เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 259 ไม่ได้ปรึกษาหารือกับเหยียนจี้ชวน
บทที่ 259 ไม่ได้ปรึกษาหารือกับเหยียนจี้ชวน
สวี่ชิงหัวเราะ “ฉันไม่อยากให้สวี่หรูเยว่มีความสุข ในสายตาพี่คิดว่าฉันเป็นคนใจแคบ หรือเป็นคนที่เอาเปรียบคนอื่นไหมคะ?”
โจวจินหนานทอดมองอย่างเข้าอกเข้าใจ “ไม่ คุณทำถูกต้องแล้ว ปฏิบัติต่อมิตรสหายอย่างอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ และปฏิบัติต่อศัตรูอย่างเย็นชาดุจฤดูหนาว”
สวี่ชิงหัวเราะสุขใจ “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ ฉันไม่อยากให้หลี่ต้าหย่งถึงกับติดคุก แต่จะปล่อยให้เขาทำร้ายคนอื่นแบบนี้ต่อไปไม่ได้”
หากหลี่ต้าหย่งเข้าคุก สวี่หรูเยว่จะต้องหย่ากับเขาแน่นอน ตอนนี้หล่อนแท้งลูกแล้ว และไม่มีส่วนข้องเกี่ยวกันอีก สวี่หรูเยว่จะต้องกระตือรือร้นหาเรื่องหย่าเป็นแน่
ดังนั้นจะปล่อยให้หลี่ต้าหย่งติดคุกไม่ได้ แต่จะปล่อยให้เขาทำร้ายคนอื่นก็ไม่ได้เช่นกัน
ทั้งสองควรเผชิญหายนะแบบร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน ไม่ควรแยกออกจากกัน
โจวจินหนานไม่ลังเลแม้แต่น้อย “เดี๋ยวผมจัดการเรื่องนี้เอง”
สวี่ชิงไม่เกรงใจอีกต่อไป “ได้ค่ะ น่าเสียดายจังที่หาซื้อโทรทัศน์ไม่ได้”
หลังกลับมาถึงบ้าน เธอก็คืนคูปองปลอมให้พี่สะใภ้จินและบอกหล่อนว่ามันเป็นของปลอม
พี่สะใภ้จินตกใจมาก หยิบคูปองปลอมขึ้นมาดูครั้งแล้วครั้งเล่า “มันเป็นคูปองปลอมไปได้ยังไง? ทำไมชั่วร้ายแบบนี้?”
สวี่ชิงเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในห้างสรรพสินค้าให้หล่อนฟัง “คูปองปลอมส่วนใหญ่มาจากโรงงานซ่อมรถตงฟาง พี่ลองกลับไปถามหลานดูว่าได้คูปองมาได้ยังไงนะคะ จะได้ไม่ต้องเสียเงินเปล่าโดยใช่เหตุ”
พี่สะใภ้จินคืนเงินสิบหยวนให้สวี่ชิงด้วยความลำบากใจ “ฉันไม่รู้จริง ๆ นะ ไม่อยากนั้นฉันคงไม่เอาของปลอมมาให้เธอ ไว้ฉันจะลองกลับไปถามดู”
สวี่ชิงโบกไม้โบกมือด้วยท่าทางเฉยเมย “ไม่เป็นไรค่ะ ใครจะไปคิดว่าจะมีคนใจไม้ไส้ระกำหารายได้แบบนี้”
พี่สะใภ้จินรีบจากไป ถึงกระนั้นสวี่ชิงก็ไม่ได้ถามโจวจินหนานว่าเขาจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
เธอยุ่งอยู่กับกิจการร้านอาหาร ถักเสื้อกันหนาวให้โจวจินหนาน และกระตุ้นหลี่กั๋วหัวเรื่องการขอความร่วมมือ
เพียงชั่วพริบตาก็เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงแล้ว
เมื่อสวี่ชิงคิดว่าโจวจินหนานจะต้องจากไปหลังวันชาติจีน ควมหดหู่และความไม่สบายใจก็ปะทุขึ้นมา ถึงแม้เขาจะบอกว่ามันไม่มีเหตุอันตราย แต่สวี่ชิงก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี
แม้เธอจะไม่รู้รายละเอียดงานเฉพาะของโจวจินหนาน แต่งานที่เกี่ยวข้องกับความลับทางรัฐบาลและงานที่ต้องอยู่ในแนวหน้าย่อมไม่มีอันตราย
เฟิงซูฮวาสังเกตเห็นว่าสวี่ชิงกระวนกระวายใจ นางนั่งฟังสวี่ชิงท่องจำเนื้อหาในตำรายา และพบว่าอีกฝ่ายทำผิดอยู่หลายครั้ง ก่อนจะปิดฝาถ้วยชาและวางลง “ใจไม่สงบจะเรียนรู้ได้ยังไง?”
สวี่ชิงเกาหูด้วยความเขินอาย “คุณย่า ฉันเอาแต่คิดว่าอีกไม่กี่วันพี่จินหนานจะต้องไปแล้ว รู้สึกไม่สบายใจเลยค่ะ ถ้าที่นั่นมีอันตรายล่ะ? อีกอย่างคุณย่าคะ คุณย่าไม่รู้วิธีการทำนายเลยเหรอคะ? การเดินทางครั้งนี้ของโจวจินหนานถือเป็นโชคร้ายหรือเปล่า?”
เฟิงซูฮวาหัวเราะ “เด็กน้อยเอ๋ย เรื่องนี้ทำนายไม่ได้หรอก จินหนานไม่ใช่คนที่โชคร้าย ถึงแม้จะมีภัยอันตราย แต่เขาก็จะแคล้วคลาดปลอดภัย ดังนั้นไม่ต้องกังวลไป”
สวี่ชิงพึมพำ “คุณย่าบอกว่าพ่อมดในหมู่บ้านทำนายโชคชะตาของคนในหมู่บ้านได้ไม่ใช่เหรอคะ? เพื่อที่ทุกคนจะได้หลีกเลี่ยงโชคร้ายและต้อนรับโชคดี?”
เฟิงซูฮวาหัวเราะอย่างสุขใจ “ถ้าหลานพูดอย่างนั้น จะทำนายได้แม่นสักกี่ข้อเชียว? คนส่วนใหญ่เลือกฟังแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการจะฟังทั้งนั้น และเรื่องส่วนใหญ่ล้วนเป็นลิขิตจากสรวงสวรรค์ การยุ่งเกี่ยวกับลิขิตสวรรค์จะทำให้อายุขัยสั้นลง”
สวี่ชิงเคยได้ยินข้อความดังกล่าวจากโทรทัศน์และนวนิยาย แต่ใครสามารถยืนยันได้บ้างว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องเล่าพื้นบ้าน?
โดยพื้นฐานแล้วถ้าคุณเชื่อมันก็มีอยู่จริง แต่ถ้าคุณไม่เชื่อมันก็ไม่มีอยู่จริง
ในความเป็นจริงความเชื่อนี้เพิ่งกลับมาเฟื่องฟูหลังมีแนวคิดการกำจัดสี่เก่าและการล้มล้างระบอบศักดินาเมื่อไม่กี่ปีก่อน วัดวาอารามหลายแห่งที่เคยซบเซาก็เริ่มมีผู้คนนับถือมากขึ้นเรื่อย ๆ
คนทำธุรกิจมักจะอันเชิญเทพเจ้ากวนอู ส่วนนักอสังหาริมทรัพย์มักจะตรวจสอบฮวงจุ้ยก่อนสร้างอาคาร
แม้แต่วงการบันเทิงยังนิยมเลี้ยงลูกเทพ
สิ่งพวกนี้ล้วนคล้ายคลึงกับการทำนายดวงชะตาของเฟิงซูฮวา
ในชาติที่แล้วเธอตั้งมั่นว่าไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ และธุรกิจของเธอก็ไปได้สวย
แต่หลังจากเกิดใหม่ เธอกลับเชื่อเรื่องนี้มากขึ้น ทำให้อดหัวเราะไม่ได้เมื่อคิดถึงเรื่องนี้
เฟิงซูฮวามองดูรอยยิ้มคาดหวังของสวี่ชิง และพูดด้วยความรักความเมตตา “หลานน่ะเอาแต่คิดเรื่องนี้มากเกินไป คิดว่าพอไม่เห็นเขาแล้วเขาจะได้รับภัยอันตรายอยู่เรื่อย หลานอย่าคิดแบบนั้นเลย โจวจินหนานแข็งแกร่งมากนะ เขาจะตกอยู่ในอันตรายได้ยังไง? ตอนนี้หลานมีลูกน้อยอยู่ ควรจะมีความสุขให้ได้ทุกวัน ไม่อย่างนั้นลูกที่คลอดออกมาจะดูเศร้าหมองเหมือนผู้เฒ่าเอา”
สวี่ชิงหัวเราะดังลั่น “คุณย่า หลอกฉันอีกแล้วนะคะ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน โจวจินหนานก็กลับมาพร้อมกับเกาจ้าน เหยียนจี้ชวน และสวีหย่วนตง สวีหย่วนตงแบกถังใส่ปลาไนไว้ในมือ และปลาไนแต่ละตัวก็มีขนาดเท่ากับฝ่ามือ
สวี่ชิงเดินเข้าไปดู “พวกคุณไปได้ปลามาจากไหนกันเยอะแยะคะ?”
เหยียนจี้ชวนยิ้ม “เราไปจับที่แม่น้ำมาน่ะ อีกอย่างอามาไม่ทันตอนหลานแต่งงานกับจินหนาน แต่ยังไงซะหลานก็ยังเป็นหลานของอาอยู่ดี อาเลยเอาตู้เย็นมาให้เป็นของขวัญที่เราได้เจอกันและเป็นของขวัญแต่งงาน”
สวี่ชิงตกใจ ถึงตู้เย็นจะดูเทอะทะและสามารถบรรจุของได้น้อย แต่ราคาค่อนข้างแพงมาก
เงินเดือนเฉลี่ยของแต่ละคนอยู่ที่ห้าสิบหยวน แต่ตู้เย็นที่มีราคาถูกสุดอยู่ที่เจ็ดถึงแปดร้อยหยวน ส่วนตู้เย็นที่มีประสิทธิภาพดีมีราคาอยู่ที่หนึ่งพันหยวน ในขณะที่ตู้เย็นนำเข้าราคาสองถึงสามพันหยวน
เงินเดือนต่อปีของคนคนหนึ่งยังไม่พอซื้อตู้เย็นด้วยซ้ำ เพราะมันถูกจัดให้เป็นราคาที่สูงเสียดฟ้า
เหยียนจี้ชวนกลับรีบส่งตู้เย็นให้เธอทันทีที่เข้ามาถึง น่ากลัวชะมัด!
“ไม่เอาค่ะไม่เอา พวกเราจะซื้อกันเองทีหลัง”
สวี่ชิงรีบโบกไม้โบกมือ ตอนนี้เธอยังไม่มีความคิดที่จะซื้อตู้เย็น และต้องการให้ฤดูหนาวผ่านไปก่อน จึงจะซื้อตู้เย็นในฤดูร้อนถัดไป
เนื่องจากอากาศค่อนข้างเย็น ด้านนอกบ้านจึงถูกจัดให้เป็นช่องแช่แข็งทางธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดที่ผู้คนจะสามารถแช่อะไรก็ได้
เหยียนจี้ชวนยิ้มเยาะ “อาเอามันมาให้หลาน จะมัวเกรงใจอะไรเล่า ถ้าหลายไม่เอา นั่นหมายความว่าหลานเกรงใจอาและไม่คิดว่าอาเป็นอาของหลาน”
ถึงกระนั้นเขาก็ก่นด่าโจวจินหนานในใจหลายต่อหลายครั้ง อีกฝ่ายกลายเป็นคนหน้าหนาแบบนี้ได้อย่างไร ถึงกล้ามาพูดว่าที่บ้านกำลังขาดแคลนตู้เย็น เขาที่เป็นอาไม่คิดจะแบ่งตู้เย็นมาให้สักเครื่องหน่อยเหรอ?
ทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงไม่เคยรู้เลยว่าโจวจินหนานไร้ยางอายขนาดนี้?
ถ้าเขารู้ เขาคงจะไม่ออกตามหาอีกฝ่าย ปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่ยังที่ราบสูงตลอดชีวิตและไม่หวนกลับมาอีก
โจวจินหนานที่อยู่ด้านข้างมองดูสวี่ชิงด้วยสายตาจริงจัง “อาให้แล้วก็รับไปสิ เอาแต่เกรงใจจะดูเป็นคนนอกเปล่า ๆ”
เหยียนจี้ชวนสาปแช่งโจวจินหนานอีกครั้งทั้งที่รอยยิ้มยังปรากฏอยู่บนใบหน้า “ใช่ ๆๆ ทำไมถึงเกรงใจอานักล่ะ ดูสิว่าที่บ้านยังขาดเหลืออะไรอีกก็บอกอามาได้เลย ยังไงซะอาก็จบปริญญาตรี เงินเดือนไม่ได้ย่ำแย่นักหรอก”
แต่ก่อนที่สวี่ชิงจะพูดอะไร โจวจินหนานก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “ยังขาดโทรทัศน์อยู่ แต่จะให้อาซื้อทุกอย่างได้ยังไง? แค่ช่วยหาคูปองโทรทัศน์ก็พอครับ”
มุมปากเหยียนจี้ชวนกระตุก เดิมทีเขาคิดว่าตนเองเป็นผู้อาวุโสแล้วจะสามารถควบคุมโจวจินหนานได้ แต่ไอ้คนไร้ยางอายคนนี้กลับบีบเขาจนตาย
ทว่าเขากลับพูดอวดเบ่งออกไปแล้ว จึงได้เพียงพยักหน้าและยิ้มรีบ “คูปองโทรทัศน์เหรอ? ได้สิ เอาไว้อาจะส่งมาให้ทีหลัง แต่เห็นว่าโจวจินหนานจะออกเดินทางคืนนี้แล้ว อาคงต้องรบกวนสวี่ชิงให้ทำอาหารหน่อย”
สวี่ชิงมองไปที่โจวจินหนาน “เอ๊ะ? เดินทางวันนี้เหรอ? แต่วันนี้เพิ่งวันที่สิบเอ็ดเองไม่ใช่เหรอคะ?”
โจวจินหนานชำเลืองมองเหยียนจี้ชวน “อาบอกให้ไปทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นั่นตั้งแต่เนิ่น ๆ น่ะ และบอกว่าถ้าออกเดินทางช้ากว่านี้อีกสองสามวัน ค่าเดินทางอาจจะสูงขึ้น”
เหยียนจี้ชวนจ้องเขม็งไปทางโจวจินหนาน เขาพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?
เห็นได้ชัดว่าโจวจินหนานเป็นคนขอไปที่นั่นก่อนตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำไมสุดท้ายถึงได้มาลงที่เขา อีกทั้งยังต้องการค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก?
หน้าด้านจริงเชียว!
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เริ่มสงสารคนรอบตัวชิงชิงที่ต้องข้องเกี่ยวกับพี่หนานแล้ว พอได้เป็นครอบครัวเดียวกันนี่ใช้งานสารพัดเลยนะพี่หนาน
ไหหม่า(海馬)