้เขามั่นใจมากว่าไม่มีคนอยู่ในกระท่อม
จู่ ๆ แมวดำก็กระโจนเข้าใส่โจวจินหนาน เผยกรงเล็บแหลมคมออกมา
โจวจินหนานหลบมันได้ทัน แต่นึกไม่ถึงว่ามันจะร่อนลงมาจากหน้าต่าง หันกลับมาโจมตีโจวจินหนานอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
โจวจินหนานกลัวว่าแมวตัวนี้จะเป็นสัตว์เลี้ยงของคุณยายเป่ยซาน ถ้าเกิดมันได้รับบาดเจ็บ เขาเกรงว่าจะพูดอธิบายตอนเจอกับคุณยายได้ยาก เขาหลบหลีกอีกครั้งและใช้ไม้ในมือแหย่ท้องแมวดำเบา ๆ พยายามให้มันรู้สึกความเจ็บปวดจนจากไป
แต่ไม่คาดคิดว่าการกระทำของเขาจะทำให้แมวดำรำคาญแทน มันตกลงมาที่พื้นและส่งเสียงร้องเมี๊ยว ก่อนจะวิ่งเข้าไปทางโจวจินหนานอีกครั้ง
มันกำลังวิ่งเข้าไปโจมตีขาของโจวจินหนาน แต่จู่ ๆ ก็ร่วงหล่นลงมาที่พื้นราวกับหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ก่อนจะรีบวิ่งหนีราวกับหนูที่ดิ้นรนอยู่บนพื้น
โจวจินหนานมองดูแมวดำวิ่งเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขา เขาไม่ได้คิดอะไรต่อ และเคาะประตูอย่างสุภาพ
หลังจากรออยู่สักพักหนึ่ง เขาก็ผลักประตูให้เปิดออกอย่างเบามือ
แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาทางประตูที่เปิดออก เผยให้เห็นห้องที่สว่างขึ้น
ผนังห้องมืดสนิท มีโต๊ะกับเก้าอี้สองตัวนอนคว่ำอยู่กลางห้อง
เมล็ดถั่วเหลืองกระจัดกระจายอยู่บนพื้น กลิ้งเกลื่อนไปทั่วมุมห้อง
โจวจินหนานขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่ามีการต่อสู้และทำลายข้าวของ!
เขาตั้งสติ หันหลังกลับและถอยหลังไปที่ทางเดิน มองดูกระท่อมหลังเตี้ยและมองดูทิศทางที่แมวดำวิ่งหนีไปเมื่อสักครู่นี้
หรือจะเป็นเย่หนานจริง ๆ? เย่หนานกำลังตกอยู่ในอันตรายหรือไม่?
อย่างไรเสียเย่เหม่ยไม่เคยล้มเลิกการตามหาหล่อน หรือบางทีอาจจะมีคนจากหมู่บ้านอื่นมาตามหาหล่อน
โจวจินหนานไม่อาจเดินเข้าไปในหุบเขาคนเดียวได้ ดังนั้นเขาจึงกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อหาโทรศัพท์ และเรียกผู้ช่วยทั้งสองคนให้มาที่นี่!
……
ในคืนแรกที่โจวจินหนานไม่อยู่ สวี่ชิงง่วงนอนมาก แต่ก็นอนไม่หลับ
หันกลับมาทีไรก็ไม่รู้สึกถึงคนข้างกาย รู้สึกราวกับหัวใจว่างเปล่า
เธอพลิกตัวไปมา นอนกระสับกระส่ายจนรุ่งสาง
เธอเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว แม้แต่เฟิงซูฮวายังไม่อาจมองข้ามไปได้ “หลานเอ๋ย ดูรอยคล้ำใต้ตาสิ ทุกวันนี้นอนไม่ค่อยหลับหรือ?”
สวี่ชิงกระสับกระส่ายเล็กน้อยเนื่องจากนอนไม่ค่อยหลับ เธอล้างหัวไชเท้าเพื่อนำไปหั่นทำเป็นหัวไชเท้ารสเผ็ด
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิงซูฮวา เธอกลับตอบรับอย่างเกียจคร้าน “ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกไม่สบายใจตลอดเลยค่ะ คุณย่าบอกว่าพี่จินหนานต้องถึงเตียนหนานแล้วใช่ไหมคะ? แต่ทำไมถึงแล้วยังไม่ยอมโทรมาอีก? ถึงจะโทรหาฉันไม่ได้ แต่ก็น่าจะโทรหาพี่เกาจ้านและให้พี่เกาจ้านมาบอกฉันต่อ”
ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าการไม่มีเครื่องมือสื่อสารมันน่าปวดใจมากจริง ๆ ปวดร้าวไปทั้งหัวใจ
เฟิงซูฮวาหรี่ตาลงและเงยหน้ามองท้องฟ้า “ไม่เป็นไรหรอก ที่ไม่ได้โทรหา คงเพราะติดทำธุระอะไรอยู่นั่นแหละ”
สวี่ชิงอยากพูดปลอบใจตนเองเช่นนี้เหมือนกัน แต่เธอทำไม่ได้ และไม่สามารถทนล้างหัวไชเท้าได้อีกต่อไป เธอสะบัดมือและตั้งใจจะไปถามเหยียนจี้ชวน
เขาเป็นหัวหน้าของโจวจินหนานไม่ใช่เหรอ? เขาจะต้องรู้ว่าตอนนี้โจวจินหนานถึงเตียนหนานแล้วหรือยังสิ
แต่ไม่คาดคิดว่าเหยียนจี้ชวนจะไม่อยู่ในที่พัก อีกทั้งยังไม่อยู่ในสำนักงานที่ใกล้กับทางเทศบาล หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เธอก็เดินทางไปหาเกาจ้าน ทว่าเกาจ้านกลับไม่อยู่ที่บ้าน เหลือเพียงแต่แม่บ้านเท่านั้น โดยอีกฝ่ายบอกเธอว่าเกาจ้านหายออกจากบ้านไปสามวันแล้ว และอาจจะเดินทางไปที่หลินหวู่
สวี่ชิงรู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย เกาจ้านยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ เขาจะไปเยี่ยมญาติที่หลินหวู่จริงหรือ?
เธอมองดูโทรศัพท์ตรงหน้าและโทรไปหาสวีหย่วนตง แต่กลับมีข้อความบอกว่าสวีหย่วนตงลางาน
การที่ใครคนใดคนหนึ่งไม่อยู่อาจเป็นเพราะกำลังยุ่ง แต่การที่ทั้งสามคนไม่อยู่พร้อมกัน มันจะไม่บังเอิญไปหน่อยหรือ?
ทันใดนั้น สวี่ชิงก็รู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดี เธอเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานของเหยียนจี้ชวนและขวางเลขานุการของเขาเอาไว้ “อาฉันไปที่หลินหวู่ใช่ไหมคะ?”
เดิมทีเลขานุการคิดจะทำทีเป็นไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อสวี่ชิงพูดชื่อสถานที่ออกมาตรง ๆ เขาก็ดันแว่นขึ้น “เดินทางไปทำงานน่ะครับ ผมคงพูดมากไม่ได้”
สวี่ชิงจ้องเขม็งไปที่เลขานุการ “มีเรื่องเกิดขึ้นกับโจวจินหนานในหลินหวู่!”
เขาเป็นเลขานุการที่มากประสบการณ์ แต่กับถูกคำถามของสวี่ชิงจับได้ เขาเผลอตากระตุกโดยไม่รู้ตัว และรีบตอบอย่างไวว่า “ไม่ครับ เขาไปเตียนหนาน”
สวี่ชิงไม่ตั้งคำถามอีกต่อไป เพราะเธอได้รับการยืนยันจากปฏิกิริยาของเลขานุการแล้วว่าจะต้องมีเรื่องเกิดขึ้นกับโจวจินหนานในหลินหวู่แน่ ๆ เหยียนจี้ชวน เกาจ้านและสวีหย่วนตงถึงได้รีบเข้าไปช่วยเหลือ!
เธอตื่นตระหนก รีบหันหลังกลับและวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต และคิดจะไปหาโจวจินหนานที่หลินหวู่!
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ชิงชิงจะไปช่วยพี่เขาทั้งที่ท้องอยู่จริงๆ เหรอ เขามีคนช่วยสามคนแล้ว แต่เธอไปตัวคนเดียวไม่มีใครช่วยนะ
ไหหม่า(海馬)