เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 232 เขาคืออาของฉัน
บทที่ 232 เขาคืออาของฉัน
สวี่ชิงคาดไม่ถึงว่าฉินเหมียวเหมียวจะรู้จักกับเหยียนจี้ชวน เธอกับฉินเหมียวเหมียวอายุเท่ากัน และเหยียนจี้ชวนก็อายุสามสิบสองปี
ทั้งสองมีความสัมพันธ์อะไรกันนะ ?
เมื่อเห็นว่ากระเป๋าสตางค์ร่วงหล่นลงไป ฉินเหมียวเหมียวจึงวางกล่องอาหารลงกับโต๊ะก่อนจะเก็บมันขึ้นมา เมื่อเงยหน้ามองสวี่ชิงก็พบกับสีหน้าประหลาดใจของอีกฝ่าย “มีอะไรหรือเปล่า?”
สวี่ชิงพยักหน้าไปยังกระเป๋าสตางค์ของฉินเหมียวเหมียว “ฉันรู้จักผู้ชายในรูปถ่ายใบนั้นน่ะ”
ดวงตาของฉินเหมียวเหมียวเบิกกว้างขึ้นทันที “เธอรู้จักเหยียนจี้ชวนด้วยเหรอ? ถ้าอย่างนั้นรู้ไหมว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? ”
สวี่ชิงพยักหน้าลงเล็กน้อย “รู้สิ แล้วเธอรู้จักเขาได้ยังไง?”
ฉินเหมียวเหมียวมองไปโดยรอบก่อนจะพบว่าผู้คนมีไม่มากนัก หล่อนจึงบอกสวี่ชิง “เธอช่วยทำอาหารให้เสร็จก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน”
สวี่ชิงยังคงสงสัยว่าฉินเหมียวเหมียวไปรู้จักกับเหยียนจี้ชวนได้อย่างไร เธอจึงส่งช้อนตักข้าวให้หลี่ซิ่วเจินที่อยู่ด้านข้าง ส่วนฉินเหมียวเหมียวถือกล่องอาหารกลางวันก่อนที่สวี่ชิงจะพาไปหาเก้าอี้ว่างเพื่อนั่งพูดคุยกัน
ฉินเหมียวเหมียวตักเนื้อเข้าปากก่อนจะเงยหน้ามองสวี่ชิง “เธอรู้จักเหยียนจี้ชวนจริง ๆ หรอ?”
สวี่ชิงใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากบอก “พูดตามตรงก็คือ เขาเป็นอาของฉันโดยสายเลือด”
ฉินเหมียวเหมียวแทบสำลัก หล่อนปิดปากก่อนจะไอจนน้ำตาไหล สวี่ชิงจึงลูบหลังหล่อนเบา ๆ
เหยียนจี้ชวนศึกษาจนจบปริญญาตรี หากฉินเหมียวเหมียวชอบเขา นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ยอมรับได้
แต่อายุและบุคลิกของทั้งสองกลับไม่เหมาะสมกันเลย
ฉินเหมียวเหมียวหยุดนิ่งไปสักครู่ก่อนจะจ้องมองสวี่ชิงอีกครั้ง “เขาเป็นอาของเธอจริงหรอ ?”
สวี่ชิงพยักหน้า “อื้ม ฉันไม่โกหกเธอหรอก”
ฉินเหมียวเหมียวแสดงสีหน้ามีความสุขขึ้นมาทันที “กระเป๋าสตางค์นี่ไม่ใช่ของฉันหรอก มันเป็นของฉินเฟยพี่สาวฉัน ฉันบอกหล่อนว่าจะออกมาหาอะไรกิน หล่อนจึงยื่นกระเป๋าสตางค์มาให้ รูปของเหยียนจี้ชวนในกระเป๋าก็คือคนที่หล่อนชอบ”
สวี่ชิงหน้าเสียเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าตัวเองคิดผิด ฉินเหมียวเหมียวไม่ได้ชอบเขา “พี่สาวเธออายุเยอะแล้วใช่ไหม? ทำงานอะไรอยู่หรอ?”
ฉินเหมียวเหมียวโบกมือ “อายุมากกว่าฉันแค่สองปีเอง ปีนี้อายุยี่สิบเอ็ด ยังเรียนอยู่ แล้วอาเธอล่ะ ตอนนี้ลูกเขาโตกันหมดหรือยัง? ”
สวี่ชิงรู้สึกประหลาดใจ “ทำไมพี่สาวเธอยังเด็กจัง?”
ฉินเหมียวเหมียวมองไปที่สวี่ชิง “ฉันกับเธอเราอายุเท่ากัน อีกอย่าง เธอแต่งงานแล้วด้วย พี่สาวฉันอายุยี่สิบเอ็ดปีถือว่าไม่เด็กแล้วนะ ”
หล่อนถามขึ้นอีกครั้ง “ลูกของเหยียนจี้ชวนอายุเท่าไหร่แล้ว?”
สวี่ชิงรู้สึกสงสัยว่าฉินเหมียวเหมียวไปฟังข้อมูลเท็จพวกนี้มาจากไหน “เท่าที่ฉันรู้มา เขายังไม่แต่งงานนะ แม้แต่แฟนก็ยังไม่มี”
ฉินเหมียวเหมียวอ้าปากค้าง หล่อนรีบหยิบฝากล่องข้าวกลางวันขึ้นมาปิด “ถ้าอย่างนั้นฉันต้องขอตัวกลับก่อน ต้องรีบกลับไปบอกพี่สาวฉัน หล่อนจะได้ไม่นั่งเสียใจอยู่ในห้อง”
สวี่ชิงคว้าชายเสื้อของฉินเหมียวเหมียวเอาไว้ “เฮ้ บอกฉันก่อนสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่สาวเธอและอาของฉัน?”
“ฉันไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา แต่มีอยู่วันหนึ่งพี่สาวของฉันกลับมาที่บ้านท่ามกลางฝนตกหนัก หล่อนเปียกปอนไปทั้งตัว หลังจากนั้นก็ป่วยหนักมาก แต่ก็หายดีแล้ว”
สวี่ชิงนิ่งไป “…..”
ไม่ได้ช่วยให้รู้เรื่องอะไรเพิ่มเติมเลย!
ฉินเหมียวเหมียวไม่อยากรอ “ไอ้หยา ฉันต้องรีบกลับไปบอกพี่สาวฉัน ไว้เสร็จธุระฉันจะมาเล่าให้ฟังนะ”
พูดจบหล่อนก็วิ่งจากไปพร้อมกล่องอาหารกลางวัน
สวี่ชิงกลับมาอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะดี แต่ที่แน่นอนคือหล่อนถือกล่องอาหารกลางวันของร้านออกไป
ถึงอย่างนั้นสวี่ชิงก็ยังสงสัยเกี่ยวกับพี่สาวของฉินเหมียวเหมียวว่าเป็นคนนิสัยอย่างไร ที่สำคัญคือเธอมีความรู้สึกที่ดีต่อฉินเหมียวเหมียวและรู้สึกได้ว่าพี่สาวของหล่อนต้องมีนิสัยและบุคลิกดีแน่นอน
ตกตอนเย็นร้านก็ยุ่ง จนสี่ทุ่มถึงจะได้กลับบ้าน
สวี่ชิงไม่ลืมที่จะซื้อขนมปังกลับไปฝากเฟิงซูฮวา
โจวจินหนานกำลังปั่นจักรยานโดยมีสวี่ชิงนั่งซ้อนท้ายอยู่ข้างหลัง เธอถือถุงที่ได้มาจากการซื้อของรวมถึงขนมปัง โดยมีไป๋หลางเดินตามหลัง
ไฟบนถนนสะท้อนเงาของพวกเขาที่มีลักษณะสั้นยาวไม่เท่ากัน ก่อนจะมีความยาวมากขึ้น
ยามเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ สวี่ชิงรู้สึกถึงความสงบในยามค่ำคืนที่ไร้ซึ่งผู้คน ช่างเป็นภาพที่หาได้ยากเมื่ออยู่ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
เธอเอนศีรษะซบเข้ากับแผ่นหลังหนาของโจวจินหนาน เขาก้มศีรษะลงก่อนจะมีรอยยิ้มขึ้นมา “คุณบอกว่าในอนาคตข้างหน้าจะมีรถราเต็มท้องถนน ผู้คนจะออกไปทำงานกันมากขึ้น ไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจหรอ?”
โจวจินหนานไม่เอ่ยสิ่งใด รู้สึกว่าผู้คนยังมีกำลังซื้อน้อยเกินไปที่จะมีรถยนต์ของตนเอง ลำพังแค่จักรยานก็ยังไม่สามารถจ่ายได้
หากบนถนนเต็มไปด้วยจักรยานยังพอนึกภาพออก แต่นึกภาพท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถยนต์ไม่ออกเลย
ส่วนการไปทำงานมากขึ้นนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้
สวี่ชิงหรี่ตาขณะครุ่นคิดถึงความเจริญรุ่งเรืองในภายหลัง แม้จะถึงพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก แต่ก็ยากที่จะมีช่วงเวลาแห่งความสงบสุข พอคิดถึงเรื่องนี้ เธอในตอนนี้ก็ยิ่งมีความสุข!
“จริงสิ เหยียนจี้ชวนเคยคบหากับใครมาก่อนหรือเปล่าคะ?”
ต่อหน้าฉินเหมียวเหมียว เธอสามารถพูดว่าเขาคืออาของเธอได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่กับโจวจินหนานแล้วมันอาจทำให้เขารู้สึกแปลก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเรียกเหยียนจี้ชวนว่าคุณอาต่อหน้าเขา
โดยพื้นฐานแล้ว โจวจินหนานไม่เคยสนใจข่าวซุบซิบสักเท่าใด เขาจึงหยุดคิดไปชั่วขณะ “อาจจะไม่นะ”
เขาไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไร เนื่องจากเขาและเหยียนจี้ชวนเจอหน้าแค่ทำงานร่วมกัน นอกนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา แม้จะพบเจอกันแต่กลับพูดคุยเรื่องงานเป็นส่วนใหญ่ น้อยมากที่จะพูดถึงเรื่องส่วนตัว
หลังจากได้ยินคำตอบ สวี่ชิงกลับคิดว่าเขาตอบไม่ตรงคำถาม!
ทั้งสองพูดคุยกันระหว่างทางกลับบ้าน ไม่คาดคิดว่าเฟิงซูฮวาที่ปกติจะออกมารอพวกเขากลับบ้านไม่ว่าจะดึกแค่ไหน ในวันนี้กลับเข้าห้องนอนไปแล้ว
ไฟในลานบ้านสว่างไสว แต่ไฟในห้องของเฟิงซูฮวาถูกปิดไปแล้ว
สวี่ชิงเป็นกังวลจึงตะโกนถามไปทางหน้าต่างห้องของคุณย่าเบา ๆ
หลังจากนั้นไม่นานเฟิงซูฮวาก็ตอบกลับมา “ชิงชิง กลับมาแล้วหรอ? ย่าตุ๋นเนื้อไว้ในหม้อ ไปดูสิว่าสุกหรือยัง วันนี้ย่ารู้สึกง่วงนิดหน่อย เลยจะเข้านอนแต่หัวค่ำ”
สวี่ชิงยังคงกังวล “คุณย่าเป็นอะไรหรือเปล่า มีตรงไหนไม่สบายไหมคะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก ย่าแค่ง่วงนิดหน่อย ตอนบ่ายย่าไม่ได้นอนกลางวัน วันนี้จึงพักผ่อนเร็วหน่อย”
สวี่ชิงได้ยินเสียงของเฟิงซูฮวาเป็นปกติ ถึงแม้จะแผ่วเบาแต่ทรงพลังไม่เปลี่ยน ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติ
เธอจึงจัดการปลาที่ได้มา ใส่ถ่านเพิ่มในเตา ก่อนจะนำไปตุ๋นรวมในหม้อเนื้อตุ๋น
ระหว่างรอเนื้อสุก เธอนั่งลงบริเวณริมขอบเตียงอยู่เพียงลำพัง พลางพึมพำท่องตัวยาที่มีฤทธิ์เสริมหรือต้านทานกัน และผลกระทบของแมลงมีพิษต่างๆ รวมถึงการรักษาโรคด้วยสมุนไพร
สวี่ชิงไม่ได้สันทัดทางด้านวิทยาศาสตร์ แต่เรื่องของการจดจำนั้นเธอทำมันได้ดีเลยทีเดียว เธอมีความทรงจำเป็นรูปภาพ แค่อ่านเพียงสองถึงสามครั้งและใช้เวลาศึกษาทุกวันแบบซ้ำ ๆ เธอจะสามารถจำได้ไปตลอด
เมื่อเห็นว่าสวี่ชิงกำลังยุ่ง โจวจินหนานจึงนำเสื้อผ้าไปซัก พร้อมกับต้มน้ำเพื่อนำมาอาบ
เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งเที่ยงคืน สวี่ชิงง่วงมากจนแทบลืมตาไม่ขึ้น เธอจึงวานให้โจวจินหนานใส่ปลาและเนื้อที่เหลือลงในหม้อ หลังจากนั้นให้ตุ๋นค้างไว้จนถึงพรุ่งนี้เช้า
สวี่ชิงเดินไปยังหน้าประตูห้องของเฟิงซูฮวาโดยที่สวมใส่รองเท้าแตะอยู่ เธอใช้หูแนบเข้ากับประตูและตั้งใจฟังเสียงในนั้นอยู่สักพักหนึ่ง
เสียงหายใจสม่ำเสมอของเฟิงซูฮวาดังเป็นระยะ แต่โดยรวมแล้วเป็นปกติดี
เธอจึงสบายใจ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอหวาดระแวงมากเกินไปหรือไม่ แต่หลังจากที่เหยียนป๋อชวนมาเยี่ยมเยียนครั้งที่สอง คุณย่าก็เริ่มมีอาการผิดปกติ ราวกับว่ากำลังข่มกลั้นอะไรบางอย่าง
แต่เธอไม่สามารถรู้ได้ว่ามันคือสิ่งใด
เธอยกมือขึ้นเกาศีรษะ ถึงอย่างไรก็ต้องเฝ้าดูแลคุณย่าเพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่
นอกจากนี้ เธอควรไปกระตุ้นให้โจวจินหนานพาคุณย่าไปตรวจร่างกายโดยเร็ว
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ย่าเฟิงมีอะไรเกี่ยวข้องกับทางตระกูลเหยียนหรือเปล่านะ ตระกูลนั้นก็มีหมอผีประจำตระกูลคอยเล่นงานอยู่หรือเปล่า?
ไหหม่า(海馬)