เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 264 อามู่ไม่ได้เป็นใบ้
บทที่ 264 อามู่ไม่ได้เป็นใบ้
สวี่ชิงคิดจะเดินออกแต่ก็สายเกินไป เมื่อเธอตระหนักได้ว่าหลูเว่ยตงเคยบอกว่าเขาจะทำงานในแผนกรถไฟ และเขาก็ควรจะนั่งอยู่ในสำนักงานสถานีรถไฟเช่นกัน
ถึงกระนั้นเธอไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะนั่งทำงานอยู่ในสำนักงานแผนกขนส่ง
และสำหรับหลูเว่ยตงแล้ว เรื่องนี้ถือว่าเกินความจำเป็น
ถ้าหลูเว่ยตงเป็นหัวหน้าขนส่ง แล้วหลี่กั๋วหัวล่ะ?
สวี่ชิงไม่ได้มองไปที่หลูเว่ยตง กลับยิ้มแสดงความยินดีกับหลี่กั๋วหัว “ดูเหมือนว่าต่อไปนี้ฉันจะต้องเรียกคุณว่าผู้อำนวยการหลี่แล้วสินะคะ เอาไว้ได้เลื่อนขั้นแล้วฉันจะเลี้ยงอาหารเย็นคุณสักมื้อนะคะ”
หลี่กั๋วหัวยิ้มกว้าง “สหายตัวน้อย คุณรู้ได้ยังไงว่าผมกำลังจะได้รับเลื่อนขั้น? ผมยังไม่ได้บอกใครเลยนะ”
สวี่ชิงยิ้ม “ผู้อำนวยการหลี่ยิ้มออกหน้าออกตาแบบนี้ ก็หมายความว่าจะต้องรับเลื่อนขั้นน่ะสิคะ แล้วกลับมาให้เลี้ยงข้าวทีนะคะ”
หลี่กั๋วหัวพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “เลี้ยงครับเลี้ยง จะเลี้ยงอย่างดีให้สาสมเลยล่ะครับ แต่ก่อนอื่นผมขอแนะนำให้พวกคุณรู้จักกันก่อน นี่คือหลูเว่ยตงครับ เป็นหัวหน้าขนส่งคนใหม่ของเรา มาจากเมืองหลวงมากความสามารถ พวกคุณทั้งคู่เป็นคนหนุ่มสาว ต่อให้ต้องติดต่อกันทีหลังก็ไม่มีปัญหาแน่นอน”
เขาพูดแนะนำหลูเว่ยตงอีกครั้ง “นี่คือสวี่ชิงที่ผมเล่าให้คุณฟัง ถึงจะยังดูเด็ก แต่หล่อนช่างคิดช่างทำ คำถามมากมายที่หล่อนหยิบยกขึ้นมาสอดคล้องกับการปฏิวัติเศรษฐกิจทั่วไปในปัจจุบันมาก ในส่วนของเรายังอ่อนข้อเกินไปเหมือนกับการคลำหินข้ามแม่น้ำ เพราะงั้นหลายครั้งสวี่ชิงมักจะให้คำแนะนำดี ๆ กับอะไรที่เราปล่อยวางไม่ได้เสมอ”
หลูเว่ยตงไม่ได้ฟังคำพูดของหลี่กั๋วหัวแม้แต่น้อย เขาลุกขึ้นยืน จ้องมองไปทางสวี่ชิงด้วยดวงตาร้อนรุ่มราวกับเปลวไฟลุกโชน และยื่นมือออกไป “สวัสดีครับคุณสวี่ชิง หวังว่าความร่วมมือของเราจะผ่านไปด้วยดี”
สวี่ชิงไม่ได้สนใจมือของหลูเว่ยตงที่ยื่นออกมา เพียงแต่ตอบรับด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น “ขอแสดงความยินดีกับหัวหน้าหลูด้วยนะคะ ดูเหมือนว่าคุณจะมีความสามารถมากจนสามารถนั่งตำแหน่งสำคัญได้ตั้งแต่อายุยังน้อย และถือว่าเป็นสิริมงคลแก่สถานีของเรา”
หลี่กั๋วหัวหัวเราะ คิดว่าสวี่ชิงกำลังพูดชมเชยที่หลูเว่ยตงอายุยังน้อยและมีความก้าวหน้า อีกทั้งยังพูดเสริมจากด้านข้าง “ใช่แล้ว ใช่แล้ว เสี่ยวหลูอายุยังน้อยและมีความก้าวหน้ามาก อนาคตของเขาจะต้องไร้ขีดจำกัดแน่นอน”
หลูเว่ยตงรู้สึกได้ว่าใบหน้ากำลังร้อนฉ่า แม้หลี่กั๋วหัวจะไม่ได้ยินน้ำเสียงของสวี่ชิง แต่เขากลับได้ยินมันชัดเจน
สวี่ชิงกำลังพูดเยาะเย้ยที่เขาใช้เส้นสายทางครอบครัวให้ได้รับการเลื่อนขั้นจากเบื้องหลัง
ไม่น่าเชื่อว่าหญิงสาวที่อ่อนโยนและจิตใจดีจะกลายเป็นดอกกุหลาบที่มีหนามแหลมคมในชั่วพริบตา หนามนั้นทิ่มแทงจนเขาเจ็บปวด ถึงกระนั้นเขายังไม่อาจละสายตาได้
คนอย่างสวี่ชิงทำให้เขาลังเลที่จะปล่อยมือ
ริมฝีปากของสวี่ชิงยกยิ้ม ทว่าดวงตากลับดูเย็นชามาก แม้แต่หลี่กั๋วหัวที่อยู่ด้านข้างก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ อย่างไรเสียเขาก็เป็นจิ้งจอกเฒ่ามากประสบการณ์มาหลายปี จึงเผยรอยยิ้มกว้างขณะมองไปที่สวี่ชิง “เสี่ยวสวี่ คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ? เสี่ยวหลูกับผมกำลังไปประชุม เอาไว้ผมไปหาคุณทีหลังแล้วกันนะครับ”
สวี่ชิงพยักหน้า “ได้ค่ะ พวกคุณไปประชุมก่อนเถอะค่ะ เอาไว้ว่างค่อยคุยกันทีหลัง”
หลังจากพูดจบ เธอก็เดินออกจากสำนักงานโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองหลูเว่ยตง
หลี่กั๋วหัวเฝ้าดูสวี่ชิงเดินออกไป จากนั้นจึงถามหลูเว่ยตงด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “คุณรู้จักกับเสี่ยวสวี่ด้วยเหรอ? ขัดแย้งอะไรกันหรือเปล่าครับ?”
หลูเว่ยตงแสยะยิ้ม “เรารู้จักกันตั้งแต่ยังเด็กน่ะครับ แต่ว่าเมื่อไม่นานมานี้เธออารมณ์ไม่ดี พอเจอหน้าเราเลยไม่ค่อยได้คุยกัน”
คำพูดที่กำกวม ง่ายต่อการเข้าใจผิด
หลี่กั๋วหัวหัวเราะเฮอะ ๆ “ถ้ารู้จักกันอยู่แล้วจะได้รับมือง่าย ๆ แต่เสี่ยวสวี่มีบุคลิกที่ดีมาก หาได้ยากที่ผู้หญิงจะมีใจใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าคุณจะทำให้หล่อนขุ่นเคืองเอามากๆ เพราะงั้นค่อย ๆ คุยกันล่ะ”
เขาฉลาดพอที่จะไม่เข้าไปเหยียบย่ำน้ำโคลน
เขาเคยพบกับคนรักของสวี่ชิงมาก่อน ความสัมพันธ์ของทั้งสองดีมาก แล้วสวี่ชิงจะไปเกี่ยวข้องกับคนอื่นได้อย่างไร
สวี่ชิงโมโหมาก เธอเดินลงไปชั้นล่างด้วยความขุ่นเคืองตลอดทาง
หลังจากเดินวนรอบลานจัตุรัสสองรอบก็รู้สึกสงบลง พลางคิดว่าตนควรจะเลิกทำธุรกิจที่กำลังเติบโตและเริ่มทำธุรกิจใหม่อีกครั้งเพราะการมาเยือนของหลูเว่ยตงดีหรือไม่?
มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเธอทำเองคนเดียว แต่นี่ยังมีผางเจิ้งหัวและซุนเชียวเฟิ่งอยู่ด้วย
คนพวกนี้ฝากความหวังของครอบครัวไว้ที่เธอ หากต้องเปลี่ยนที่อยู่และกิจการใหม่ไม่เป็นดั่งใจหวัง พวกเขาคงจะรู้สึกผิดหวังกันมาก
และเธอคงจะรู้สึกผิดต่อทุกคน
ทำไมเธอจะต้องเลิกทำกิจการของตนเองเพราะหลูเว่ยตงด้วย!
สวี่ชิงเดินวนรอบเพื่อสงบสติอารมณ์อีกครั้ง รวมถึงวิเคราะห์อิทธิพลของหลูเว่ยตง เขาจงใจอ่อนข้อในที่ทำงานให้เธอ เพื่อให้เธอรู้สึกประทับใจ
บีบบังคับให้เธอพูดคุยกับเขา และมีความสัมพันธ์ตื้นเขินในการทำงานด้วยกัน
ทว่าสิ่งเหล่านี้ง่ายต่อการเข้าใจผิด ไม่ต้องพูดถึงยุคศักดินาและอนุรักษ์นิยม แม้กระทั่งหลายทศวรรษต่อมาก็ยังถูกเข้าใจผิดได้ง่าย
เธอไม่ต้องการให้โจวจินหนานเข้าใจผิด แม้ว่าเธอจะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยก็ตาม
เธอต้องการกุมกิจการปัจจุบันไว้ และหาทางพัฒนากิจการแห่งใหม่ในพื้นที่แห่งอื่น เมื่อใดที่กิจการใหม่มั่นคงขึ้นแล้ว เธอถึงจะละทิ้งกิจการแห่งนี้ได้
หรือควรจะให้ผางเจิ้งหัวเป็นคนติดต่อกับหลูเว่ยตง และรอดูว่าใครจะน่าสะอิดสะเอียนกว่ากัน
เมื่อคิดเช่นนี้ ความหดหู่ในใจของสวี่ชิงก็จางหายไป ท้องเริ่มส่งเสียงร้องคำรามหลังจากเดินวนรอบได้สองสามรอบ
เธอกลับไปบอกผางเจิ้งหัว และไปเดินหาร้านบะหมี่เนื้อที่อยู่ในซอยตรงข้าม
เธอสั่งบะหมี่เนื้อเส้นกลมใหญ่หนึ่งถ้วย ใส่น้ำพริกและน้ำส้มสายชูลงไป อีกทั้งยังขอพิเศษเนื้อ อารมณ์ของเธอดีขึ้นทันทีที่เห็นต้นกระเทียมสีเขียวสดและพริกสีแดงลอยอยู่ในถ้วย
ขณะกินบะหมี่และเอาแต่คิดว่าโจวจินหนานจะไปอยู่ที่ไหน ได้กินอะไรบ้างแล้วหรือยัง
ไม่รู้ว่าไข่ต้มใบชาที่เธอให้ไปจะรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง
ขณะนี้โจวจินหนานอยู่บนรถไฟกำลังมุ่งหน้าไปทางใต้ นั่งตัวตรงอยู่บนที่นั่ง จ้องมองไปข้างหน้าราวกับนกอินทรี มองดูด้านหน้าสุดที่เป็นทางแยกของตู้โดยสารอีกขบวน
มีชายคนหนึ่งถือกระเป๋านั่งยอง ๆ อยู่ เขาสวมใส่เสื้อคลุมสีเขียวลายทหาร บนหัวสวมหมวกฟาง
ก้มหน้าลงไม่ขยับเขยื้อน แม้ว่ารถไฟจะสั่นสะเทือนหรือคนเดินผ่านไปมาก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเขาแม้แต่น้อย
โจวจินหนานจ้องมองไปที่ชายคนนั้น เพราะชายคนดังกล่าวคืออามู่ที่เขาเจอที่สถานพยาบาลผู้สูงอายุ
เหตุผลที่เขารีบออกเดินทางเร็วขึ้น เพราะเขาได้ยินมาว่าอามู่กำลังจะออกไปข้างนอก
และสถานที่ที่อามู่กำลังจะไปก็อยู่ที่เตียนหนานเช่นกัน ครั้งนี้อามู่กำลังออกเดินทางไปหาเย่หนานอย่างนั้นหรือ?
โจวจินหนานคิดว่าการจับตาดูอามู่จะทำให้เขาค้นพบเบาะแสอย่างแน่นอน
ความเร็วของรถไฟค่อนข้างช้ามากและต้องหยุดขบวนเป็นระยะ ๆ เพื่อคอยหลีกเลี่ยงรถไฟที่ผ่านไปมาจากฝั่งตรงข้าม แม้คนจำนวนมากบนรถไฟจะเปิดหน้าต่าง แต่อากาศข้างในก็ยังร้อนอบอ้าวอยู่ดี
โจวจินหนานเห็นว่าอามู่เริ่มเคลื่อนไหวโดยการเดินออกไปนั่งบนตู้รถไฟอีกขบวน เขาลุกขึ้นด้วยอาการสงบนิ่ง เบียดฝูงชนและไล่ตามอามู่ไป
คนจำนวนมากทำให้เบียดเสียดเข้าไปลำบาก แต่เมื่อเข้าไปใกล้ ๆ เขากลับพบว่าอามู่กำลังคุยกับเจ้าหน้าที่พนักงานอยู่
แม้ว่าระยะทางจะค่อนข้างไกล แต่โจวจินหนานก็สามารถจับคลื่นเสียงของอามู่ได้ และได้ยินเขาถามเจ้าหน้าที่พนักงานที่ควบคุมรถไฟว่า “คุณครับ จะถึงถึงสถานีหลินหวู่ประมาณกี่โมงเหรอครับ?”
เจ้าหน้าที่พนักงานส่ายหน้า “ไม่รู้สิครับ สภาพอากาศค่อนข้างแย่ ทำให้รถไฟหลายขบวนล่าช้า พวกเราคาดว่าคงจะถึงพรุ่งนี้เช้าได้”
โจวจินหนานขมวดคิ้วขณะจ้องมองไปที่อามู่ที่กำลังกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มจริงใจ
อามู่ไม่ได้เป็นใบ้ เขาได้ยินทุกอย่าง!
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เลือกกิจการไว้ก่อนชิงชิง ทำตัวตามปกติ อย่าให้เว่ยตงมามีอิทธิพลกับตัวเองได้
อามู่เป็นสายลับของใครหรือเปล่า ที่แกล้งใบ้นี่เพราะมาสืบเรื่องอะไรบางอย่างสินะ
ไหหม่า(海馬)