เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 138 ทำไมคุณถึงเลือดกำเดาไหล
บทที่ 138 ทำไมคุณถึงเลือดกำเดาไหล?
โจวจินหนานมองเห็นสวี่ชิงจากด้านหลัง รูปร่างเพรียวได้รูปพลิ้วไหวเป็นเกลียวคลื่นอยู่ในความมืดสลัว
ปากของเขาแห้งผากขึ้นมาในทันใด เขารีบก้มหน้าลงเมื่อได้ยินเสียงสวี่ชิงหันกลับมา มือสั่นเทาเล็กน้อย คอยระงับความร้อนที่พุ่งพล่านอยู่ในหัวใจ
สวี่ชิงหันศีรษะกลับมาและไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ แม้แต่ความรู้สึกแปลก ๆ ระหว่างอาบน้ำก็จางหายไปเช่นกัน หลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอซักเสื้อผ้าที่ถูกเปลี่ยน และเปลี่ยนน้ำในอ่างให้โจวจินหนานได้มาชำระล้างร่างกาย
เมื่อเดินเข้ามา เธอก็เห็นโจวจินหนานเอากระดาษทิชชูมาปิดจมูกไว้ ในขณะที่กระทิชชูเปื้อนเลือดสีแดง
“ทำไมถึงเลือดกำเดาไหลล่ะคะ?”
สวี่ชิงตกใจ รีบเดินออกไปเอาน้ำเย็นมาแช่กับผ้าขนหู ซับเข้าที่หน้าผากของโจวจินหนาน
ในใจก็คิดว่าซุปนกพิราบคงจะมีโภชนาการสูงเกินไปกระมัง ถึงได้ให้พลังงานมากขนาดนี้?
เนื่องจากอากาศค่อนข้างร้อน เมื่อดื่มซุปที่ให้คุณค่าทางทางโภชนาการเช่นนี้ อาจทำให้ร่างกายของผู้ชายเป็นหยางและเกิดอาการร้อนจากภายในได้ง่าย
“พรุ่งนี้ฉันจะไปหายาสมุนไพรมาดับซุปนกพิราบ ทำให้มันมีความเป็นกลางขึ้น เอาเม็ดเก๋ากี้ออก ของพวกนี้ทำให้เป็นร้อนในง่าย”
โจวจินหนานไม่พูดอะไร เพียงแต่หลับตาลงระลึกถึงฉากที่ตกอยู่ในภวังค์เมื่อสักครู่นี้ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเรือนร่างบางเบา แต่ก็ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวไม่รู้จบ
ตอนนี้สวี่ชิงอยู่ใกล้เขามาก และกลิ่นหอมที่ลอยเข้ามาแตะจมูกก็ทำให้เลือดลมพลุ่งพล่านอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นสามีภรรยาที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก แต่ตอนนี้เขากลับตื่นตระหนกราวกับเด็กวัยรุ่น ถูกกระตุ้นจนควบคุมหัวใจตนเองไม่ได้
โจวจินหนานกำหมัดแน่น พยายามระงับความคิดชั่วร้ายที่ผุดขึ้นมาในใจอย่างกะทันหัน
ก่อนเข้านอน สวี่ชิงก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่เธอยังไม่ได้บอกโจวจินหนาน ทว่าเธอง่วงเกินไปกว่าจะนึกถึงมัน จึงคิดว่าเดี๋ยวค่อยคิดอีกทีเมื่อจำได้ก็แล้วกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น สวี่ชิงตื่นแต่เช้าเพื่อไปซื้อกระดูกหางวัวที่ตลาด เธอขอให้พ่อค้าขายเนื้อหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ หลังจากนั้นจึงเอากลับมาลวก เติมน้ำร้อน และเคี่ยว
สวี่ชิงเริ่มเตรียมอาหารเช้าขณะที่เคี่ยวกระดูกหางวัว อาหารมื้อเช้ายังคงเป็นซงฮวาปิ่ง*(1)เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือสลัดมันฝรั่งหั่นฝอย เธอไม่มีเวลาเตรียมข้าวต้มมากนัก จึงออกไปซื้อข้าวต้มธัญพืชสองถุง
เมื่อจัดวางอาหารเช้าบนโต๊ะ กลิ่นหอมของกระดูกหางวัวที่เคี่ยวอยู่ในหม้อก็ลอยฟุ้งออกไปทั่วลานบ้าน
สวี่ชิงคีบแผ่นมันฝรั่งให้โจวจินหนาน และพูดว่า “มันฝรั่งล็อตใหม่ใกล้จะมาถึงแล้ว ฉันกำลังคิดจะขุดห้องเก็บผักลึก ๆ ไว้ที่มุมสวน จะได้เก็บมันฝรั่งกับหัวไชเท้าได้เยอะขึ้น”
โจวจินหนานโพล่งออกมาโดยไม่ได้คิดแม้แต่น้อย “ให้เกาจ้านขุดสิ”
สวี่ชิงหัวเราะ “คงจะไม่ดีมั้งคะ ฉันจะไปบอกให้เจิ้งหัวหาคนสองคนมาช่วยขุด แล้วค่อยจ่ายค่าแรงให้พวกเขา จะรบกวนพี่ใหญ่เกาไปซะทุกเรื่องไม่ได้หรอก”
ขณะที่ทั้งคู่กำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ในลานบ้าน เสียงประตูก็ดังขึ้น ผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กหญิงตัวน้อยเข้ามายืนมองสวี่ชิงกับโจวจินหนานอย่างเขินอาย
สวี่ชิงเหลือบมองผู้หญิงคนดังกล่าว และจำได้ว่าเมื่อตอนพวกเธอมาดูบ้านครั้งแรก หญิงคนนี้ก็ได้ไล่ตามเพื่อจะขายบ้านให้แก่เธอ
เธอเช็ดมือ ลุกขึ้นและเดินเข้าไปหา “คุณป้ามีอะไรหรือเปล่าคะ?”
หญิงคนดังกล่าวมองมาที่สวี่ชิงด้วยท่าทางเกรงใจ “ซิ่วซิ่วได้กลิ่นเคี่ยวเนื้อน่ะจ้ะ ฉันก็เลยพาเขามาดู”
สวี่ชิงหรี่ตามองเด็กหญิงตัวน้อย ใบหน้าของเธอดูเหลือง ผอมแห้งราวกับขาดสารอาหาร “พ่อแม่หล่อนไปไหนเหรอคะ?”
หญิงคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “พ่อแม่หล่อนไปที่โนวาสโกเทีย ไปก่อสร้างทางตะวันตกเฉียงเหนือน่ะ”
สวี่ชิงฉลาดมาก เธอมองเห็นความร้อนรนในสายตาของผู้หญิงตรงหน้า ก่อนจะแสยะยิ้ม “ตอนนี้บ้านเรายุ่งมากเลยค่ะ พวกคุณคงต้องออกไปก่อน มานั่งรวมกับพวกเราไม่ได้หรอกค่ะ”
ช่างเป็นผู้หญิงที่ประหลาด ปกติแล้วถ้าพวกเขาพูดแบบนี้ คนส่วนใหญ่จะเชิญชวนพวกเขาให้มาลองชิมอาหารด้วยกัน แต่สวี่ชิงกลับไม่ทำแบบนั้น อีกทั้งยังขับไล่พวกเขา
นางคิดก่อนจะเอื้อมมือมาฉุดกระชากลากถูกซิ่วซิ่ว “นังเด็กนี่มันไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย คิดแต่อยากจะกินเนื้อ”
ซิ่วซิ่วรีบร้องตะโกนโวยวาย “คุณย่า หนูอยากกินเนื้อ หนูอยากกินเนื้อ…”
อีกทั้งยังร้องไห้เสียงดัง
สวี่ชิงยังคงยิ้ม “ถ้าหนูอยากกินเนื้อ ก็ให้คุณย่าฆ่าไก่ที่บ้านให้สักตัวสิจ๊ะ หรือไม่ก็ขายไก่ไปซื้อเนื้อซะ”
ผู้หญิงคนนั้นเห็นสวี่ชิงยิ้ม ทว่าคำพูดของเธอกลับฟังดูไม่แยแส ซึ่งนั่นหมายความว่าเธอจะไม่ให้พวกเขาได้กินเนื้อแม้แต่ชิ้นเดียว นางก็รู้สึกอับอายมากจนลากหลานกลับไป
สวี่ชิงมองดูย่าหลานที่เดินออกไป ก่อนจะนั่งลง หยิบตะเกียบขึ้นมาและถามโจวจินหนานว่า “คุณป้าที่จะขายลานบ้านให้เราน่ะค่ะ หล่อนพาหลานสาวมาขอกินเนื้อ แต่ฉันไม่ให้ คุณคิดว่าฉันทำแบบนี้ดูแล้งน้ำใจไหมคะ?”
โจวจินหนานส่ายหน้า “ไม่หรอก การให้คือความรัก การให้ไม่ใช่หน้าที่ เราไม่ได้ติดหนี้พวกเขา และมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ”
สวี่ชิงมีความสุข ลุกขึ้นยืนและหอมแก้มโจวจินหนานด้วยท่าทางเขินอาย ก่อนจะนั่งลงและยิ้ม “พูดอีกก็ถูกอีก ฉันไม่ใช่องค์กรการกุศลสักหน่อย ฉันจะช่วยเฉพาะคนที่อยากช่วย”
ฉินเสวี่ยเหมยที่อยู่ในช่วงเวลาพักผ่อน วางแผนที่จะมาหาสวี่ชิงตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อมาดูว่าเธอต้องการความช่วยเหลือหรือไม่
ตอนนี้พ่อแม่ของหล่อนได้ยินมาว่าสวี่ชิงกำลังเปิดร้านขายอาหารจานด่วนอยู่ที่สถานีรถไฟ และกิจการกำลังรุ่งเรืองมาก นอกจากนี้เธอกับโจวจินหนานยังมีชีวิตที่ดี พวกเขาจึงไม่ได้ห้ามที่เธอมาพบสวี่ชิง
ฉินเสวี่ยเหมยเดินเข้ามาและพบว่าสวี่ชิงกับโจวจินหนานกำลังรับประทานอาหารเช้ากันอยู่ ก่อนจะมองกลับหน้ากลับหลัง “วันนี้พวกเธอกินข้าวกันสายจัง”
สวี่ชิงยิ้ม “อืม สายพอสมควร”
ฉินเสวี่ยเหมยมองกลับไปที่ประตูอีกครั้ง “ป้าหม่าพาซิ่วซิ่วมาด้วยเหรอ?”
สวี่ชิงพยักหน้า “ไม่รู้สิ แต่เห็นป้าแกเรียกเด็กคนนั้นว่าซิ่วซิ่ว”
ฉินเสวี่ยเหมยเบะปาก “นั่นแหละ คงมาหาข้าวกินอีกตามเคย เธอได้ให้หรือเปล่า?”
สวี่ชิงส่ายหน้า “ไม่ได้ให้ ฉันไม่รู้จักก็เลยไม่ได้ให้กิน”
ฉินเสวี่ยเหมยขยับเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งข้าง ๆ สวี่ชิงและเริ่มซุบซิบ “ไม่ต้องให้น่ะดีแล้ว ถ้าเธอให้เดี๋ยวก็เคยตัว หลังจากนี้คงจะมาขอข้าวที่บ้านเธอบ่อย ๆ ผู้คนในซอยนี้เบื่อจะตายอยู่แล้ว แต่พวกเขาเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่มานานเลยไม่กล้าพูดปฏิเสธกัน”
“ลูกชายป้าแกไปที่โนวาสโกเทียเพื่อหลีกเลี่ยงนโยบานการวางแผนครอบครัว อยากจะมีลูกชายให้ได้ก่อนแล้วค่อยกลับมา เพราะงั้นป้าแกเลยแลกเปลี่ยนอาหารเป็นเงินแล้วส่งไปให้ลูกชายอีกที จากนั้นจึงพาหลานไปตามบ้านเพื่อทำตัวน่าสงสารไปวัน ๆ เอาแต่พูดถึงซิ่วซิ่วจนทุกคนรู้สึกสงสารซิ่วซิ่ว”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว “ฉันอาจจะดูมีน้ำใจ แต่ฉันไม่สงสารคนแบบนี้หรอก”
ฉินเสวี่ยเหมยพยักหน้า “แบบนี้ก็ดี เพราะเธอก็คงไม่รู้หรอกว่าคนพวกนั้นน่าสงสารจริง ๆ หรือแค่แสร้งทำ”
สวี่ชิงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจนัก ในขณะเดียวกันผางเจิ้งหัวก็เข้ามา เธอช่วยเขาเตรียมอาหารและรอจนกว่าหางวัวจะเคี่ยวเสร็จก่อนจึงไปที่ร้าน
หลังจากฉินเสวี่ยเหมยรอจนผางเจิ้งหัวออกไป หล่อนก็ตกตะลึงที่พบว่าโจวจินหนานไม่ได้พันผ้าก๊อซรอบดวงตาอีกต่อไป และเขาก็ดูดีมาก
ถึงสีผิวจะออกเข้ม แต่เครื่องหน้ากลับดูดีกว่าโจวจินซวน
หล่อนแอบชำเลืองมองโจวจินหนาน และตามสวี่ชิงไปที่ห้องครัว “ดวงตาของโจวจินหนานโอเคขึ้นหรือยัง?”
สวี่ชิงส่ายหน้า “ยัง”
ฉินเสวี่ยเหมยคาดไม่ถึง “เขาดูไม่น่ากลัวเลยแฮะ และดูไม่เหมือนคนที่เคยได้รับบาดเจ็บที่ดวงตาเลย เธอคงไม่รู้ใช่ไหมว่าข่าวลือที่แพร่ออกไปมันว่ายังไงบ้าง”
“ว่ายังไงบ้าง?”
ฉินเสวี่ยเหมยลดเสียง “ก็ข้างนอกเขาพูดกันว่าโจวจินหนานสูญเสียตาไปข้างหนึ่ง ตาเป็นหลุมดำใหญ่น่าเกลียดน่ากลัวมาก เพราะงั้นเขาถึงต้องพักผ้าก๊อซยังไงล่ะ!”
………………………………………………………………………………………………………………………..
*(1) ซงฮวาปิ่ง คือแผ่นแป้งที่วางซ้อนทับกันสองแผ่น โดยใส่ต้นหอมซอยไว้ระหว่างแผ่นแป้ง แล้วนำไปทอดให้สุก
สารจากผู้แปล
ขนาดมองเห็นร่างชิงชิงแบบรางๆ พี่ยังอาการหนักขนาดนี้ ถ้าพี่เห็นแบบชัดเต็มตานี่จะไม่ขิตเลยเหรอคะ
ป้าจะมาขอข้าวเปล่าๆ ไม่ได้เด้อ จ่ายตังค์ด้วย
ไหหม่า(海馬)