เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 269 คุณยายเป่ยชาน
บทที่ 269 คุณยายเป่ยชาน
โจวจินหนานขมวดคิ้วและยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของนักข่าวสาวอย่างชัดเจน
ถึงกระนั้นพี่น้องสกุลเฉากลับจำได้ว่าเป็นนักข่าวสาว เฉาตงชางที่ปกติไม่ได้ค่อยชอบยุ่งเรื่องคนอื่น รู้สึกเลือดร้อนทันทีที่เหล้าเข้าปาก “พี่ชาย ไอ้พวกสารเลวกำลังรังแกคุณนักข่าวอยู่แน่ ๆ ผมจะเข้าไปดูสักหน่อย”
เขาพูดและรีบวิ่งตรงดิ่งออกไป เฉาตงฟากลัวว่าน้องชายจะได้รับความเดือดร้อน จึงรีบวิ่งตามไป
โจวจินหนานยังคงเดินต่อไปอย่างไม่เร่งรีบนัก รู้สึกว่าสองพี่น้องสามารถถ่วงเวลาเอาไว้ได้ และพวกเขาน่าจะขยับปากก่อนที่จะขยับแขนขา
ทั้งนี้เขารู้สึกว่าเขาควรจะปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นได้รับความทุกข์ทรมานเสียที
แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเฉาตงชางที่ดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปจะวิ่งตรงดิ่งไปสู้กับพวกอันธพาลด้านหน้า อีกฝ่ายมีกันเจ็ดถึงแปดคน พวกเขาเป็นนักเลงตัวฉกาจที่คอยต่อสู้และสร้างปัญหาอยู่ทุกวี่ทุกวัน ในสถานีรถไฟแห่งนี้ไม่มีใครกล้ายั่วยุพวกเขาแม้แต่คนเดียว หลังจากพวกเขาดื่มเหล้ากันหนำใจ และกลับออกมาเห็นหญิงสาวนุ่งกระโปรงสั้น ก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อก้อร่อก้อติก
ทว่าคนบ้าบิ่นที่ไหนไม่รู้กลับวิ่งเข้าใส่และลงมืออย่างฉับพลัน
หลายคนชักมีดสั้นและมีดอันแหลมคมออกมาและแทงเข้าใส่เฉาตงชางทันที
เฉาตงฟาช้าไปหนึ่งเก้า ทำให้น้องชายของเขาถูกแทงเข้าที่ช่องท้องด้านล่าง
เสียงร้องคำรามด้วยความโกรธจัดดังขึ้น “พวกแกทำบ้าอะไร”
โจวจินหนานรีบเดินไปข้างหน้าทันทีที่ได้ยินเสียงร้องคำราม แม้คู่ต่อสู้จะมีมีด แต่เขากลับเตะคนพวกนั้นลงไปกองกับพื้น ต่อยอีกสามหมัดและเตะอีกสองครั้ง เขาเหวี่ยงหมัดออกไปเต็มแรงเกิดเมื่อเห็นว่าใครบางคนกำลังดิ้นรนอยู่
ทันใดนั้นเสียงโหยหวนก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างที่ลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้น
เฉาตงฟาเดินเข้าไปกอดร่างน้องชายที่นอนกองอยู่บนพื้น สัมผัสหน้าท้องส่วนล่างที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือด ก่อนจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ “ตงชาง ตงชาง!”
หลังจากที่โจวจินหนานจัดการคนพวกนั้นแล้ว เขาก็รีบเดินเข้าไปหาเฉาตงชาง และไม่แม้แต่จะหันไปมองอวี๋จิ้งที่ยืนตัวสั่นอยู่ด้านข้าง “เร็วเข้า รีบพาเขาไปโรงพยาบาล”
เฉาตงฟารีบลุกขึ้น ขาของเขาสั่นเทาด้วยความวิตกกังวล “โรงพยาบาล โรงพยาบาลอยู่ที่ไหน?”
โจวจินหนานที่เพิ่งมาถึงไม่รู้ว่าโรงพยาบาลอยู่ที่ไหน “พี่กลับไปถามที่บังกะโล ส่วนผมจะลองเดินไปดูที่สถานีรถไฟ ที่นั่นน่าจะมีโรงพยาบาลอยู่”
เฉาตงฟาพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ได้ๆ”
เขาปาดน้ำตาและวิ่งโซซัดโซเซไปถามคนตลอดทาง
โจวจินหนานหงุดหงิด ถ้าเขาหยุดเฉาตงชางที่หุนหันพลันแล่นทัน เรื่องแบบนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น
เขากัดฟันแน่นและรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่แบกเฉาตงชางผู้หนักเกือบแปดสิบกิโลกรัมไว้บนหลัง โชคดีที่เขาได้รับการฝึกฝนมาและสามารถแบกน้ำหนักได้มากกว่าร้อยกิโลกรัม
เฉาตงฟาไปถามหาโรงพยาบาลและรีบวิ่งตามเขามา ตรงดิ่งมาที่โรงพยาบาลโดยไม่ล่าช้าแม้แต่นิดเดียว
หลังจากที่ผู้ป่วยถูกส่งไปยังห้องฉุกเฉิน โจวจินหนานก็รู้สึกอ่อนเพลียมากจนไร้เรี่ยวแรง เขาโน้มตัวลง วางมือบนหัวเข่าและหายใจหอบ มีรอยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่บนร่างกายและฝ่ามือของเขา
เฉาตงฟาไม่ได้ดูดีไปกว่ากันสักนิด หลังจากวิ่งไล่ตามอย่างบ้าคลั่งด้วยความวิตกกังวลและความหวาดกลัว ใบหน้าของเขาก็ซีดเซียว มีคราบเลือดติดอยู่บนใบหน้า ริมฝีปากเอ่ยถามโจวจินหนานด้วยความสั่นเทา “น้องชาย น้องของผมจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
โจวจินหนานขมวดคิ้ว “เขาเสียเลือดมาก ตอนนี้ชีพจรอ่อนแรงลง ดูท่าไม่ค่อยสู้ดีนัก”
ขอบตาของเฉาตงฟากลายเป็นสีแดงก่ำ พยายามกัดฟันแน่นไม่ให้น้ำตาไหลลงมา “ขออย่าเป็นอะไรเลย น้องสะใภ้เพิ่งคลอดลูกแท้ ๆ ไหนจะคนเฒ่าคนแก่และเด็กน้อย ต่อจากนี้ไปพวกเขาจะอยู่กันยังไง”
เขายกแขนเสื้อขึ้นมาปาดน้ำตา “ก่อนจะออกมาเราก็ถามคุณยายเป่ยซานแล้ว หล่อนบอกว่าตงชางเป็นคนใจร้อน ถ้าจะออกไปให้นึกถึงความปลอดภัยเป็นอย่างแรก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น แถมยังบอกอีกว่าตงชางจะต้องเจอกับหายนะ ถ้าก้าวผ่านมาไม่ได้จะต้องถึงแก่ความตาย”
โจวจินหนานกล่าวโทษตนเองมากขึ้น ถ้าเขาไม่เห็นแก่ตัวเพียงเพราะไม่ชอบอวี๋จิ้ง เฉาตงชางก็คงจะไม่เป็นอะไร เขายื่นมือออกไปจับไหล่เฉาตงฟา “เขาจะต้องไม่เป็นอะไร”
การรักษากินเวลานานกว่าสองชั่วโมงแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง
อวี๋จิ้งรีบวิ่งโซซัดโซเซเข้ามา มองดูเลือดบนร่างกายของโจวจินหนานและเลือดบนใบหน้าของเฉาตงฟาแล้วก็รู้สึกวิตกกังวลมากขึ้น เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “พี่ชายเป็นอะไรไหมคะ?”
โจวจินหนานชำเลืองมองหล่อน และลุกขึ้นไปยืนข้าง ๆ กระจก เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเฉาตงชางเท่านั้น แต่ยังสงสัยเกี่ยวกับคุณยายเป่ยซาน
มันเป็นสัญชาตญาณความรู้สึกเมื่อได้ยินสองคนนี้พูดเรื่องคุณยายซ้ำ ๆ เขาก็รู้สึกว่าคุณยายอาจจะเป็นคนที่เขากำลังตามหา
อาจจะมีใครหลายคนที่สามารถทำนายดวงชะตาได้ หรือบางทีอาจจะไม่ใช่
แต่เขารู้สึกว่าตนไม่สามารถปล่อยปมนี้ไปได้
เฉาตงฟาชำเลืองมองอวี๋จิ้งที่ไม่รู้ว่าตัวสั่นเทาจากความเหน็บหนาวหรือความหวาดกลัว และถอนหายใจ “ไม่รู้สิ ที่นี่ไม่ปลอดภัยเหมือนกับเมืองหลวงของพวกคุณหรอก มีทั้งคนชั่วและโจรมากมายบนท้องถนน คุณเองเป็นผู้หญิง เวลาจะออกมาข้างนอกก็ควรใส่ใจเรื่องความปลอดภัยให้มากกว่านี้”
อวี๋จิ้งกัดริมฝีปากล่างและไม่ได้พูดตอบรับออกไป หล่อนหวาดกลัวมากจริง ๆ
การผ่าตัดดำเนินไปนานกว่าสามชั่วโมง จนเวลาล่วงเลยมาถึงสองทุ่ม กว่าหมอจะออกมาจากห้องผ่าตัดก็แทบหมดแรง
เฉาตงฟาเดินไปข้างหน้าด้วยความตื่นตระหนก “คุณหมอ น้องชายผมเป็นยังไงบ้างครับ?”
ทีมแพทย์ขมวดคิ้ว “ม้ามแตกและเสียเลือดมากครับ ตอนนี้ขึ้นอยู่กับเขาแล้วว่าจะผ่านช่วงเวลาวิกฤติในยี่สิบสี่ชั่วโมงไปได้หรือเปล่า”
เฉาตงฟาก้าวถอยหลังโดยที่ไม่รู้ตัว และไม่สามารถควบคุมตนเองให้พูดจบประโยคได้ “หมายความว่า…เขาไม่อยู่แล้ว? ไม่มีหวัง?”
แพทย์ส่ายหน้า “พวกคุณมาทันเวลานะครับ แค่รอให้พรุ่งนี้เขาฟื้นขึ้นมา”
ทว่าทีมแพทย์กลับไม่ได้บอกว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อหรือไม่
หลังจากที่ทีมแพทย์ออกไป เฉาตงฟาก็เดินวนและพูดพึมพำไม่หยุด ก่อนจะหันหน้าไปบอกโจวจินหนานว่า “ฉันจะกลับไปถามคุณยายเป่ยซาน คุณยายน่าจะรู้ว่าน้องชายฉันจะรอดหรือไม่”
โจวจินหนานเลิกคิ้วขึ้น “พาท่านมาที่นี่ได้ไหมครับ?”
เฉาตงฟาส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ท่านมีนิสัยแปลก ๆ น่ะ ไม่ค่อยออกจากบ้าน นับประสาอะไรกับเข้ามาในเมือง ฉันจะกลับไปถาม ฝากน้องชายฉันด้วยนะ”
ถึงกระนั้นเขาก็ยังเป็นกังวล “ฉันไปก่อนนะ แล้วจะรีบกลับมา”
อวี๋จิ้งถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินว่าเฉาตงชางไม่ได้เป็นอะไรมาก อีกทั้งยังนึกไม่ถึงว่าจะว่าเฉาตงฟากำลังจะกลับไปถามแม่มดถึงเรื่องความเป็นความตาย “ตอนนี้เราควรจะหาทางย้ายเขาไปโรงพยาบาลอื่นและหาหมอเก่ง ๆ มารักษาต่อสิคะ มามัวพูดเรื่องความเชื่องมงายอยู่ทำไม?”
โจวจินหนานไม่เคยเกลียดใครเท่านี้มาก่อน ตอนนี้เขารู้สึกว่าอยากจะบีบคอหล่อนให้ตายไปเสีย
เขาพยายามระงับความขุ่นเคืองด้วยการกำหมัดอยู่หลายต่อหลายครั้งเมื่อมองดูอวี๋จิ้งที่เป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุในครั้งนี้ แต่หล่อนกลับมีหน้ามาเทศนาอย่างชอบธรรม
ก่อนจะมองไปที่เฉาตงฟา “พี่บอกที่อยู่คุณยายมา เดี๋ยวผมจะไปถามให้ พี่รออยู่ที่นี่และถ้ามีอะไรเกิดขึ้น สมาชิกในครอบครัวจะต้องเป็นคนแรกที่ลงชื่อ”
เฉาตงฟาลังเลเพราะว่าคุณยายเป่ยซานไม่ต้องการพบเจอกับคนนอก แต่เมื่อถึงอาการวิกฤติของน้องชายที่ไม่รู้ว่าจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ถ้าน้องตายจริง ๆ เขาคงไม่มีญาติเหลืออีกแล้ว
ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ และรีบกัดฟันพูดตอบ “ได้ ฉันบอกที่อยู่ให้ หมู่บ้านสันเขาสกุลเฉาของเราอยู่ในหุบเขา ต้องเดินไปทางทิศตะวันออกแปดถึงเจ็ดกิโลเมตร จะมีพื้นที่เขตปลอดลมหนาวที่เอาไว้เลี้ยงสัตว์และพักผ่อนในฤดูหนาว แต่ตอนนี้ไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นั่นแล้ว มีแค่คุณยายเป่ยซานอาศัยอยู่ที่นั่น”
“ท่านไม่ชอบเจอคน แถมยังมีของแปลก ๆ โรยอยู่ที่หน้าประตู ถ้านายไม่ระวัง นายจะโดนพิษเอาได้ จำไว้ว่าให้ส่งเสียงตะโกนจากด้านนอกก่อน ตะโกนชื่อของน้องชายฉันก็ได้”
จู่ ๆ หัวใจของโจวจินหนานก็พองโตขึ้น และตั้งตารอทันทีที่เขาได้ยินถึงสิ่งแปลกประหลาด ว่าถ้าหากเขาไม่ระวังตัว อาจจะโดนพิษเอาได้
เขาตบไหล่เฉาตงฟา หันหลังและเดินจากไป…
…………………………………………
สารจากผู้แปล
เสนอหน้ายังไงให้เดือดร้อนกันหมดน่ะนังจิ้งจอก เธอนี่สุดยอดจริงๆ
พี่หนานต้องออกโรงเองอีกแล้ว
ไหหม่า(海馬)