เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 185 ทำไมหล่อนถึงใจเย็นแบบนี้
บทที่ 185 ทำไมหล่อนถึงใจเย็นแบบนี้
สวี่ชิงมองไปที่สวี่หรูเยว่อย่างไม่เข้าใจ “สวี่หรูเยว่ เธอท่าทางจะป่วยจิตมากนะ!”
สวี่หรูเยว่ยิ้มเย็น “เธอไม่เชื่อฉันเหรอ? งั้นฉันถามเธอหน่อย ตอนที่โจวจินหนานป่วยในตอนนั้น เขาควบคุมตัวเองได้ไหม?”
หัวใจสวี่ชิงเริ่มเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ แต่เธอทำเพียงมองท่าทางการแสดงออกของสวี่หรูเยว่แล้วแสร้งทำเหมือนว่าประหลาดใจ “ฉันไม่รู้มาก่อนเลย แล้วเธอรู้ได้ยังไง หรือว่าเธอเป็นคนวางยาโจวจินหนาน?”
สวี่หรูเยว่จ้องเขม็ง “เธอพูดอะไรไร้สาระ? ฉันแค่อยากมาบอกเพราะไม่อยากเห็นเธอถูกหลอกเหมือนคนโง่ ไม่คิดบ้างเหรอว่าเป็นเพราะอะไรโจวจินหนานถึงแต่งงานกับผู้หญิงมีมลทินอย่างเธอแบบกระทันหัน ทั้งที่เขาไม่เคยพบหรือรู้จักเธอมาก่อน ไม่ใช่เพราะเขาไม่สบายแล้วได้พบกับเธอหรือไง”
สวี่ชิงพลันยิ้มเยาะ “พูดต่อไปสิ แต่งเรื่องเก่งดีนะ ต่อให้สิ่งที่เธอพูดจะเป็นเรื่องจริง แต่แล้วยังไงล่ะ? ในเมื่อตอนนี้เราแต่งงานกันเรียบร้อยและโจวจินหนานก็ดูแลฉันเป็นอย่างดี ฉันควรจะขอบคุณที่คน ๆ นั้นเป็นเขามากกว่าไหม?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จู่ๆ สวี่ชิงก็ยกยิ้มขึ้นอย่างสดใส “ขอบคุณนะที่นำเรื่องนี้มาบอกให้ฉันได้รับรู้ นับเป็นข่าวดีมากสำหรับฉัน นั่นแสดงว่าฉันแต่งงานกับโจวจินหนานอย่างบริสุทธิ์ และเขาก็เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในชีวิตของฉัน”
สวี่หรูเยว่รู้สึกคาดไม่ถึง สวี่ชิงที่ได้ยินความจริงแล้วควรจะโกรธและเสียใจจนกลับไปทะเลาะกับโจวจินหนานอย่างที่หล่อนหวังให้เป็นไม่ใช่หรือ?
เธอนิ่งสงบไม่ทุกข์ไม่ร้อนแบบนี้ได้อย่างไร!
หล่อนจึงเอ่ยตอกย้ำอีกครั้ง “หากไม่ใช่เพราะเขา เธออาจได้แต่งงานกับโจวจินซวนแล้ว เธอชอบเขาไม่ใช่หรอ นอกจากนี้เธออาจไม่ต้องเผชิญเรื่องน่าอับอายจนถึงขั้นคิดจะฆ่าตัวตาย สวี่ชิง ใจเธอกว้างพอที่จะให้อภัยกับเรื่องแบบนี้ได้อย่างนั้นหรอ”
สวี่ชิงปรายตามองสวี่หรูเยว่ “ถ้าอย่างนั้น ฉันควรทำยังไง? ควรไปทะเลาะกับเขาแล้วหย่ากัน เธอจะได้มีความสุขอย่างนั้นเหรอ?”
เมื่อเห็นท่าทางของสวี่ชิง สวี่หรูเยว่ก็รู้สึกเดือดดาล “สวี่ชิง เธอมันหน้าด้าน!”
สวี่ชิงแค่นหัวเราะ “เทียบกับเธอแล้ว ใครมันหน้าด้านกว่ากันล่ะ”
สวี่หรูเยว่เดือดดาลเสียจนอยากสะบัดหนี เย่เหม่ยบอกว่าเมื่อใดที่หล่อนพูดแบบนี้ไป โจวจินหนานกับสวี่ชิงต้องทะเลาะกันแน่นอนไม่ใช่เหรอ?
แต่สวี่ชิงกลับไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด เธอยังอารมณ์ดีแบบนี้อยู่ได้อย่างไร?
สวี่ชิงจ้องมองคนตรงหน้าอย่างรู้สึกไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ “ถ้าหมดเรื่องแล้วก็หลบไป!”
ด้วยความกลัวว่าตนเองจะหมดความอดทน อีกทั้งตอนนี้ทารกในครรภ์ก็เริ่มแผลงฤทธิ์
สวี่หรูเยว่เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาเพราะสายตาของสวี่ชิงช่างเย็นชาเกินบรรยาย หล่อนเบี่ยงหลบโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะมองสวี่ชิงเดินผ่านไปอย่างสง่างาม
สวี่หรูเยว่กำมือแน่นแล้วจ้องมองตามแผ่นหลังของสวี่ชิงออกไปจนสุดสายตา ช่างไม่เหมือนกับที่คิดเอาไว้เสียเลย!
สวี่ชิงเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้าวช้าลงเมื่อเข้าไปถึงอาคารผู้ป่วยนอก
สำหรับเธอแล้ว คำพูดของสวี่หรูเยว่ไม่ได้มีผลทางความรู้สึกเลย อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่หล่อนพูดถูกคือ เมื่อใดที่โจวจินหนานล้มป่วย เขาก็ควบคุมความต้องการของตนได้ลำบากมากขึ้น
แต่หากพิจารณาจากคำพูดของสวี่หรูเยว่ ก็พอจะทราบว่าเหตุใดโจวจินหนานถึงยืนกรานจะแต่งงานกับเธอในช่วงที่เขาไม่สามารถมองเห็นได้
เขาดีทุกอย่าง ทำให้เธอรู้สึกถึงความรักมากกว่าทำให้เธอรับรู้ว่าเขาอยู่ข้างกายเธอเพียงเพื่อชดใช้สิ่งที่เคยทำ
แต่โจวจินหนานเพิ่งเล่าให้เธอฟังเมื่อคืนว่าเขาเคยพบเธอมาก่อน อีกทั้งเธอยังเคยช่วยชีวิตเขาไว้ด้วย
สวี่ชิงคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดอยู่ภายในใจ ก่อนจะก้าวเดินขึ้นไปชั้นบนของอาคารราวกับไม่มีสิางใดเกิดขึ้น
หากในตอนนี้เธอมีอายุเพียงสิบแปดปี เธอคงเดินดุ่มเข้าไปถามโจวจินหนานว่ามันเกิดอะไรขึ้น
แต่การมีชีวิตมาหนึ่งชาติได้หล่อหลอมให้เธอมีวันนี้ อีกทั้งยังมีที่พักพิงที่เธอควรมี เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะตั้งคำถามกับโจวจินหนานเพราะคำพูดของคนนอกแน่นอน
ถึงแม้จะสงสัย แต่เธอก็สามารถสงบสติอารมณ์พร้อมกับค่อย ๆ ค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้
เธอผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียดทั้งหมดก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นสามของตึกอาคาร โจวจินหนานสาวเท้าเข้ามาหา เธอกระพริบตาก่อนส่งยิ้มไปให้เขา “คุณย่าฟื้นหรือยังคะ?”
โจวจินหนานส่ายศีรษะเป็นคำตอบ “ยังเลย แต่ผมเห็นว่าคุณไปนานแล้ว คิดว่าจะไปตามสักหน่อย”
เมื่อได้ยินดีงนั้นสวี่ชิงก็โบกมือไปมา “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่คนมันเยอะเลยต้องรอเข้าแถวอยู่พักหนึ่ง”
โจวจินหนานรู้สึกโล่งใจ “หมอเพิ่งมาบอกว่าคุณย่าอาจยังไม่ฟื้นเร็ว ๆ นี้ เลยไม่จำเป็นต้องมีคนเฝ้ามากมาย พ่ออาสาจะเป็นคนเฝ้าท่านเอง พวกเรากลับกันเถอะ”
สวี่ชิงมองข้ามผ่านหลังของเขาไป “ควรไปบอกคุณปู่ไหมคะ ว่าเราจะกลับกันแล้ว?”
โจวจินหนานส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ผมบอกพวกเขาแล้ว เรากลับกันเถอะ”
สวี่ชิงส่งสายตาเหลือบมองโจวจินหนาน ก่อนจะก้าวเดินตามเขาลงไปข้างล่าง ระหว่างทางนั้นคำพูดของสวี่หรูเยว่ยังคงดังก้องในใจราวกับเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยกำลังงอกในจิตใจของเธอ ดังนั้นสายตาที่จ้องมองไปยังโจวจินหนานจึงเต็มไปด้วยความสงสัย
โจวจินหนานมาส่งสวี่ชิงที่สถานีรถไฟ ก่อนจะเอ่ยกล่าวลาเธอระหว่างทาง “ทำงานเสร็จแล้วผมจะไปหา ถ้าอยากกลับก็ให้เจิ้งหัวกับหู่จือไปส่งนะ”
คำพูดของเขาทำให้สวี่ชิงระเบิดหัวเราะออกมาไม่หยุด “กลางวันแสก ๆ ขนาดนี้ยังกลัวฉันโดนทำร้ายอีกเหรอคะ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันจะรอคุณไปรับที่ร้าน เมื่อเช้านี้ฉันทำอาหารให้คุณย่าแล้ว ยังไม่จำเป็นต้องกลับบ้านตอนนี้”
โจวจินหนานพยักหน้ายอมรับ “งั้นคุณรอผมก่อน เสร็จธุระจากที่นี่แล้วผมจะไปหาคุณ”
สวี่ชิงไม่ได้เอ่ยถามว่าเขากำลังยุ่งอยู่กับอะไร อาจเกี่ยวกับงานที่โจวจินหนานได้รับมอบหมายให้ไปทำก็เป็นได้ เมื่อนึกถึงงานเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่เกาจ้านพูดเมื่อวานนี้
“เธอคิดว่าเขาทำร้ายเธอหรอ ดูอย่างเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้สิ เธอสมควรจะยกโทษให้เขาอยู่นะ!”
สวี่ชิงตกตะลึงกับความนึกคิดขึ้นมาอย่างกระทันหัน คำพูดของเกาจ้านคล้ายคลึงกันมากเหมือนเคยพูดแบบนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง หรือมันจะมีนัยสำคัญพิเศษอะไร?
เมื่อเห็นสวี่ชิงกำลังนั่งอยู่ในร้านด้วยแววตาตกตะลึง ผางเจิ้งหัวจึงเดินไปนั่งลงตรงข้ามเธอก่อนจะเอื้อมไปจับเข้าที่ศีรษะของคนตรงหน้าแล้วจับส่ายไปมา “คิดอะไรอยู่น่ะ?”
สวี่ชิงปั้นยิ้มขึ้นทันที “ไม่มีอะไร แค่กำลังคิดว่าจะขยายธุรกิจร้านและหารายได้เพิ่มยังไงดี”
ผางเจิ้งหัวรู้สึกประหลาดใจ “ฉันว่าตอนนี้มันก็ดีแล้วนะ ก่อนหน้านี้เธอก็บอกเองว่าเราเพิ่งเริ่มทำธุรกิจ ค่อย ๆ ก้าวไปทีละก้าวไม่ดีกว่าเหรอ?”
สวี่ชิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย “ฉันเคยพูดแบบนั้นหรอ?”
ผางเจิ้งหัวพยักหน้ารับ “เธอไม่ได้ลืมใช่ไหม? อีกอย่างฉันว่าตอนนี้มันดีแล้ว ถ้าเร่งขยายก็กลัวว่าคุณภาพจะไม่เติบโตไปพร้อมกับสาขาของร้าน”
สีหน้าของสวี่ชิงจริงจังมากขึ้นก่อนที่เธอจะพยักหน้ายอมรับ “เอาเถอะ ตามที่นายบอกนั่นแหละ เราจะไม่รีบร้อน”
ผางเจิ้งหัวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย สวี่ชิงกำลังพูดคุยเรื่องเดียวกับเขาหรือเปล่า? เธอคงไม่ได้เข้าใจกันคนละทิศละทางกับเขาใช่ไหม?
ในตอนบ่าย สวี่ชิงเริ่มเรียกจิตวิญญาณของตนเองกลับมาอีกครั้ง เธอยิ้มและพูดคุยกับซุนเชียวเฟิงเกี่ยวกับวิธีการถักเสื้อสเวตเตอร์และการทำรองเท้า
ซุนเชียวเฟิงเอ่ยปากแซวสวี่ชิงขึ้นทันที “เธอจะทำรองเท้าให้เสี่ยวโจวถูกไหมล่ะ?”
สวี่ชิงยิ้มรับ “ฉันควรจะทำให้มากกว่านี้อีก”
ในภายภาคหน้าก็คงไม่มีใครมาทำให้เขาเช่นนี้
เมื่อถึงตอนบ่าย โจวจินหนานก็มาช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย ในขณะที่สวี่ชิงกำลังยุ่งวุ่นวายกับงานของเธอ เขาจึงช่วยงานเสิร์ฟอาหารโดยไม่ต้องเอ่ยปาก จากนั้นก็ไปช่วยทำอาหาร ปล่อยให้สวี่ชิงได้พักผ่อน
รอยยิ้มของสวี่ชิงถูกส่งมาให้ เธอมีรอยยิ้มให้เขาเสมอ นั่นทำให้โจวจินหนานรู้สึกผิดอยู่ในใจ
ภายใต้รอยยิ้มอาจแฝงไปด้วยอารมณ์มากมายที่ซุกซ่อนอยู่ในนั้น
เมื่อถึงเวลาปิดร้าน สวี่ชิงก็มีรอยยิ้มขึ้นมา เธอนั่งนับเงินแล้วให้หู่จือไปส่งซุนเถียนที่บ้าน ก่อนจะเรียกโจวจินหนานให้กลับบ้าน “วันนี้เหนื่อยจังเลย แต่พอได้นับเงินก็รู้สึกว่าคุ้มค่าเหนื่อยอยู่นะคะ”
เมื่อเห็นว่าสวี่ชิงมีความสุข โจวจินหนานจึงปักใจเชื่อว่าเมื่อตอนบ่ายตนอาจคิดมากไปเอง
ทั้งสองไม่ได้ปั่นจักรยานกลับบ้าน พวกเขาเดินเคียงไปด้วยกันตลอดทาง
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า เห็นจันทร์เต็มดวงปรากฎขึ้นอยู่บนท้องนภา “จริงสิ วันนี้15ค่ำ ฉันได้ยินมาว่าถ้าขอพรจากพระจันทร์ในคืนนี้ คำอธิษฐานจะเป็นจริง คุณอยากขอพรเรื่องอะไรคะ?”
โจวจินหนานหลับตาลงก่อนจะลืมตามองไปยังสวี่ชิง ทั้งสองยืนอยู่ภายใต้แสงจันทร์ขาวนวลสดใส “ผมขอให้คุณมีชีวิตที่ปราศจากความกังวลใจ”
รอยยิ้มพลันปรากฎขึ้นบนใบหน้าของสวี่ชิง เธอเอื้อมมือไปจับเข้าที่มือของอีกฝ่าย
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่หนานรอดแล้ว ชิงชิงตอนนี้ปลงได้และมูฟออนได้บ้างแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนพี่คงไม่รอด
ไหหม่า(海馬)