เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 153 โจวจินหนานเกาจ้านพี่น้องพลาสติก
บทที่ 153 โจวจินหนานเกาจ้านพี่น้องพลาสติก
โจวจินหนานไม่เป็นกังวลเลยสักนิด เขาคิดว่าบะหมี่กับแป้งจี่จะมีไม่พอมากกว่า ถ้าเพิ่มเกาจ้านอีกคนหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่ามื้อเข้าจะพอกินหรือไม่
ตอนที่ทั้งสองมาถึงบ้าน สวี่ชิงยังคงยืนทำแป้งจี่อยู่ เมื่อเห็นว่าเกาจ้านมาหาก็ทำเส้นบะหมี่เพิ่มอีกอย่างคล่องแคล่ว แล้วตอกไข่สองใบลงไป จากนั้นหั่นต้นหอมลงไป ก่อนหยอดแป้งลงไปจี่
หลังจากทำมื้อเช้าเสร็จอย่างรวดเร็ว ก็นั่งล้อมวงกินข้าวเช้ากันอยู่บนโต๊ะอาหารตัวเล็ก
เกาจ้านหัวเราะเหอะๆ พลางพูดว่า “ขอโทษจริงๆ นะที่ต้องลำบากเธอแล้ว”
สวี่ชิงกลับไม่ถือสา “ไม่รบกวนเลยค่ะ พี่เองก็ไม่สะดวกทำกับข้าว จากนั้นก็มากินข้าวด้วยกัน ถ้าตอนไหนที่พวกเราไม่อยู่บ้าน พี่ก็มาหาพวกเราที่ร้านได้นะคะ พวกเราทำธุรกิจอาหาร จะไม่มีข้าวกินได้ยังไง”
เกาจ้านก็รอให้สวี่ชิงพูดประโยคนี้อยู่ “งั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะ ต่อไปผมจะมากินข้าวตรงเวลาเลยล่ะ”
สวี่ชิงยิ้มออกมา “อย่าเกรงใจเลยค่ะ คุณกับโจวจินหนานสนิทกันขนาดนี้ ทำไมยังต้องเกรงใจกันอีกล่ะคะ?”
โจวจินหนานปรายตามองเกาจ้าน คนคนนี้มีจุดประสงค์แอบแฝงก็เท่านั้น
สวี่ชิงทำเป็นไม่สนใจการลอบโจมตีเล็ก ๆ ของพี่น้องพลาสติก(1)สองคนนี้ กินข้าวเสร็จก็เก็บถ้วยชามไปล้าง รอจนกระทั่งผางเจิ้งหัวมาเอาของไปเปิดร้าน
ผางเจิ้งหัวเดินมาพร้อมกับซุนเชียวเฟิง และยังพาลูกชายคนโตของซุนเชียวเฟิงชื่อเล่นหูจือ ชื่อจริงจางเหวินหู มาด้วย
เขามีรูปร่างหน้าตาดูซื่อตรงอย่างมาก แก้มด้านซ้ายมีรอยแผลเป็นคล้ายตะขาบรอยหนึ่ง ทำให้ใบหน้าดูโหดขึ้นมาหน่อย
พอเห็นสวี่ชิงกับโจวจินหนาน ใบหน้าเหมือนสุนัขซื่อ ๆ นั่นก็ยกยิ้มทักทายให้
ซุนเชียวเฟิงแนะนำเสร็จก็ผลักหูจือเบา ๆ “เอ่ยสวัสดีสิ นี่พี่ชิงชิง ส่วนนั่นก็คือสามีพี่สะใภ้”
หูจือรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย พยักหน้าเรียกเสียงเบา “พี่ชิงชิง สามีพี่สะใภ้ สวัสดีครับ”
ซุนเชียวเฟิงไม่พอใจเสียงของหูจือ ตบหลังของเขาทีหนึ่ง “ดูสิออกจะเป็นผู้ชายตัวใหญ่ขนาดนี้ แต่เสียงอย่างกับเด็กผู้หญิงแน่ะ”
หล่อนยิ้มแล้วพูดกับสวี่ชิงและโจวจินหนาน “เด็กคนนี้ขี้กลัวน่ะค่ะ ตอนอยู่บ้านกลับดุเชียว ทั้งยังนับถือวีรบุรุษที่สุด พอเห็นพวกคุณก็เลยเขิน”
สวี่ชิงยิ้ม “แบบนี้ก็ดีค่ะ จากนี้เดี๋ยวสนิทกันก็จะดีเอง”
ผางเจิ้งหัวเอาของไปวางไว้ที่จักรยาน ถึงค่อยหันมามองสวี่ชิง “ตอนนี้พวกเรามีคนเยอะแล้ว เธอไม่ต้องรีบไปก็ได้”
สวี่ชิงโบกมือ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพอพวกเราเก็บของเสร็จแล้วก็จะไปแล้ว”
ผางเจิ้งหัวยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง สุดท้ายนึกได้ว่าซุนเชียวเฟิงยังอยู่ จึงอดทนเอาไว้
เมื่อวานตอนเย็นคุณย่าพูดกับเขาแล้วว่าในสวี่ชิงตอนนี้กำลังตั้งครรภ์อยู่ ต่อไปต้องช่วยหล่อนเยอะกว่าเดิมหน่อย
หลังจากผางเจิ้งหัวไปแล้ว สวี่ชิงก็เก็บกวาดห้องครัว แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนมองโจวจินหนานกับเกาจ้านที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ “พวกคุณรอก่อนค่อยไป หรือว่าจะไปพร้อมกับฉันเลยคะ?”
โจวจินหนานส่ายหน้า “วันนี้พวกผมคงไม่ไปแล้วครับ จะอยู่บ้านชุดห้องเก็บผัก”
เกาจ้านตกใจชี้แขนของตัวเอง “แล้วแบบนี้ฉันจะขุดห้องเก็บผักยังไงล่ะ”
โจวจินหนานมองเขาแวบหนึ่ง “มือข้างนั้นของนายยังดีอยู่ไม่ใช่เหรอ แบกดินทั้งหมดคงไหวอยู่หรอก”
เกาจ้านชี้หน้าโจวจินหนาน “เยี่ยม เยี่ยมมาก ฉันเพิ่งมารู้นี่เองว่านายมันชอบเอาเปรียบแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อย”
สวี่ชิงเองก็รู้สึกว่ามันเป็นการรังแกเกาจ้านเกินไปเช่นกัน “หรือให้ฉันหาคนมาดีคะ? แล้วจ่ายค่าแรงให้พวกเขาเอา”
โจวจินหนานยังคงส่ายหน้า “ไม่ต้อง เดี๋ยวผมเป็นคนหาคนเอง คุณไปทำธุระของคุณเถอะ ให้ไป๋หลางไปเป็นเพื่อนคุณ”
สวี่ชิงรู้สึกว่าหลังจากโจวจินหนานมองเห็นครั้งนี้เขาก็เป็นโรคอยู่ไม่สุข บางทีอาจเป็นเพราะเขาอยากทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เธอก่อนที่จะต้องกลับไปประจำการในหน่วยรบ
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเกาจ้านยืนอยู่ตรงนี้ เธอคงวิ่งเข้าไปกอดไปจูบเขาสักฟอดแล้ว!
สวี่ชิงพาไป๋หลางไปด้วยอย่างเชื่อฟัง มีสุนัขที่ดูหน้าตาดุร้ายขนาดนี้ไปด้วยตัวหนึ่ง คนปกติทั่วไปต้องไม่กล้าหาเรื่องเธอเป็นแน่
แม้แต่อันธพาลน้อยเหล่านั้นต่างก็ไม่กล้าพูดแซวสวี่ชิงแม้แต่น้อย
พอสวี่ชิงไปแล้ว เกาจ้านก็อดบ่นกระปอดกระแปดไม่ได้ “ทำไมนายไม่พักหน่อย ตาก็เพิ่งจะมองเห็นก็จะทำงานแล้ว ขุดห้องเก็บผักนั่นอีกสองสามคืนค่อยทำก็ได้ไหม”
โจวจินหนานไม่สนใจเขา “ถ้านายทำไม่ไหว ก็ไปโทรศัพท์หาสวีหย่วนตง บอกเขาว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนยาให้ไป๋หลางแล้ว ถ้าพักแล้วให้มาหาหน่อย”
เกาจ้านถลึงตาจ้องโจวจินหนาน “นายช่วยมียางอายหน่อยได้ไหม? ยังจะให้หมอสวีมาช่วยนายอีกเนี่ยนะ”
โจวจินหนานมุ่นคิ้ว “หรือว่านายจะเป็นคนขุด?”
พูดจบก็หรี่ตามองหลังคาห้องครัว “เดี๋ยวต้องซ่อมหลังคาให้เรียบร้อยด้วย ไม่งั้นมันจะรั่วซึมถ้าถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าแล้ว”
ทุกๆ ปีต้องเปลี่ยนดินที่ฉาบกระเบื้องหลังคาทุกครั้ง ไม่อย่างนั้นเมื่อถึงคราวฝนตกหนักในฤดูใบไม้ผลิแล้วหลังคาจะรั่วได้ง่าย
เกาจ้านถอนหายใจ “ถ้างั้นฉันไปหาคนมาเพิ่มอีกสองคนแล้วกัน ถึงตอนนั้นฉันแค่รินชาให้พวกนายก็พอ”
…….
สวี่ชิงอยู่เฝ้าร้านจนถึงเที่ยงและเห็นว่าพวกซุนเชียวเฟิงสองสามคนสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบดี ส่วนห้องครัวก็มีหูจือเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง เขามีพละกำลังมาก อีกทั้งมือไม้แคล่วคล่อง สามารถยกจานข้าวแถวหนึ่งคนเดียวได้
ช่วยแบ่งเบาภาระให้ผางเจิ้งหัวได้ไม่น้อย
เมื่อคิดถึงโจวจินหนานกับเกาจ้านที่ขุดห้องเก็บผักอยู่ที่บ้าน เธอก็คิดว่าต้องกลับไปทำกับข้าวให้พวกเขาสองคนเสียหน่อย
เธอไปบอกกับผางเจิ้งหัวคำหนึ่ง ผางเจิ้งหัวโบกมือทันที “เธอไปทำธุระของตัวเองเถอะ ด้านนี้ให้พวกเราจัดการเองได้ไม่มีปัญหา เธอไปบอกพี่ใหญ่โจวด้วยว่าขุดห้องเก็บผักให้ลึกหน่อย ไม่งั้นมันฝรั่งจะเสียง่าย”
สวี่ชิงตอบรับคำหนึ่ง แล้วพาไป๋หลางกลับบ้าน ระหว่างทางยังซื้อเนื้อวัวกลับไปด้วยสองชั่ง ตั้งใจว่าจะกลับไปทำซุปเนื้อวัวตุ๋น หุงข้าวหอม ๆ กินด้วยกัน
ตอนถึงบ้าน สวี่ชิงก็เห็นว่าในบ้านนอกจากมีโจวจินหนานกับเกาจ้านแล้ว ยังมีสวีหย่วนตงกับชายหนุ่มอีกสามคนที่เธอเองก็ไม่รู้จัก
พวกเขาล้วนสวมเสื้อกล้าม กางเกงเขียวทหาร ยุ่งวุ่นวายอยู่ในบ้านตน ตรงมุมบ้านมีดินที่เพิ่งถูกขุดขึ้นมาใหม่กองหนึ่ง
สวีหย่วนตงยิ้มแล้วเดินไปทักทายสวี่ชิงหน้าประตูใหญ่ “น้องสะใภ้กลับมาแล้ว”
ชายหนุ่มอีกสามคนยิ้มจนเห็นฟันทักทายสวี่ชิง “น้องสะใภ้สวัสดีครับ”
สวี่ชิงส่งยิ้มกลับตอบไป เดินไปหยุดหน้าโจวจินหนาน “ทำไมคุณไม่เห็นบอกฉันสักคำเลยคะ ฉันจะได้เตรียมตัวทำกับข้าว”
โจวจินหนานเอาดินไปกองรวมกัน “ไม่ต้อง เดี๋ยวพวกเราไปกินข้าวที่โรงอาหารก็ได้”
สวี่ชิงไม่ยอม “ได้ยังไงกันคะ ฉันจะไปซื้อกับข้าวเดี๋ยวนี้แหละ”
จากนั้นก็ยิ้มให้อีกสามคน “พวกคุณอยากกินอะไรคะ ฉันจะไปซื้อให้”
ชายผิวดำตัวผอมคนหนึ่งแต่ดูมีชีวิตชีวามากรีบโบกไม้โบกมือ “ไม่ต้องรบกวนน้องสะใภ้หรอกครับ เดี๋ยวพวกเราออกไปหาอะไรกินเรื่อยเปื่อยกันเอง”
อีกสองคนที่เหลือก็พูดตามเขา “ใช่ ๆ ไม่รบกวนน้องสะใภ้หรอกครับ”
สวี่ชิงฟังสำเนียงของทั้งสามคนแล้วเหมือนกับคนมณฑลเสฉวนทางนั้น ก็ยิ้ม “เอาล่ะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันจะเป็นคนไปซื้อมาเอง”
จากนั้นก็พูดกับเกาจ้าน “พี่ใหญ่เกา แขนของคุณยังบาดเจ็บอยู่ ต้องระวังหน่อยนะคะ”
จนกระทั่งสวี่ชิงเดินไปแล้ว เกาจ้านพูดกับอีกสามคนอย่างดีใจ “ลาภปากพวกนายสามคนแล้ว ฝีมือทำกับข้าวของน้องสะใภ้ไม่มีอะไรต้องพูดเลย”
โจวจินหนานยืนหน้าดำทะมึนอยู่อีกด้าน เจ้าคนพวกนี้กินจุกันทั้งนั้น อีกเดี๋ยวสวี่ชิงต้องทำกับข้าวมากเท่าไรกัน!
สวี่ชิงกลับไม่รู้สึกว่ารบกวนนัก อีกทั้งรู้ว่าทุกคนต่างก็เป็นเด็กหนุ่ม เป็นช่วงที่กินเยอะเป็นธรรมดา จึงไปซื้อกระดูกหมูสิบชั่งกลับมาจากตลาด ซื้อเนื้อวัวอีกสองสามชั่ง และซื้อเต้าหู้อีกสองก้อน
สวี่ชิงใส่เนื้อไว้ในตะกร้า ให้ไป๋หลางช่วยแบกของ
จากนั้นจึงเตรียมหันกลับไปซื้อเครื่องแกงหม่าล่าที่ร้านขายของชำ แต่กลับเห็นหญิงสาวชุดแดงคนนั้นปรากฏตัวอีกครั้งที่หน้าร้านขายของว่างอยู่ไกลๆ
………………………………………………………………………………………………………………………….
(1)เป็นคำที่ใช้ในอินเตอร์เน็ต หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่คบกันมานานจนสนิทสนม บางทีก็ดูปลอมเหมือนดอกไม้พลาสติก ทว่ากลับเป็นเพื่อนแท้ในยามลำบาก
สารจากผู้แปล
พี่หนานกับพี่เกานี่เป็นคู่สหายที่อยู่ว่างๆ ไม่ได้เป็นต้องหยุมหัวกันสินะ
ผู้หญิงชุดแดงคนนี้มาอีกแล้ว เป็นลางบอกเหตุอะไรหรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)