เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 150 สวี่ชิงรู้มากขนาดนี้ได้อย่างไร
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80
- บทที่ 150 สวี่ชิงรู้มากขนาดนี้ได้อย่างไร
บทที่ 150 สวี่ชิงรู้มากขนาดนี้ได้อย่างไร
เฟิงซูฮวาพรวดพราดเข้ามาหาโจวจินหนานในครัว ก่อนจะจ้องหน้าเขาโดยละเอียด หลังจากนั้นจึงตรวจชีพจรให้เขา
มันทำให้สวี่ชิงเป็นกังวลและเกือบทำให้หมูผัดเปรี้ยวหวานในกระทะไหม้
เธอรีบยกกระทะขึ้นและมองเฟิงซูฮวาอย่างลุ้นระทึก กลัวว่าจะเกิดปัญหาขึ้นเพราะสีหน้าของผู้เป็นย่าดูเคร่งเครียดมาก
เฟิงซูฮวาจับชีพจรแล้วมองโจวจินหนานด้วยความแปลกใจ “ช่วงนี้เธอกินอะไรไปบ้าง”
สวี่ชิงส่ายหน้ารัว “ไม่ได้กินอะไรเป็นพิเศษนะคะ แค่กินอาหารตามปกติแล้วก็ทำกินที่บ้านด้วย มีนกพิราบตุ๋นกับหางวัวค่ะ”
หญิงชรางุนงงไม่น้อย “พิษในร่างกายจางหายหมดแล้ว ตอนนี้ไม่ต่างจากคนปกติเลย เร็วขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ”
ต่อให้เขาจะร่างกายแข็งแรงแค่ไหนก็ไม่น่าฟื้นตัวเร็วขนาดนี้
สวี่ชิงโอ้อวดตนเองอย่างร่าเริง “คุณย่า เพราะฉันฝังเข็มไล่พิษให้เขาทุกคืนหรือเปล่าคะ”
เฟิงซูฮวาเหลือบมองเธอ “หลานนี่มั่นใจในฝีมือตัวเองซะเหลือเกินนะ หาปลาสามวันตากแหสองวัน(1)แบบนี้คิดว่าจะเป็นไปได้หรือยังไง”
สวี่ชิงคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เช่นกัน เธอผลักโจวจินหนานแก้เก้อ “อ๊ะ พาคุณย่าออกไปข้างนอกเร็วค่ะ ฉันยังต้องทำอาหารต่อ”
มื้อเย็นนี้มีอาหารเต็มโต๊ะ ทั้งหมูตุ๋นเผ็ด หมูผัดเปรี้ยวหวาน แถมยังมีหมูผัดพริก ถั่วทอด ยำเนื้อหมู และเนื้อวัวผัดแตงกวา
มีมากมายหลายอย่างจนต้องต่อโต๊ะยาวเข้าด้วยกันและตักใส่ถาด
ซุนเชียวเฟิงที่นั่งอยู่ด้านหนึ่งเอ่ยขึ้น “ชิงชิง ฝีมือเธอดีกว่าเจิ้งหัวอีกนะ อาหารพวกนี้อร่อยมาก”
สวี่ชิงยิ้ม อาหารเสฉวนยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง หมูตุ๋นเผ็ดนี้จึงเป็นที่สนใจของผู้คนมากทีเดียว
ผางเจิ้งหัวกลับมาพร้อมกับสุราหลายชั่ง
เหล้านี้ความเข้มข้นดีกรีสูงและส่วนใหญ่หมักไว้กินกันเอง กลิ่นของข้าวหมักจึงรุนแรงเป็นพิเศษ แม้จะเมาง่ายแต่ก็ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย กลับมีประโยชน์กว่าเหล้าผสมในยุคหลัง
สวี่ชิงเงยหน้ามองเมื่อได้กลิ่น ก่อนหันไปหาเฟิงซูฮวา “โจวเจินหนานดื่มเหล้าได้ไหมคะ”
เฟิงซูฮวาพยักหน้า “ได้สิ ตอนนี้เขาไม่เป็นไรแล้ว ไม่มีข้อห้ามอะไรแล้วละ”
ติดเพียงแค่ฟื้นตัวเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้นางต้องกลับไปศึกษาดู
ซุนเชียวเฟิงกับหลี่ซิ่วเจินดื่มสุราบ้างเช่นกัน กระดกไปไม่กี่แก้วพวกหล่อนก็ออกอาการหน้าแดง ซุนเชียวเฟิงมองสวี่ชิงอย่างอารมณ์ดี “เธอไม่หัดดื่มบ้างเหรอ”
สวี่ชิงส่ายหน้า “ไม่ละค่ะ ฉันได้กลิ่นก็ปวดหัวแล้ว นับประสาอะไรจะไปดื่มได้คะ”
เธอยังไม่คิดบอกทุกคนว่าตั้งครรภ์ เพราะเป็นธรรมเนียมของที่นี่ว่าจะป่าวประกาศออกไปไม่ได้จนกว่าจะพ้นสามเดือน ไม่เช่นนั้นท้องจะมีปัญหา
แม้เป็นเพียงความเชื่อ แต่เธอก็เลือกจะเชื่อเพื่อความปลอดภัยของลูก
ซุนเชียวเฟิงไม่รบเร้าเธออีกก่อนยกแก้วขึ้นดื่มอีกอึก รสร้อนแรงของมันทำให้อ้าปากแยกเขี้ยวส่งเสียงและรีบคีบอาหารเข้าปากคำโตสองคำติด หลังจากนั้นจึงบอกกับสวี่ชิง “เมื่อก่อนเราทั้งชายหญิงเด็กแก่ไปสร้างเขื่อนหน้าหนาวเพื่อให้ได้แต้มค่าแรง(2) ถ้าเรามีอาหารไม่พอก็ต้องทนหนาว เลยต้องดื่มเหล้าสร้างความอบอุ่นก่อนไปทำงาน”
หลี่ซิ่วเจินพยักหน้าบอก “ใช่เลย ชีวิตตอนนั้นยากลำบากมาก สมัยนี้ถือว่าดีขึ้นเยอะแล้ว ดูอย่างอาหารมื้อนี้สิ ดีกว่าที่กินฉลองปีใหม่ตอนนั้นซะอีก”
สวี่ชิงยิ้มให้กำลังใจ “ต่อไปต้องดีกว่านี้แน่ค่ะ”
ซุนเชียวเฟิงพลันถอนหายใจออกมา “ถ้าไม่ได้ชิงชิง ป่านนี้ชีวิตฉันคงลำบาก ฉันเตรียมตัวจะไปทำงานที่โรงงานหาเลี้ยงลูก ๆ แล้ว”
สวี่ชิงรู้ว่าอีกฝ่ายมีลูกชายห้าคนและลูกสาวอีกหนึ่งคน ลูกชายคนโตอายุได้สิบแปดแล้ว ลดหลั่นตามกันมาจบที่คนสุดท้องที่อายุเพียงแปดขวบเท่านั้น
แม้อยากส่งลูกคนโตไปเข้าประจำการเป็นทหาร แต่เพราะตอนเล็กซุกซนจนมีแผลเป็นบนหน้า เขาจึงไม่สามารถเป็นทหารได้ แต่ก็ไม่อาจหางานประจำได้เพราะไม่มีทะเบียนบ้าน ไม่เว้นแม้แต่ตำแหน่งคนงาน
ได้แต่ทำไร่ทำสวนที่บ้าน
หลังครุ่นคิดครู่หนึ่ง “น้าเชียวเฟิงคะ ถ้าไม่ถือสาก็ให้หูจือมาเป็นลูกมือฉันสิคะ พอเขาเป็นงานก็ให้เปิดร้าน จะได้พึ่งพาตัวเองได้”
ซุนเชียวเฟิงตาเป็นประกาย “เอาสิ ขอแค่เธอไม่รังเกียจที่เขาโตมาหน้าตาน่าเกลียดก็พอ”
สวี่ชิงหัวเราะ “พูดถึงลูกตัวเองแบบนั้นได้ยังไงกันคะ”
ผางเจิ้งหัวกล่าวขึ้นบ้าง “ผมว่าหูจือทำได้นะครับ เขาไม่ค่อยพูดแต่ก็ดูร่าเริงนะครับ”
ซุนเชียวเฟิงโบกมือปัด “นี่ เป็นเพราะรอยแผลเป็นบนหน้า เขาถึงได้ถูกหัวเราะเยาะและหาภรรยาไม่ได้สักที ตอนนี้ฉันไม่มีหน้าไปพูดกับใครอีกแล้วละ”
สวี่ชิงยิ้มพลางกล่าวโน้มน้าว “ไม่ใช่แบบนั้นเลยค่ะ ขอแค่ทำให้เขามั่นใจในตัวเอง ขยันทำงานและเป็นคนดี ก็สามารถดึงดูดผู้หญิงดี ๆ ได้แล้วค่ะ”
ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้น “ชิงชิง เธอนี่ช่างพูดจริงๆ ในเมื่อมีความสามารถขนาดนี้ พรุ่งนี้ฉันจะให้หูจือมาเป็นลูกมือที่ร้าน ขอแค่มีอาหารเลี้ยงก็พอ”
สวี่ชิงส่ายหน้า “ไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องอาหารต้องเลี้ยงอยู่แล้ว ระหว่างฝึกงานในฐานะลูกศิษย์จะจ่ายค่าจ้างให้เดือนละสิบห้าหยวน หลังพ้นจากฝึกงานสามเดือนไปจะเพิ่มเงินเดือนให้อีกค่ะ”
ซุนเชียวเฟิงเบิกตากว้าง “อะไรนะ สิบห้าหยวนเหรอ ชิงชิง เธอใจดีเกินไปแล้ว ฉัน… ฉันไม่รู้จะพูดยังไงเลย เถ้าแก่เนี้ยที่ใจกว้างอย่างเธอ ต่อไปต้องร่ำรวยอย่างแน่นอน”
สวี่ชิงหัวเราะ “คุณน้า ฉันจะรับคำอวยพรไว้แล้วกันนะคะ แต่เงินนี้เป็นสิ่งที่หูจือควรได้ค่ะ เขาจะได้ตั้งใจเรียนรู้งาน”
ซุนเชียวเฟิงน้ำตาคลอ อาจเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ตาจึงแดงก่ำขึ้นมาทันที “ฉันไม่รู้จะบอกยังไงเลย ไม่ต้องกังวลไปนะ ตราบใดที่เธอยินดีจะจ้างเรา เราจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดเลย”
เธอรู้ว่าการเป็นลูกศิษย์ข้างนอกยากเย็นขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นช่างตัดผมหรือการทำอาหาร งานทั้งหมดที่ทำต่างขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของอาจารย์
ช่วงเดือนแรก ๆ แทบไม่ได้เรียนรู้อะไร อย่าว่าแต่เงินเดือน ยังต้องหาทางทำให้เป็นที่โปรดปรานของอาจารย์ เร่งให้อีกฝ่ายรีบสอนบางอย่างให้ตนเอง
สวี่ชิงยิ้มพลางจับมือซุนเชียวเฟิง “ไม่เอาน่า ทำไมถึงต้องตื้นตันขนาดนั้นกันคะ ในเมื่อเราทำงานด้วยกันแล้วก็ถือเป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าใครเดือดร้อนก็ช่วยเหลือกันเป็นธรรมดา แต่เราก็ต้องคิดซะว่าร้านนี้เป็นกิจการของเราเอง ทำงานหนักและทำให้ทุกคนอยู่รอดเพื่อส่วนแบ่งในอนาคต”
ซุนเชียวเฟิงกับหลี่ซิ่วเจินไม่อยากจะเชื่อ “ส่วนแบ่งอะไรเหรอ”
สวี่ชิงอธิบาย “ถ้าทำงานได้ดี ตอนสรุปผลประกอบการสิ้นปีจะได้ส่วนแบ่งกันทุกคนค่ะ ถ้าได้เงินก็จะได้ด้วยกันทั้งหมด”
ว่ากันง่าย ๆ ก็คือโบนัสสิ้นปีนั้นเอง
พวกเธอนึกไม่ถึงว่านอกจากเงินเดือนแล้ว จะยังได้เงินสิ้นปีอีกด้วย
แม้ยังไม่เห็นตัวเงินที่สวี่ชิงบอกว่าจะให้ แต่พวกเธอก็เชื่อว่าต้องได้อย่างแน่นอน
โจวจินหนานเหลือบมองภรรยาข้างกายที่พูดไปยิ้มไป สายตาเปล่งประกายทำให้คนอยากเชื่อใจเธอไปโดยไม่รู้ตัว
เธอยังเข้าใจหลักจิตวิทยาเป็นอย่างดี จึงสามารถนำมาใช้ซื้อใจคนได้เห็นผลชะงัด
คำสัญญากลาย ๆ ของเธอทำให้ซุนเชียวเฟิงกับหลี่ซิ่วเจินยิ่งมุ่งมั่นทำงาน
เมื่อนึกได้เช่นนั้นเขาก็นึกสงสัยอีกครั้งว่าสวี่ชิงรู้เรื่องมากขนาดนี้ได้อย่างไร
หลังซุนเชียวเฟิงคลายความตื่นเต้น เธอก็เริ่มพูดถึงเรื่องเมื่อตอนบ่านและบอกกับเฟิงซูฮวา “คุณน้า เมื่อตอนบ่ายมีคนมาซื้ออาหาร หน้าตาคล้ายสวี่ชิงไม่มีผิด ฉันยังตกใจคิดว่าเป็นแม่สวี่ชิงเลย”
เฟิงซูฮวาตกใจ “ผู้หญิงแบบไหนกัน”
หากแต่ในใจคาดเดาว่าหากคล้ายสวี่ชิงมากขนาดนั้น หรือจะเป็นเย่หนานจริง ๆ
……………………………………………………………………………………………………………………….
(1)หาปลาสามวันตากแหสองวัน = ไร้ความเพียรพยายามอุตสาหะ
(2)แต้มค่าแรง = ระบบเก็บแต้มทำงานของประชาชนเพื่อแลกค่าตอบแทนจากรัฐในช่วงคอมมิวนิสต์ของจีน
สารจากผู้แปล
นั่นน่ะสิ ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นเย่หนานหรือเปล่านะ หรือจะเป็นญาติทางแม่ของชิงชิงเฉยๆ
ไหหม่า(海馬)