เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 262 เขาเป็นคนดี แค่คนอื่นไม่รู้
บทที่ 262 เขาเป็นคนดี แค่คนอื่นไม่รู้
โจวจินหนานได้ยินสวี่ชิงเคาะเปลือกไข่ราวกับกำลังระบายความโกรธ จากนั้นจึงได้ยินเสียงเธอพูดว่า “เขาจะย้ายไปไหนก็ไม่เกี่ยวกับฉัน ตอนนี้ฉันมีสามีมีลูกแล้ว เขาจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ!!”
“อีกอย่างถ้าฉันต้องติดต่อทำธุระด้วย งั้นฉันก็จะเลือกทำธุระอย่างอื่นแทน แค่เดินทางออกจากสถานีรถไฟไปมันไม่ทำให้ฉันถึงกับอดตายหรอกจริงไหม?”
ฉินเสวี่ยเหมยพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ก็ใช่ เขาไม่จำเป็นต้องถ่อมาถึงที่นี่เพื่อดูพวกเธอด้วยซ้ำ เขายังเด็กและมีคุณสมบัติไม่พอ”
สวี่ชิงไม่กล้าพูด ท้ายที่สุดคุณสมบัติไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แค่มีเส้นสายก็พอ
ก่อนจะมองดูไข่ในหม้อที่ปอกเปลือกออกหมดแล้ว เธอจึงปิดหม้อและหันไปเห็นโจวจินหนานที่เดินเข้ามาพร้อมกับชามในมือ เขาทำราวกับไม่ได้ยินอะไรและยื่นชามให้สวี่ชิง “เนื้อจากท้องปลา ไม่มีก้างหรอก คุณลองชิมสักหน่อยสิ”
สวี่ชิงมองดูชามที่เต็มไปด้วยเนื้อปลา และไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “จากปลาเล็กปลาน้อยที่เอาไปตุ๋นทั้งหมดนี่ คุณคงไม่ได้ตักเนื้อส่วนท้องมาหมดใช่ไหม?”
โจวจินหนานส่ายหน้า “เปล่า แบ่งบางส่วนให้คุณย่าด้วย”
สวี่ชิงคิดว่าคำตอบของเขาช่างน่ารักเหลือเกิน หากฉินเสวี่ยเหมยไม่ได้อยู่ที่นี่ เธอคงจะเข้าไปกอดและจูบเขาสักที ยิ้มตาหยีและรับชามมา “งั้นเหรอ คุณรีบออกไปกินได้แล้ว เดี๋ยวพวกอามาเห็นก็หัวเราะเยาะอีกหรอก”
โจวจินหนานไม่ได้ใส่ใจนัก “พวกเขาก็แค่อิจฉา ไม่ต้องใส่ใจหรอก”
เขาพูด ขณะที่ดวงตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
สวี่ชิงยิ้มและวางชามลง ก่อนจะผลักโจวจินหนานออกไป “พอแล้วๆ สงสัยจะดื่มไปเยอะสิท่า ถึงได้เริ่มพูดไร้สาระ รีบไปได้แล้ว”
ฉินเสวี่ยเหมยยิ้มขณะเฝ้าดูสวี่ชิงผลักโจวจินหนานออกไป “ความสัมพันธ์ของพวกเธอทั้งสองดีมาก ตอนนี้ฉันเชื่อแล้ว เขาดีกับเธอมาก ทะนุถนอมเธอเหมือนกับลูกสาวคนหนึ่งเลย”
สวี่ชิงพยักหน้าด้วยท่าทางเขินอาย “อื้ม เขาดีมาก ๆ เลยล่ะ แต่แค่คนอื่นไม่รู้”
ฉินเสวี่ยเหมยถอนหายใจ “ถ้าเธอพูดอีกรอบฉันจะอิจฉาแล้วนะ”
ทว่าสวี่ชิงกลับพูดล้อหล่อน “เธอเองก็เป็นได้นะ ฉันเห็นเธอกับสวีหย่วนตงคุยกันสนุกสนานเชียว”
ฉินเสวี่ยเหมยหน้าแดงก่ำทันที รีบก้มหน้าลงไปหยิบผักในชาม รู้สึกเขินอายเล็กน้อยตามบุคลิกที่ไม่ยี่หระ
พวกเหยียนจี้ชวนไม่ได้ดื่มกันจนดึก พอหลังสี่ทุ่มเหล้าขาวทั้งสามชั่งก็หมดเกลี้ยง
เกาจ้านพยุงเหยียนจี้ชวนออกไป ในขณะที่สวี่ชิงขอให้สวีหย่วนตงไปส่งฉินเสวี่ยเหมย
ฉินเสวี่ยเหมยรีบโบกไม้โบกมือด้วยความลำบากใจ “ไม่เป็นไร ฉันกลับเองได้ ไม่ได้ไกลนักหรอก”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว “ถึงไม่ไกลก็อย่าประมาท ถนนหน้าบ้านเธอไม่มีไฟข้างทาง ถ้าเกิดมีคนคิดไม่ดีกระโดดออกมาจะน่ากลัวแย่ ไม่งั้นฉันจะไปส่งเธอเอง”
สวีหย่วนตงรีบหยุดสวี่ชิงทันทีที่เห็นว่าเธอจะออกไปข้างนอก เธอตั้งครรภ์อยู่จะออกไปข้างนอกได้อย่างไร “ไม่ต้องห่วงครับพี่สะใภ้ ผมจะไปส่งคุณฉินที่บ้านอย่างปลอดภัย คุณดูแลพี่โจวจินหนานอยู่ที่บ้านเถอะครับ อีกอย่างเมื่อหัวค่ำผมไม่ได้ดื่มเยอะ”
สวี่ชิงหยุดคัดค้านเมื่อเห็นว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว “ก็ได้ คุณช่วยไปส่งหล่อนที่บ้านทีนะ”
สวี่ชิงมองดูฉินเสวี่ยเหมยก้มหน้าก้มตาเดินทางสวีหย่วนตงออกไปอย่างเขินอาย เธอยิ้มอย่างพึงพอใจและหันกลับมามองโจวจินหนานที่นั่งหลังตรงอยู่บนโต๊ะอาหาร ดวงตาดูพร่ามัว
ดูเหมือนว่าเขาจะเมามาก เธอจึงเดินเข้าไปโอบไหล่เขา “คุณเข้าไปพักผ่อนในบ้านก่อน ไว้ฉันทำความสะอาดเสร็จแล้วจะเอาน้ำไปให้ล้างตัว”
ดวงตาของโจวจินหนานจับจ้องไปที่สวี่ชิง ก่อนจะรีบพูดขึ้นราวกับได้สติคืนมา “ผมจะทำความสะอาดให้ คุณไปพักผ่อนเถอะ”
เขาไม่รีรอคำห้ามปรามของสวี่ชิง รีบลุกขึ้นยืนและเดินไปล้างจานที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างเรียบร้อย ไม่เหมือนคนเมาเลยสักนิด
เขาถือจานและตะเกียบไปล้างใต้ก๊อกน้ำ
สวี่ชิงที่ห้ามปรามไม่ทันไม่ได้สนใจนัก และปล่อยให้โจวจินหนานล้างจานต่อไป เธอเดินเข้าไปดูเนื้อที่เคี่ยวทิ้งเอาไว้และต้มน้ำร้อนสำหรับอาบน้ำ
เธอรู้สึกว่าลานบ้านเล็กเกินไป มันคงจะดีกว่านี้ถ้าขยายลานบ้านให้ใหญ่ขึ้นและสร้างห้องน้ำเพิ่มเติมในภายหลัง
เธอเก็บกวาดใกล้จะเสร็จแล้ว ในขณะที่ผางเจิ้งหัวหอบเอาเงินของวันนี้มาให้สวี่ชิงตรวจสอบยอดและเก็บรวบรวม “พรุ่งนี้ฉันจะจ่ายค่าจ้างของเดือนที่แล้วให้ทุกคน พอตกกลางคืนเรามาฉลองกัน เดือนที่แล้วทำไว้ดีมาก”
ผางเจิ้งหัวยิ้มกว้างอย่างคนโง่เขลา “ดีเลย ฉันจะทำเมนูใหม่ที่คิดมาตลอดทั้งสองวันให้เธออีกสองจาน อ๋อ ตอนนี้ฉินกุ้ยจือให้สวี่หรูเยว่มาช่วยงานที่ร้านด้วยล่ะ”
สวี่ชิงประหลาดใจเล็กน้อย ตอนกลางวันเธอได้ยินฉินเสวี่ยเหมยเล่าว่าฉินกุ้ยจือลากคู่รักหนุ่มสาวกลับไปอยู่ที่บ้าน และเมื่อกลับมาแล้ว พวกเขาจะไม่อาจอยู่นิ่งดูดายได้ ถึงกระนั้นก็ยังไม่ประหลาดใจเท่าได้ยินว่าอีกฝ่ายไปช่วยที่ร้าน
ผางเจิ้งหัวไม่ใช่คนเล่นแง่ หลังจากพูดประโยคนั้นจบ เขาก็พูดคุยอีกสองสามคำ ก่อนจะบอกลาและจากไป
สวี่ชิงนำเงินไปเก็บไว้ในบ้าน และบันทึกลงในสมุดบัญชี
หลังจากจดลงสมุดบัญชีแล้ว โจวจินหนานก็เดินเข้ามา ปิดประตูห้องและห้มลงกอดสวี่ชิงจากด้านหลัง ซุกไซ้ใบหน้าเข้ากับต้นคอเธอเบา ๆ
สวี่ชิงหัวเราะ “พี่เป็นอะไรไป? พี่รู้มั้ยว่าเดือนที่แล้วร้านเราทำรายได้ได้เท่าไหร่? หลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ได้มาตั้งสามพันสองร้อยหกสี่หยวนเชียวนะ แต่รายรับเดือนที่แล้วน้อยมาก ถ้าเป็นแบบนี้หน้าหนาวคงจะทำเงินไม่ได้เยอะ”
เธอพึมพำและรู้สึกว่าลมหายใจอุ่น ๆ ปะทะเข้ากับใบหูของเธอ
ก่อนที่ใบหูจะถูกขบเม้มอย่างนุ่มนวล
อาการจั๊กจี้ที่เหมือนถูกไฟช็อตพุ่งเข้าสู่หัวใจเธอ ทำให้ร่างกายของสวี่ชิงสั่นสะท้านหนาวยะเยือก ขนลุกซู่ไปทั่วทั้งร่างกาย
“โจวจินหนาน~ คุณเป็นหมาหรือไง?”
สวี่ชิงเอื้อมมือออกไปผลักแขนเขา
โจวจินหนานไม่ยอมปล่อยมือ ยังคงตระโบมจูบอย่างบ้าคลั่ง ลมหายใจหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ
สวี่ชิงรู้สึกลังเลมาก แต่เมื่อนึกขึ้นว่าโจวจินหนานกำลังจะออกเดินทางพรุ่งนี้ เธอจึงปล่อยให้เขาขบเม้มและเลียเหมือนกับอสุรกายตัวน้อย
อาจเป็นเพราะโจวจินหนานกำลังจะจากไป เขาถึงได้แปลงร่างเป็นหมาป่าจอมตะกละตะกลาม
ถึงกระนั้นเธอกลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะอ่อนโยนตลอดทั้งคืน เฉกเช่นกับสายฝนท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิที่โปรยปรายเข้าสู่ทุกอณูของสวี่ชิง รู้สึกสบายตัวมากแต่ก็เหนื่อยสุดขีดเช่นกัน
สวี่ชิงอดหลับอดนอนจนกระทั่งท้องฟ้าเปลี่ยนสี
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็พบว่าลานบ้านสว่างมากแล้ว ลำแสงเล็ดลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้อง ก่อตัวเป็นลำแสงเบาบางจนเห็นฝุ่นละอองลอยฟุ้ง
สวี่ชิงกระพริบตาและพบว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ เธอรีบลุกขึ้นไปใส่เสื้อผ้า แต่ก็พบว่ากระเป๋าที่ประตูหายไปแล้ว
โจวจินหนานออกไปแล้ว!
ในใจสวี่ชิงรู้สึกอ้างว้างอย่างไม่มีเหตุผล ก่อนจะรีบสวมเสื้อ หวีผมและเดินออกไป
เฟิงซูฮวานั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย กำลังถักเชือกป่านอยู่ในลานบ้าน รีบหันหน้าไปมองสวี่ชิงด้วยรอยยิ้มทันทีที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว “ตื่นแล้วเหรอ? โจวจินหนานซื้อเกี๊ยวมาให้น่ะ เอาไปอุ่นร้อนก่อนสิจ๊ะ เขาใส่พริกมาให้แล้วล่ะ ยังบอกอีกว่าถ้าหลานอยากกินเปรี้ยวให้ปรุงน้ำส้มสายชูเอาเอง”
สวี่ชิงตกตะลึง และรู้สึกถึงความเศร้าโศกในหัวใจ “พี่ไปแล้วเหรอคะ?”
เฟิงซูฮวาพยักหน้า “เขาขึ้นรถไฟไปแต่เช้าแล้ว ก่อนไปยังออกไปซื้อเกี๊ยวให้หลานตั้งแต่รุ่งสาง”
จากนั้นสวี่ชิงจึงตระหนักได้ว่าโจวจินหนานหยอกล้อเธออย่างเร่าร้อนเมื่อคืนนี้ เป็นเพราะว่าเขาไม่ต้องการให้เธอมองดูเขาจากไป และคงกลัวว่าเธอจะเศร้า
เธอเม้มริมฝีปาก เดินเข้าไปในห้องครัว และพูดพึมพำเบา ๆ “ต่อให้ออกไปส่งฉันก็จะไม่ร้องไห้สักหน่อย ทำไมจะต้องแอบไปด้วย”
แต่กลับต้องตกใจเมื่อเปิดม่านเข้าไปในห้องครัว…
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พี่หนานเบาได้เบา ชิงชิงท้องอยู่นะ
เดี๋ยวนี้พี่เขาพัฒนาแล้วนะคะ แต่ก่อนคือแข็งทื่อไร้ความโรแมนติกใดๆ
ไหหม่า(海馬)