เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 244 ฉันคืออาหญิงของเธอ
บทที่ 244 ฉันคืออาหญิงของเธอ
เจียงเสวี่ยอิงมีดวงตาเรียวยาวเปลือกตาบางมาก ทำให้ดวงตาดุไปสักหน่อย น่าจะเพราะว่าอยู่ข้างกายหยวนฮวามานานหลายปี ร่างกายจึงแผ่กลิ่นอายความเย็นเยือกแบบหยวนฮวาสองหรือสามส่วน
สวี่ชิงสงบจิตใจสังเกตเจียงเสวี่ยอิงพักหนึ่ง เพราะในใจยังรู้สึกต่อต้านคนคนนี้ ดังนั้นน้ำเสียงจึงจืดชืด “ใครๆ ก็บอกว่าฉันหน้าเหมือนแม่ค่ะ”
มือสองข้างของเจียงเสวี่ยอิงล้วงอยู่ในกระเป๋าเสื้อกาวน์ ได้ยินคำพูดของสวี่ชิงยกยิ้ม เพียงแต่ในดวงตากลับไม่มีรอยยิ้มในนั้น “ไม่เพียงแต่หน้าเหมือน นิสัยก็เหมือนกัน”
หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาคงเร่งอยากรู้เรื่องของแม่ตัวเอง และถามเจียงเสวี่ยอิงต่อไปแล้ว ว่ารู้จักแม่หรือไม่ก็ควรที่จะรู้สึกกระตือรือร้น
สวี่ชิงกลับไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ราวกับว่าเธอไม่คิดจะสนใจเรื่องสักนิดเดียว
ยิ่งไม่สนใจผู้หญิงตรงหน้าว่ารู้จักกับแม่ตัวเองหรือไม่
เจียงเสวี่ยอิงพูดจบเห็นสวี่ชิงยังคงไม่มีการตอบสนอง ก็แนะนำตัวเองง่าย ๆ “ฉันคิดว่าเธอคงจะรู้แล้วว่าฉันคือใคร ฉันคือลูกบุญธรรมตระกูลเหยียน ตามหลักแล้วเธอก็ควรเรียกฉันว่าอาหญิง”
สวี่ชิงแกล้งทำเป็นตกใจ “คุณมาเมืองนี้พวกพ่อของฉันรู้ไหมคะ เมื่อกลางวันไม่เห็นว่าเขาพูดถึง”
เจียงเสวี่ยอิงยกยิ้มอีกครั้ง “ฉันถูกที่ทำงานส่งมาประจำชั่วคราวน่ะ คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญแบบนี้”
สวี่ชิงตอบรับเสียงต่ำ “งั้นก็คงบังเอิญจริงๆ”
เจียงเสวี่ยอิงยังคิดจะเอ่ยปาก ก็มีคนเรียกหมอเจียงขึ้นมาก่อน หล่อนมองสวี่ชิงแล้วค่อย ๆ เดินจากไป
สวี่ชิงหรี่ตามองแผ่นหลังของเจียงช่านช่าน แสงสีเหลืองในระเบียงทางเดินสลัว ๆ ราวกับทะลุผ่านเงาร่างของเธอ ทำให้ตัวคนดูคล้ายกับเป็นภาพลวงตาขึ้นมา
ก็เหมือนกับคนอย่างเธอทำให้คนมองทะลุเข้ามาไม่ได้
สวี่ชิงได้สติกลับมาก็เดินไปห้องทำแผลก่อน คนยังไม่ได้เข้าไปก็ถูกโจวจินหนานผลักออกมาก่อน พูดประโยคหนึ่ง “ตอนนี้ไม่ค่อยสะดวก พวกเรารอกันอยู่ข้างนอกเถอะ”
สวี่ชิงตอบสนองเนื่องจากแผลอยู่ที่ขา น่าจะต้องถอดกางเกงเย็บปากแผล เธอเข้าไปน่าจะไม่สะดวก ถามอย่างเป็นห่วงประโยคหนึ่ง “ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ฉันเห็นเลือดไหลไม่น้อยเลย”
โจวจินหนานดึงสวี่ชิงให้มานั่งที่เก้าอี้ยาวหน้าประตู “ไม่เป็นอะไรแล้ว ปากแผลแม้ว่าจะลึกแต่ไม่ต้องกลัว ดูแลดี ๆ ก็พอ”
สวี่ชิงอดบ่นไม่ได้ “เขาก็ช่างกล้าลงมือลงไปได้ ทำร้ายตัวเองขนาดนี้ไม่คุ้มเกินไปแล้ว”
โจวจินหนานกลับเข้าใจเกาจ้านมากกว่า “นั่นคงเป็นเพราะน้าสะใภ้พูดจาล้ำเส้นเกินไป ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่ทำอะไรเอิกเกริกแบบนี้หรอก อย่ามองว่าเกาจ้านเป็นคนช่างยิ้มช่างหัวเราะในเวลาปกตินะ ที่จริงแล้วอีกด้านหนึ่งเขาเป็นคนเยือกเย็นมาก”
ลึก ๆ ในใจสวี่ชิงลอบดูแคลนตู้เว่ยหัวพักหนึ่ง ทำอย่างกับลูกสาวจะขายไม่ออกอย่างนั้นแหละ สุดท้ายคนที่ขายหน้าก็คือตัวเอง
เห็นโจวจินหนานพูดถึงตู้เว่ยหัวด้วยสีหน้าย่ำแย่ ก็ไม่คิดจะพูดเรื่องนี้อีก เปลี่ยนเรื่องพูด “เมื่อกี้ผู้เชี่ยวชาญอะไรนั่นที่มาจากปักกิ่ง ที่ชื่อเจียงเสวี่ยอิงก็คือลูกเลี้ยงตระกูลเหยียน นับแล้วฉันต้องเรียกหล่อนว่าอาหญิง คุณว่าบังเอิญไม่บังเอิญคะ”
โจวจินหนานไม่แปลกใจ เมื่อกี้ตอนที่พยาบาลแนะนำหล่อนว่าชื่อเจียงเสวี่ยอิง เขาก็เดาออกแล้ว
สวี่ชิงหยุดพักหนึ่ง “คุณรู้เรื่องของหล่อนไหมคะ”
โจวจินหนานพยักหน้า “รู้นิดหน่อย ตอนอายุสิบสี่ถูกตระกูลเหยียนรับไปเลี้ยง ตอนนั้นเองผู้เฒ่าเหยียนทำงานอยู่ที่ยูนนานก็ได้รับเลี้ยงเด็กกำพร้ามาคนหนึ่ง ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านตระกูลเหยียนมาใกล้จะสามสิบปีแล้ว ได้ยินว่าฝีมือศัลยแพทย์ของหล่อนไม่เลว”
สวี่ชิงเลิกคิ้ว “โตขนาดนั้นถึงเพิ่งไปบ้านตระกูลเหยียนเหรอคะ”
เดิมโจวจินหนานไม่ใช่คนชอบเรื่องซุบซิบ เพียงเคยได้ยินเหยียนจี้ชวนพูดเรื่อยเปื่อยให้ฟังประโยคหนึ่ง ตอนนี้จู่ ๆ ก็รู้สึกเสียใจภายหลัง ถ้ารู้แต่แรกน่าจะถามเพิ่มอีกสองประโยค “ถ้าคุณอยากรู้มากกว่านี้ พรุ่งนี้ผมจะช่วยไปถามกับเหยียนจี้ชวน หรือหาคนไปสืบดู”
สวี่ชิงโบกมือ “ไม่ต้องค่ะ ฉันก็แค่สงสัย”
สองคนพูดคุยสักหนึ่งเกาจ้านก็ถูกพยาบาลเข็นรถเข็นออกมา ขากับแขนถูกผ้าพันแผลพันเอาไว้อย่างหนาแน่น
สีหน้าเกาจ้านเป็นกังวล “ไม่ใช่แผลร้ายแรงอะไร แม้แต่ยาชาฉันยังไม่ฉีด ถึงกับต้องใช้รถเข็นเลยเหรอ?”
พยาบาลน้อยมองเกาจ้านอย่างเข้มงวด “ปากแผลของคุณลึกมาก ต้องให้แผลสมานกันจึงจำเป็นต้องพักฟื้น ถ้าขาข้างนี้คุณไม่อยากได้แล้ว งั้นก็เชิญวิ่งไปให้ทั่วได้เลยค่ะ”
เกาจ้านที่ถูกคำสั่งลูบจมูกปลาย ๆ ไม่พูดจา
สวี่ชิงรีบเดินเข้ามากำชับด้านข้างเขา “ใช่ค่ะต้องพักฟื้น แผลที่ขาจะชะล่าใจไม่ได้”
แล้วก็ต้องหาห้องผู้ป่วยอย่างรีบร้อนมาก ยิ่งตอนนี้เป็นตอนกลางคืนด้วยแล้ว สุดท้ายก็ต้องเอาเกาจ้านไปพักที่ห้องผู้ป่วยชั้นสอง
ที่ทำให้สวี่ชิงคิดไม่ถึงก็คือ สวี่หรูเยว่เองก็อยู่ในห้องนี้ด้วย
ห้องพักผู้ป่วยนอนได้แปดคน แม้จะดึกดื่นค่อนคืนแล้วกลับยังคึกคักอยู่มาก เกาจ้านกับสวี่หรูเยว่ถือว่ามาทีหลัง จึงถูกจัดเตียงเอาไว้ใกล้กัน
ในใจสวี่ชิงครุ่นคิดว่าเธอกับสวี่หรูเยว่ช่างมีชะตาต้องกันจริง ๆ
สวี่หรูเยว่เองก็มองเห็นสวี่ชิงเช่นกัน เพียงตอนนี้สีหน้าขาวซีด ช่วงล่างแม้แต่หายใจก็ยังเจ็บจึงไม่กล้าใช้แรง
ใครจะคิดว่าฉินกุ้ยจือผลักครั้งนั้นครั้งเดียว หล่อนจะล้มทับขวดโหลบนโต๊ะจนแตก เศษแก้วแทงเข้าหน้าอก ท้องยังกระแทกกับขอบโต๊ะน้ำชา
ด้วยเหตุนี้เด็กจึงไม่อยู่แล้ว เพียงแค่การผ่าตัดขูดมดลูกนั้นทรมานเกินไป
สวี่หรูเยว่รู้สึกเหมือนตัวเองหลุดพ้นแล้วเล็กน้อย อีกอย่างหล่อนก็ไม่ได้คิดอยากจะคลอดเด็กคนนี้อยู่แล้ว
กลับเป็นหลี่ต้าหยงที่นั่งตาแดงก่ำ เสียใจจนพูดไม่ออก
ฟางหลานซินเป็นห่วงลูกสาว ไฟที่สุมอกไม่มีทางให้ระบาย จึงนำทุกอย่างมาลงที่หลี่ต้าหยงและต่อว่าเขาไม่หยุด แม้แต่พวกสวี่ชิงสามคนเข้ามาหล่อนก็ยังไม่สนใจ
หล่อนใช้มือบีบไหล่หลี่ต้าหยง “ฉันขอบอกเธอหลี่ต้าหยง เรื่องนี้ไม่จบแน่ เธอกลับไปบอกแม่ของเธอให้มาขอโทษพวกเราซะ ไม่อย่างนั้นก็อย่าได้คิดจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอีกเลย ฉันไม่เคยเห็นใครรังแกคนยิ่งกว่าฉินกุ้ยจือเลย! อยู่ ๆ ก็วิ่งมาก่อเรื่องที่บ้านฉัน ไม่ได้การ ฉันต้องแจ้งความแล้ว!”
ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห ตบหน้าหลี่ต้าหยงสองสามทีระบายความโกรธ
สวี่ชิงยืนอยู่ข้างเตียงเกาจ้าน ฟังสองสามประโยคนั้นเงียบ ๆ ก็สามารถเดาเรื่องราวได้ราว ๆ คาดว่าฉินกุ้ยจือไปหาฟางหลานซินกับสวี่หรูเยว่ก่อความวุ่นวาย
สุดท้ายก็คงพลั้งมือทำร้ายสวี่หรูเยว่ ทำให้เธออดนับถือแรงของฉินกุ้ยจือไม่ได้ว่าพลังการต่อสู้ของหล่อนช่างแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
เกาจ้านรู้จักครอบครัวของฟางหลานซิน กลัวว่าสวี่ชิงจะไม่สบายใจโบกมือ “เอาล่ะ ฉันเองก็ไม่มีธุระอะไรแล้ว พวกนายกลับไปเถอะ ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้ต้องไปบ้านพักคนชราเหรอ รีบกลับไปพักได้แล้ว”
สวี่ชิงรู้ว่าพ่อแม่ของเกาจ้านเองก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงมณฑล พี่น้องก็ไปทำงานนอกพื้นที่ ถ้าพวกเขาไปแบบนี้ก็ดูจะไม่ถูกต้องนัก “พวกเราไปสองวันก็พอแล้ว คุณอยากกินอะไรไหม กลางวันฉันจะมาส่งให้คุณที่นี่”
ไม่รอให้โจวจินหนานออกความคิดเห็น เกาจ้านก็พยักหน้าอย่างไม่เกรงใจแล้ว “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอมีความเป็นเพื่อนแท้มากที่สุด ฉันอยากกินแกงเนื้อแพะแล้วก็เกี๊ยว ไส้เกี๊ยวต้องเป็นผักสามเซียนด้วยนะ”
โจวจินหนานปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “เจริญอาหารน่าดูเลยนะ”
สวี่ชิงยกยิ้มขึ้นมา “ไม่มีปัญหา มื้อเช้าน่าจะไม่ทันแล้ว ไว้ตอนเที่ยงฉันจะส่งมานะ”
เกาจ้านพยักหน้ารัว ๆ “ตอนเที่ยงก็พอ ตอนนี้ตีสามแล้ว รอพวกนายไปฉันก็จะหลับแล้ว พอตื่นก็น่าจะประมาณเที่ยงแล้ว”
โจวจินหนานคร้านจะสนใจเขาแล้ว โอบไหล่สวี่ชิงเดินออกมาข้างนอก
แต่กลับบังเอิญเจอหมอที่ห้องตรวจก่อน หมอสองสามคนเชิญเจียงเสวี่ยอิงให้เข้ามาด้วยกัน
สวี่ชิงกระซิบในใจประโยคหนึ่ง มีที่ไหนบ้างมาตรวจคนไข้ตอนตีสาม ทั้งอีกต่างก็เป็นผู้ป่วยฉุกเฉินรูปแบบต่างๆ มารวมอยู่ในห้องเดียวแบบนี้
พวกเขาจะตรวจอะไร?
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ไม่น่าไว้ใจอาหญิงที่เป็นหมอคนนี้เลยค่ะ น่ากลัวยังไงไม่รู้ ถ้าไปทำอะไรไม่พอใจก็มีโอกาสโดนฆ่าแล้วอำพรางศพง่ายๆ เลย
ไหหม่า(海馬)