เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 230 ดูดีและมีฝีมือ
บทที่ 230 ดูดีและมีฝีมือ
เฟิงซูฮวาประหลาดใจ “ย่าจะรู้จักพวกเขาได้ยังไง? ไม่รู้จักหรอก”
สวี่ชิงมองดูท่าทางและแววตาของเฟิงซูฮวาที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ได้จงใจปกปิดซ่อนเร้น จึงสงสัยว่าตนเองคิดมากไปหรือไม่? หรือว่าจะรู้สึกอ่อนไหวเกินไป?
ไม่ว่าจะอย่างไร ชั่วชีวิตนี้ก็ควรระวังไม่ให้คุณย่าจากไปก่อนวัยอันควร
เฟิงซูฮวายิ้มและหยิบปีกไก่อีกชิ้นให้สวี่ชิง “ผู้หญิงควรกินปีกไก่และตีนไก่ให้มาก ๆ นะจะได้เก่ง ๆ”
สวี่ชิงหัวเราะแห้งเมื่อเห็นว่าคุณย่าเปลี่ยนเรื่อง “แต่ฉันว่าฉันมีฝีมือมากเลยนะคะ ฉันทำรองเท้าได้ และไม่มีรองเท้าคู่ไหนบนท้องถนนดีกว่าของฉันอีกแล้ว”
เฟิงซูฮวาหัวเราะ “ใช่ ชิงชิงของเราทั้งดูดีและมีฝีมือด้วย”
พวกเธอพูดคุยและหัวเราะ ปัดเรื่องจริงจังเมื่อสักครู่นี้ออกไป
ทว่าสวี่ชิงยังคงเก็บมันมาใส่ใจ ชาติที่แล้วเฟิงซูฮวาเสียชีวิตลงจากอาการป่วยเฉียบพลัน แต่เธอไม่รู้ว่าเจ็บป่วยอะไร เพราะกว่าจะพาคุณย่าไปโรงพยาบาลมันก็สายเกินไป ทำได้เพียงจับมือและพูดคุยเพียงไม่กี่คำ หลังจากนั้นคุณย่าก็จากไป
เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นอีก เธอควรจะพาคุณย่าไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลดีหรือไม่?
แม้ว่าทักษะทางการแพทย์ของเฟิงซูฮวาจะเป็นเลิศ แต่แพทย์มักจะไม่ดูแลตัวเอง
ขณะกำลังฝึกซ้อมฝังเข็มกับโจวจินหนานอยู่กลางดึก เธอก็พูดคุยกับโจวจินหนานด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่าจะพาคุณย่าไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล
โจวจินหนานมองดูเข็มเงินที่ปักอยู่บนแขนของเขา ต้องบอกว่าตอนนี้ทักษะการฝังเข็มของสวี่ชิงมีพัฒนาการขึ้นมาก มั่นคง แม่นยำ เด็ดเดี่ยว และไม่มีเลือดออกสักนิด
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของสวี่ชิง “เกรงว่าคุณย่าจะไม่ไปหรอก หรือเราจะพาคุณย่าไปที่สถานพยาบาลผู้สูงอายุสักสองสามวันดี”
สวี่ชิงประหลาดใจ “สถานพยาบาลผู้สูงอายุไปได้ตั้งแต่อายุยังน้อยเหรอคะ?”
เธอรู้ว่าสถานพยาบาลผู้สูงอายุที่โจวจินหนานกำลังพูดถึงอยู่คือสถานพยาบาลที่มีเพียงนายพล ข้าราชการระดับสูง และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานอันตรายเท่านั้นถึงจะไปได้ ที่นั่นมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ดีกว่ากว่าอื่น รวมถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้การตรวจสุขภาพร่างกายยังครอบคลุมกว่าโรงพยาบาลทั่วไป
ไม่ทำให้ผู้คนเอือมระอาแน่นอน
โจวจินหนานเหยียดขาตรงอีกครั้งเพื่อให้สวี่ชิงฝังเข็มต่อ “ได้สิ ถึงตอนนั้นผมจะให้สวีหย่วนตงไปกับคุณ อีกอย่างเขาเป็นมืออาชีพมาก”
สวี่ชิงประหลาดใจมากกว่าเดิม “สวีหย่วนตงเป็นสัตว์แพทย์ไม่ใช่เหรอ?”
โจวจินหนานยิ้ม “ผมจะบอกให้ว่าตัวตนเขาไม่ใช่แค่สัตว์แพทย์หรอก”
สวี่ชิงอุทาน ความฟุ้งซ่านทำให้เข็มในมือแทงลงไปลึกกว่ามิลลิเมตร ส่งผลให้เลือดพุ่งออกมาทันที
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” สวี่ชิงรีบดึงสมาธิกลับมา และพูดขอโทษแบบลวก ๆ
โจวจินหนานอดจะหัวเราะไม่ได้ เอื้อมมือออกไปลูบศีรษะของสวี่ชิง “ไม่เป็นไร ไม่เจ็บหรอก”
สวี่ชิงไม่ได้พูดพร่ำอีกต่อไป แม้ว่าเธอจะยังสงสัยในตัวตนที่แฝงอยู่ของสวีหย่วนตงก็ตาม โจวจินหนานกับเกาจ้านมีตัวตนอื่นด้วยหรือไม่? ถึงอย่างนั้นเธอกลับไม่ได้ถามออกไป เกรงว่าถ้าฟุ้งซ่านอีกครั้งจะทำให้โจวจินหนานพิการ
ในวันรุ่งขึ้น เหยียนป๋อชวนกับเหยียนจี้ชวนไม่ได้แวะมา
สวี่ชิงคิดว่าทั้งสองคนกำลังงานรัดตัว เธอจึงเริ่มใส่ใจในการพูดคุยกับผางเจิ้งหัวเพื่อปรับเปลี่ยนเมนูอาหาร
ตอนนี้หัวไชเท้ากับกะหล่ำปลียังไม่มาลง ในขณะที่มะเขือยาว ถั่วฝักยาว และพริกจะอุดมสมบูรณ์ขึ้นในฤดูร้อนจนเก็บไม่หวาดไม่ไหว โดยทั่วไปมันไม่ใช่วัตถุดิบที่ดีนัก แต่ราคากลับค่อนข้างสูง
นอกจากนี้ยังมีฟักทองกับฟักเขียวที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ แต่เอามาทำอาหารไม่ง่ายนัก ผลฟักทองจะค่อนข้างหวาน คนส่วนใหญ่ชอบเอาไปนึ่งกิน เอาไปทำเป็นแป้งบะหมี่ หรือเอาไปทำแป้งย่างฟักทอง น้อยคนนักจะกินทั้งที่ยังดิบอยู่
ส่วนฟักเขียวจะมีรสชาติจืดชืด ไม่อมน้ำมัน ได้ปริมาณค่อนข้างเยอะ แต่ราคาค่อนข้างถูก เธอกลัวว่าเมื่อทุกคนกินจนอิ่มแล้วและถ้าทำมันออกมาได้ไม่ดี จะไม่มีใครต้องการซื้อมัน
ส่วนที่เหลือเป็นมันฝรั่ง
ผักมีจำนวนน้อยเกินไป ส่งผลให้ทำเมนูอาหารไม่ได้หลากหลาย
ผางเจิ้งหัวรู้สึกลำบากใจ “การทอดมันฝรั่งทุกวันไม่ใช่ปัญหา แต่สิ่งสำคัญคือถ้ากินมากจนเกินไปจะอิ่มซะก่อน”
สวี่ชิงหัวเราะ “ไม่ต้องกังวลไป เราเปลี่ยนส่วนผสมได้ หมูอบซอสแดงกับฟักเขียวหรือไม่ก็มันฝรั่ง ส่วนอาหารมังสวิรัติก็ยังมีพวกเห็ดหูหนูอยู่ไม่ใช่เหรอ เอากะหล่ำปลีมาผัดกับพริกแห้ง ผู้คนที่เดินผ่านเราไปมาส่วนใหญ่ก็มาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือหรือจังหวัดเสฉวนกันทั้งนั้น คนพวกนี้ชอบอาหารรสจัด พวกเราแค่ต้องทำกะหล่ำปลีให้เผ็ดขึ้นหน่อย แต่อย่าใส่พริกลงไปในจานเห็ดหูหนูล่ะ ทำเมนูมังสวิรัติกันเมนูเนื้อสัตว์อย่างล่ะสองเมนูก็พอ”
หลังจากเดือนตุลาคม อากาศจะเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ ภายในร้านอาหารยังไม่มีเครื่องทำความอุ่น อาศัยพิงเตาถ่านเพื่อให้ความอบอุ่นเท่านั้น การทำอาหารหลายเมนูจนเกินไปอาจไม่ดีนัก
ผางเจิ้งหัวครุ่นคิด “ยังมีเต้าหู้ด้วย ฉันจะเอาไปผัดปรุงรสเผ็ดกับต้นหอม”
ดวงตาของสวี่ชิงเป็นประกาย “เราปลูกถั่วงอกเองได้นะ มันก็เป็นผักเหมือนกัน ตอนนี้อากาศยังร้อนอยู่ ถั่วงอกจะโตขึ้นไว แค่ต้องรดน้ำวันละสองครั้ง แล้ววันที่สามก็จะได้กิน”
ราคาวัตถุดิบจะได้ถูกลง
ผางเจิ้งหัวรู้สึกโล่งใจ “ถ้าเป็นตามนี้เรายังมีเมนูอาหารอีกมากมาย อ๋อใช่แล้ว ฉันได้ยินมาว่าร้านอาหารแบบเดียวกับร้านเราจะเปิดบนถนนฝั่งตรงข้ามสถานีน่ะ ฉันกลัวว่ามันจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเรา”
ตลอดสองวันที่ผ่านมา สวี่ชิงยุ่งอยู่กับเรื่องของที่บ้านและไม่ได้เข้ามาที่ร้านอาหาร ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ยินเรื่องดังกล่าว และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “จริงเหรอ?”
ผางเจิ้งหัวพยักหน้า “อืม เมื่อคืนฉันไปดูมาแล้ว มีโต๊ะกับม้านั่งวางกองอยู่ตรงประตู”
สวี่ชิงโบกมือ “ไม่เป็นไรหรอก มีการแข่งขันที่ไหนมีแรงจูงใจที่นั่น เราก็แค่ต้องทำหน้าที่ของเรา หลังจากนี้ไปเราก็คงไม่ได้เป็นร้านอาหารจานด่วนเจ้าเดียวในสถานีใหญ่แบบนี้”
ไม่สามารถผูกขาดธุรกิจได้ เพียงแต่ต้องทำตัวให้โดดเด่นกว่าคู่แข่ง
ดังนั้นสวี่ชิงจึงมีความคิดเปิดกว้าง หลังจากพูดคุยกับผางเจิ้งหัวอยู่ครู่หนึ่ง ก็มาถามหลี่กั๋วหัวเกี่ยวกับความคืบหน้า
เห็นได้ชัดว่าหลี่กั๋วหัวดูวิตกกังวลมากกว่าสวี่ชิง เพราะเขาต้องการได้รับการประเมินขั้นสูงภายในสิ้นปีนี้ หลังจากทำผลงานอันโดดเด่นครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็พูดบ่นหลังจากเห็นสวี่ชิง “ช่วงนี้พวกหัวหน้ายุ่งกับการประชุมกันมาก ยังไม่มีเวลามารับรู้เรื่องพวกนั้นหรอก ผมเกรงว่าคงจะถึงช่วงสิ้นเดือนนี้ คุณเองก็ต้องยื่นคำร้องซะตอนนี้เลย มันก็เหมือนกับการผ่านอุปสรรคทั้งห้า ฆ่านายพลทั้งหก จะต้องผ่านมือหัวหน้าหลายคนหน่อย”
สวี่ชิงยิ้มและพูดปลอบหลี่กั๋วหัว “ไม่เป็นไรค่ะ หนทางไปสู่ความสำเร็จย่อมเต็มไปด้วยอุปสรรค ภายในสิ้นเดือนนี้ทุกอย่างอาจจะดีขึ้นก็ได้นะคะ เพราะตอนนี้ประเทศก็มีนโยบายสำหรับการเปิดเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ”
หลี่กั๋วหัวหัวเราะออกมาทันใด “สหายตัวน้อยไม่คิดมากเลยสินะ งั้นผมก็จะไม่รีบร้อยแล้วกัน ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ”
สวี่ชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ทุกอย่างย่อมเป็นไปอย่างช้า ๆ แต่เราจะมัวทำอะไรชักช้าไม่ได้นะคะ ผู้อำนวยการหลี่จะต้องคอยจับตาดูเอาไว้ให้ดี ถ้าเกิดมีใครอื่นมาแข่งขันกับเราอีกล่ะคะ? พวกเราคิดจะหาเงิน คนอื่นก็คิดได้เหมือนกัน”
หลี่กั๋วหัวโบกมืออย่างมั่นใจ “ไม่หรอก ผมมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหัวหน้าหลายคน อีกอย่างพวกเขาชื่นชมคุณกันมาก ถ้าเกิดมีนโยบายอะไร เราก็ต้องให้ผลประโยชน์กับคนข้างในของเราก่อนจริงไหม?”
สวี่ชิงรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นความมั่นใจของหลี่กั๋วหัว อีกทั้งยังเชิญหลี่กั๋วหัวให้พาภรรยาและลูก ๆ ไปรับประทานอาหารที่บ้าน
หลังจากทำความเคารพอย่างสุภาพ เธอก็ออกมาจากห้องทำงานของหลี่กั๋วหัว
เมื่อเห็นว่าที่ร้านไม่ได้มีคนพลุกพล่านและยังเช้าอยู่ เธอจึงเดินไปที่ร้านอาหารที่ผางเจิ้งหัวกล่าวถึง
ร้านดังกล่าวตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามสถานี ข้ามถนนใหญ่ไปก็เจอเลย ทำเลที่ตั้งค่อนข้างดี
ร้านซุ้มขนาดไม่ใหญ่ถูกทาเป็นสีขาว ผนังถูกเขียนด้วยตัวอักษรสีแดงว่าร้านอาหารโปรดมาเยือน
แม้ว่าชื่อร้านจะดูไร้รสนิยม แต่ก็สอดคล้องกับลักษณะในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ทำให้การเขียนประโยคดังกล่าวค่อนข้างดูมีระดับ เลียนแบบสไตล์ซ่งได้อย่างลงตัว
ขณะที่สวี่ชิงกำลังเหลือบมองชื่อร้าน บุคคลที่คุ้นเคยก็เดินออกมา
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ใครเป็นเจ้าของร้านคู่แข่งของชิงชิงกันนะ อยากรู้แล้วว่าเป็นคนใกล้ตัวหรือเปล่า
ไหหม่า(海馬)