เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 268 ดวงตาของเขาไม่แยแสราวกับหมาป่าบนที่ราบสูง
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80
- บทที่ 268 ดวงตาของเขาไม่แยแสราวกับหมาป่าบนที่ราบสูง
บทที่ 268 ดวงตาของเขาไม่แยแสราวกับหมาป่าบนที่ราบสูง
หลังจากที่เฉาตงชางพูดจบ จู่ ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเผลอพูดอะไรบางอย่างผิด จึงรีบหัวเราะและพูดขึ้นว่า “ผู้อาวุโสก็คือผู้อาวุโส ฉันนึกว่าเรากำลังพูดถึงแม่ม่ายเฉินเสียอีก”
คำแก้ต่างของเขาฟังดูทื่อและไม่สมเหตุสมผล
โจวจินหนานชำเลืองมองเขาและไม่ได้ถามคำถามอะไรต่อ ก่อนจะเอื้อมมือออกไปชนถ้วยชาของเฉาตงฟา “มาเถอะครับพี่ชายเฉา มาดื่มกัน หาได้ยากที่จะออกมาเจอคนคุยถูกคอ นี่มันโชคชะตาฟ้าลิขิตชัด ๆ”
เขาพูดและดื่มเหล้าภายในอึกเดียว หยิบเหยือกเหล้าขึ้นมารินให้ทั้งสามคน
เหล้าเกาเหลียงที่บ่มเองในชนบทมักทำมาจากข้าวฟ่างบริสุทธิ์และส่าเหล้า ทำให้มีรสชาติกลมกล่อม ติดทนนาน และมีปริมาณแอลกอฮอล์ค่อนข้างสูง เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะรู้สึกเร้าร้อนเหมือนไฟสุมในท้อง
หลังจากดื่มเหล้าเข้าไปสองถ้วย ใบหน้าของโจวจินหนานก็เปลี่ยนเป็นสีแดง และเรียกสองพี่น้องเฉาให้มากินบะหมี่ทันทีที่บะหมี่มาเสิร์ฟ
อวี๋จิ้งเข้ามานั่งลงที่โต๊ะข้าง ๆ โจวจินหนาน ระยะห่างระหว่างทั้งสองโต๊ะน้อยกว่าหนึ่งเมตรได้ แทบจะรู้สึกว่านั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน
กลิ่นแอลกอฮอล์ของโต๊ะข้าง ๆ ฉุนจนฟุ้งไปทั่วอากาศ อวี๋จิ้งรู้สึกมึนเมาเล็กน้อยราวกับตนเองดื่มเหล้าเข้าไป แก้มทั้งสองข้างร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
หล่อนเอื้อมมือไปถลกชายกระโปรง และคลายริบบิ้นที่คอเสื้อ
ถึงแม้ว่าจะเพิ่งเข้าสู่เดือนตุลาคม แต่อากาศช่วงเช้ากับช่วงเย็นในเมืองหลิวหวู่ก็แตกต่างกันมาก กลางคืนอากาศลดต่ำกว่าสิบองศา และรู้สึกหนาวเย็นทุกครั้งที่มีลมพัดผ่าน
อวี๋จิ้งอยู่ในชุดกระโปรงแขนยาวผ้าลูกฟูกสีเขียวเข้ม กระโปรงยาวเหนือเข่าเผยให้เห็นน่องที่พองาม สวมรองเท้าส้นสูงสีดำอยู่เบื้องล่าง
ถึงกระนั้นหล่อนกลับไม่รู้สึกหนาวแม้แต่น้อย รับรู้ได้แค่ความร้อนที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย สั่งบะหมี่หนึ่งถ้วยและหันหน้าไปมองโจวจินหนานเป็นครั้งคราว
รับรู้ได้ว่าท่าทางการก้มหน้ากินบะหมี่ของชายผู้นี้ดูร้อนแรงยิ่งนัก
แม้จะรู้แจ้งอยู่ในใจว่าเขาแต่งงานแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองหาเขาครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งยังคอยปลอบใจตนเองว่าภรรยาของเขาดุร้ายแค่ไหน การแต่งงานที่จัดขึ้นจะต้องไม่ใช่เพราะความรัก
เช่นเดียวกับพ่อของหล่อนกับภรรยาคนก่อน ไม่มีทั้งความรักและภาษาระหว่างคู่รัก สุดท้ายก็หย่าร้างเพื่อมาตามหาแม่ของเธอ จนทั้งสองได้กลายเป็นรักแท้ของกันและกัน
หัวใจของอวี๋จิ้งกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเมื่อคิดเช่นนี้ ดวงตาเป็นประกายฉ่ำน้ำทอแววอ่อนโยนทุกครั้งที่หันไปมองโจวจินหนาน
แต่จู่ ๆ โจวจินหนานก็หันหน้ามามองหล่อน เห็นได้ชัดว่าเป็นสายตาที่ดูไม่แยแสแม้แต่น้อย จนอวี๋จิ้งตัวสั่นเทา
การจ้องมองประเภทไหนกันที่ทำให้รู้สึกราวกับจมธารน้ำแข็งพันปีในเหวลึก เพียงแวบเดียวก็ทำให้รู้สึกเหมือนกับหล่อนติดอยู่ในโลกน้ำแข็งและหิมะเป็นเวลาสามถึงเก้าวัน
ดวงตาแสนเย็นชานั้นแฝงแววโหดเหี้ยมเอาไว้ ไม่แยแสราวกับหมาป่าบนที่ราบสูง
หัวใจของอวี๋จิ้งบีบรัดแน่นขึ้น เกรงกลัวจนไม่กล้าหันไปมองโจวจินหนานอีก แม้ว่าเขาจะหันหน้าไปมองทางอื่นแล้ว แต่หล่อนก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ดี
รู้สึกราวกับโจวจินหนานอยากจะฆ่าใครสักคน อีกทั้งบนตัวเขายังมีไอความชั่วร้ายลอยอวล!
โจวจินหนานแผ่รังสีเกลียดชังใส่ผู้หญิงที่นั่งอยู่โต๊ะด้านข้างระดับเดียวกับซูฮุ่ยหรูแม่ของเขา เขาละสายตาขณะนั่งถือแก้วเหล้าดื่มกับทั้งสองคน แทนที่จะพูดคุยเรื่องคุณยายเป่ยซาน พวกเขากลับพูดคุยเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีของหลินหวู่กับเป่ยซานแทน
พวกเขาดื่มกันอย่างมีความสุขจนกระทั่งเฉาตงชางหน้าแดงก่ำ ถอดเสื้อกั๊กหนังแกะออก และเริ่มตะเบ็งเสียงร้องเพลงฮวาเอ๋อร์ ถึงแม้ว่าเขาจะร้องเพลงเพี้ยน แต่ก็ตะเบ็งเสียงจากช่องท้องออกมาเต็มเสียง
ทันใดนั้นเอง อวี๋จิ้งก็พบหัวข้อบทสนทนา หล่อนรีบปรบมือให้เฉาตงชาง “พี่ชาย คุณร้องเพลงฮวาเอ๋อร์เพราะมาก ฟังแล้วเหมือนเพลงต้นฉบับเลยค่ะ”
เฉาตงชานมีความสุขมากขึ้นเมื่อเห็นว่าหญิงสาวพูดชื่นชมเขา “แค่ร้องเล่นๆ น่ะ ไม่ได้ดีนักหรอก”
อวี๋จิ้งจ้องมองเขาอย่างจริงจัง “พี่ชายเฉา พี่ก็เจียมเนื้อเจียมตัวไป ฉันเป็นนักข่าวภาคค่ำประจำจังหวัดค่ะ เคยได้ยินเสียงร้องเพลงของนักร้องมืออาชีพจากคณะร้องเพลงและนาฏศิลป์มาก่อน พี่ร้องเพลงได้เหมือนพวกเขาเปี๊ยบเลย”
ทัศนคติของเฉาตงชางเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินว่าอวี๋จิ้งเป็นนักข่าว สายตาบ่งบอกถึงความเคารพ เพราะในสายตาพวกเขา อาชีพนักข่าวค่อนข้างเป็นปัญญาชน
นอกจากนี้หญิงสาวยังแต่งตัวตามสมัย ดูเหมือนผู้คนที่มาจากเมืองใหญ่ ดังนั้นเขาจึงเริ่มพูดไพเราะมากขึ้น “คุณนักข่าว ที่หมู่บ้านพวกเรายังมีคนมากมายที่ร้องเพลงฮวาเอ๋อร์ได้ไพเราะ ผมไม่กล้าพูดว่าตัวเองร้องเพลงไพเราะหรอกครับ”
ดวงตาของอวี๋จิ้งเป็นประกาย “จริงเหรอคะ? ฉันออกมารวบรวมเพลงพื้นบ้านเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับขนมธรรมเนียมและวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อย รวมถึงศิลปะพื้นบ้านด้วย เสร็จแล้วฉันจะเอาไปตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ภาคค่ำให้ทุกคนในจังหวัดได้รับรู้”
ในยุคนี้หนังสือพิมพ์ภาคค่ำประจำจังหวัดมีความสำคัญอยู่พอควร และผู้คนที่สามารถรวบรวมข่าวเขียนลงบนหนังสือพิมพ์ได้ล้วนเป็นผู้ที่สูงส่ง
เฉาตงชางรู้สึกตื่นเต้น “คุณนักข่าว ถ้าคุณสนใจ พรุ่งนี้คุณมาเยี่ยมชมอาณาเขตหมู่บ้านของพวกเราได้…”
ทว่าเฉาตงฟากลับพูดแทรกน้องชาย “เยี่ยมเลย ทำไมเหล้าเข้าปากแล้วถึงได้พูดมากนัก? คุณนักข่าวมีธุระที่ต้องทำต่อจากนี้นะ”
อวี๋จิ้งรีบโบกมือ “ไม่มีธุระหรอกค่ะ ถ้าเกิดไม่เป็นไร ฉันจะขอไปกับพวกคุณด้วยได้ไหมคะ?”
หล่อนรู้ว่าโจวจินหนานกำลังจะเดินทางไปซื้อหนังแกะที่หมู่บ้านเป่ยชานกับทั้งสองคน หากได้เดินทางไปใช้เวลากับเขามากขึ้น หล่อนก็เชื่อว่าโจวจินหนานจะต้องพบข้อดีของหล่อนอย่างแน่นอน
เฉาตงชางมองไปที่เฉาตงฟา “ดีจะตาย นักข่าวประจำจังหวัดเดินทางมาที่หมู่บ้านเรา พวกเราต้องต้อนรับอยู่แล้วใช่ไหมพี่ชาย?”
เฉาตงฟาไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “แต่คุณนักข่าวคงไม่ชอบสภาพทุรกันดารในชนบทของเราหรอก”
อวี๋จิ้งรีบส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเองก็เคยไปพื้นที่ชนบทมาก่อน”
อวี๋จิ้งรีบพูดตัดบทขณะที่เห็นว่าโจวจินหนานยังคงเงียบอยู่ “พวกคุณดื่มกันไปก่อนเถอะค่ะ พรุ่งนี้ก่อนจะออกเดินทางค่อยมาเรียกฉันก็ได้”
หล่อนไม่ได้ก่อเรื่องต่อ รีบกินบะหมี่และไปจ่ายค่าอาหาร นอกจากนี้ยังแอบจ่ายเงินค่าอาหารของโต๊ะโจวจินหนาน ก่อนจะรีบจากไปอย่างรวดเร็ว
พวกโจวจินหนานกินเสร็จแล้วกำลังจะไปจ่ายค่าอาหาร ทว่าเถ้าแก่กลับบอกปฏิเสธ “ผู้หญิงคนนั้นจ่ายค่าอาหารให้พวกคุณแล้ว”
ใบหน้าของโจวจินหนานมืดครึ้มลงทันที “ทั้งหมดเท่าไหร่ครับ?”
“ของพวกคุณมีบะหมี่สามชาม ถั่วลิสงหนึ่ง เหล้าสอง รวมเป็นเงินทั้งหมดสี่หยวน”
โจวจินหนานหยิบเงินห้าหยวนออกมาและส่งให้เฉาตงฟา “พรุ่งนี้พวกพี่เอาเงินไปให้ผู้หญิงคนนั้นด้วย ผมคงไม่ไปกับพวกพี่แล้ว”
เฉาตงฟาถึงกับมึนงง “เกิดอะไรขึ้น?”
โจวจินหนานยัดเงินใส่มือเฉาตงฟาโดยตรง “หล่อนเลี้ยงอาหารค่ำพวกพี่ คงเพราะพรุ่งนี้อยากจะไปทำข่าวกับพวกพี่ พรุ่งนี้ผมต้องไปหาเพื่อนก่อน แล้วจะตามไปหาพวกพี่ทีหลัง”
เฉาตงฟารู้สึกว่าคำแก้ต่างดังกล่าวค่อนข้างน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังเห็นว่าโจวจินหนานกับหญิงสาวคนนั้นไม่รู้จักกัน เขาจึงรับเงินเอาไว้ “ได้สิ ถ้าอย่างนั้นนายไปที่หมู่บ้านสันเขาสกุลเฉาแล้วสอบถามชื่อฉันเอา ทุกคนในหมู่บ้านรู้จักฉันหมด”
ทั้งสามคนออกมาจากร้านอาหารขนาดเล็ก เดินไปทางตามถนนสายหลักจนไปสิ้นสุดอยู่ที่บังกะโล ถึงแม้ว่าบังกะโลจะอยู่ค่อนข้างใกล้สถานีรถไฟ แต่เส้นทางค่อนข้างเปลี่ยวและไม่มีไฟข้างทาง
บรรยากาศมืดมิด มีเสียงนกฮูกร้องเป็นระยะ ฟังแล้ววังเวงชอบกล
หลังจากเดินออกมาได้ไม่ไกลนัก เขาได้ยินเสียงคนข้างหน้าที่กำลังโต้เถียงกัน และเมื่อเดินเข้าไปใกล้ เขาเห็นคนสองสามคนกำลังฉุดกระชากลากถูหญิงสาว ขณะที่หล่อนกำลังร้องเสียงดัง “พวกแกจะทำอะไร! ปล่อย ถ้าไม่ปล่อยฉันจะตะโกนเรียกคน”
“ตะโกนสิ เธอแต่งตัวแบบนี้เอง ออกมาข้างนอกทั้งที่ท้องฟ้ามืดสนิท นี่ไม่ได้ออกมาจับผู้ชายหรือไง? ทำไมต้องเสแสร้งด้วย”
โจวจินหนานขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดอีกครั้ง!
…………………………………………
สารจากผู้แปล
มโนเก่งจริงยัยจิ้งจอก พี่หนานเขาไม่สนเธอก็คือไม่สนจ้า ยั่วยังไงเขาก็ไม่มองหรอก หาเรื่องให้เขาตลอดเลย
ไหหม่า(海馬)