เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 137 โจวจินหนานมองเห็นไม่ชัด
บทที่ 137 โจวจินหนานมองเห็นไม่ชัด
โจวจินหนานหลับตาลงและลืมตาขึ้นอีกครั้ง ร่างเพรียวบางที่คลุมเครือยังคงปรากฏอยู่ในแสงสีขาว ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเขา
สวี่ชิงสังเกตเห็นความผิดปกติของโจวจินหนาน เธอวางชามลงบนโต๊ะด้านข้าง เอื้อมมือออกไปโบกสะบัดต่อหน้าเขา “คุณมองเห็นไหมคะ?”
โจวจินหนานเม้มปากและส่ายศีรษะ “ไม่ เจ็บนิดหน่อย”
สวี่ชิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “อา ฉันเห็นคุณกระพริบตา นึกว่าจะมองเห็นซะอีก?”
เกาจ้านที่นั่งอยู่ด้านข้างทำตัวไม่ถูก “กระพริบตาเมื่อไหร่? ดูเหมือนว่าจะยังมองไม่เห็นนะ”
สวี่ชิงกลัวว่าโจวจินหนานจะคิดว่าตนเป็นภาระ เธอจึงรับเปลี่ยนหัวข้อ “ซุปพิราบเสร็จแล้วนะคะ ฉันใส่เม็ดเก๋ากี๊กับพุทราที่ช่วยบำรุงร่างกายมาด้วย เอาไว้ฉันจะไปดูที่ร้านขายยาอีกทีว่ามีโสมขายไหม”
เกาจ้านนั่งฟังด้วยความสงสัย “เขาไม่ได้ตั้งท้องสักหน่อย ต้องบำรุงขนาดนี้เลยเหรอ?”
สวี่ชิงกลอกตามองเกาจ้าน “พี่เคยเห็นบ้านใครอยู่เดือนแล้วบำรุงแบบนี้ไหมล่ะคะ? คุณย่าบอกว่าหนอนกู่ดูดเลือดจากร่างกายพี่โจวจินหนานไปมาก ร่างกายจะต้องได้รับการฟื้นฟู”
ตอนอยู่เดือน ไก่ตุ๋นจะทำให้สภาพร่างกายดีขึ้น ข้าวต้มลูกเดือย ตุ๋นไข่ไก่ใส่น้ำตาลทรายแดงก็ไม่เลว นอกจากนี้ยังมีแม่หลายคนที่กินบะหมี่ขาวหนึ่งมื้อต่อวัน
เกาจ้านแตะจมูก “ถึงเวลาที่ต้องฟื้นฟูแล้วสินะ”
สวี่ชิงรอจนซุปอุ่นได้ที่แล้วจึงยื่นไปให้โจวจินหนาน เธอขยับเก้าอี้และนั่งลงข้างเตียง ฉีกเนื้อนกพิราบออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ และป้อนให้โจวจินหนาน เพื่อที่มือของเขาจะไม่ได้ไม่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน
เกาจ้านไม่เคยเห็นด้านนี้มาก่อน และโจวจินหนานก็ให้การตอบรับอย่างดี
สวี่ชิงมองดูโจวจินหนานกินเนื้อนกพิราบและดื่มซุปจนหมด จากนั้นจึงออกไปพร้อมกับถ้วยเปล่า “พี่ใหญ่เกา อยู่กับเขาที่บ้านนะคะ ฉันจะออกไปร้านสักหน่อย”
เกาจ้านโบกมือ “ได้ เธอไปเถอะ ฉันจะอยู่กับเขาเอง”
สวี่ชิงหันไปพูดกับโจวจินหนานอีกครั้ง ก่อนจะออกไป
โจวจินหนานมองดูแผ่นหลังที่พร่ามัวของสวี่ชิง ภาพดังกล่าวเป็นดั่งหมึกสีดำที่ถูกย้อมไปด้วยสายฝน เหลือเพียงแต่เค้าโครงจาง ๆ
ครั้งนี้เกาจ้านสังเกตเห็น และรอจนกระทั่งสวี่ชิงออก เขาจึงมองเข้าไปในดวงตาของโจวจินหนาน “นายมองเห็นใช่ไหม?”
โจวจินหนานมองไปที่เกาจ้านในสภาพคลุมเครือ ก่อนจะค่อย ๆ พยักหน้า “เห็นเป็นแสงสว่างกับเงาที่ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่”
เกาจ้านอุทานเสียงหยาบคาย “ก็แล้วทำไมไม่บอกล่ะ? นี่แม่งเป็นข่าวดีนี่หว่า”
โจวจินหนานส่ายหัว “ฉันจะรอจนกว่าจะมองเห็นได้ชัดเจน ไม่อยากให้สวี่ชิงมีความสุขเก้อน่ะ”
ถึงเกาจ้านจะก่นด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย แต่ดวงตาของเขากลับแดงก่ำไปด้วยความปีติยินดี “นายช่วยพูดอะไรให้มันเป็นมงคลหน่อยสิวะ จะมีความสุขเก้อได้ไง ยังไงก็มองเห็นอยู่แล้ว”
หลังจากพูดจบ เขาก็เริ่มสงสัย “นายบอกว่าเคยเห็นรูปร่างหน้าตาของสวี่ชิงมาก่อน ยังจำได้อยู่มั้ย? ถ้ามองเห็นแล้วเห็นน้องสะใภ้เดินอยู่บนถนน นายจะจำได้ภายในแวบเดียวเลยไหม?”
โจวจินหนานพยักหน้าอย่างหนักแน่น “จำได้”
เกาจ้านยังคงสงสัย “นายเคยเจอสวี่ชิงตั้งแต่เมื่อไหร่? คงไม่ใช่ในตอนนั้นหรอกใช่ไหม?”
โจวจินหนานส่ายหัว “ไม่ใช่”
เกาจ้านอยากรู้มากขึ้น “งั้นเคยเห็นมาก่อนเหรอ? แต่นายไม่ได้ตกหลุมรักหล่อนตั้งแต่แรกพบใช่ไหม?”
โจวจินหนานไม่อยากพูดคุยกับเกาจ้านผู้ซึ่งสงสัยทุกอย่างอีกต่อไป เขาจึงโพล่งออกไปหนึ่งประโยคที่ทำให้อีกฝ่ายหุบปากกะทันหัน “ช่วงนี้พี่สะใภ้เจียงกับเจียงช่านช่านไม่ได้มาตามหานายเหรอ?”
เกาจ้านพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง “ไอ้เวร…”
……
สวี่ชิงกลับไปที่ร้านอาหารด้วยอารมณ์ดี ช่วงเย็นร้านอาหารจานด่วนจะค่อนข้างวุ่นวาย
เธอล้างมือและออกไปช่วยทำอาหาร
ผางเจิ้งหัวที่ทำอาหารอยู่แปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสวี่ชิง “ทำไมมาอยู่นี่ล่ะ? ไม่ไปหาคุณย่าเฟิงเหรอ ทำไมไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนท่าน”
สวี่ชิงยิ้ม “ฉันกลัวว่าพวกนายจะยุ่งน่ะ วันนี้เป็นยังไงบ้าง?”
ผางเจิ้งหัวพยักหน้า “ก็ดี วันนี้คนเยอะกว่าเมื่อวานอีก ฉันว่าเดี๋ยวสองทุ่มก็ขายหมดแล้ว”
สวี่ชิงประหลาดใจ “ทำไมเร็วจัง?”
ผางเจิ้งหัวรู้สึกแปลก ๆ เขารู้สึกว่าวันนี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวเยอะมาก นอกจากนี้ยังมีรถไฟหลายขบวนเข้ามาเปลี่ยนสายในเมืองหลวง ลานจัตุรัสจึงเต็มไปด้วยผู้คน “เธอไม่รู้สึกว่าคนในลานจัตุรัสเยอะกว่าปกติเหรอ?”
สวี่ชิงสังเกตเห็นเช่นนั้นเมื่อเดินทางมา “เยอะ แต่ตอนนี้ฉันสงสัยจัง เห็นมีหลายคนลากกระเป๋าใบเล็กใบใหญ่ เหมือนกับกำลังย้ายบ้านยังไงยังงั้น”
ระหว่างบทสนทนา ผู้ช่วยของสวี่ชิงก็ไม่ได้ทำตัวเกียจคร้าน พวกเขายังคงเดินไปเสิร์ฟอาหาร
ลูกค้าบางส่วนได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง จึงพูดอธิบายให้พวกเขาฟังอย่างกระตือรือร้น “เพราะว่าพวกยุวปัญญาชนที่ไปฝึกฝนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเดินทางกลับเข้ามาในเมืองน่ะ และช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาก็มีผู้โดยสารหลายคนมาเปลี่ยนสายรถไฟที่สถานีนี้”
ลูกค้าอีกคนพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้กลับบ้าน พอได้กลับทีก็รีบร้อนกัน ผมเองก็ไปอยู่เขตโนวาสโกเทียมาเป็นสิบปี คิดถึงบ้านมาก”
ในตอนนั้นเองที่สวี่ชิงเข้าใจได้ว่าการกระจายอำนาจของยุวปัญญาชนได้สิ้นสุดลงแล้ว และยุวปัญญาชนจำนวนมากกำลังเริ่มเดินทางกลับมายังเมือง
ผางเจิ้งหัวรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินเรื่องดังกล่าว รอจนกระทั่งลูกค้าน้อยลงและยุ่งน้อยลง เขาจึงหันไปคุยกับสวี่ชิง “เราต้องเตรียมกับข้าวเพิ่มไหม? จะต้องหุงข้าวเพิ่มหรือเปล่า?”
การหุงข้าวเพิ่มจะต้องใช้หม้อนึ่งถึงสองชั้น
สวี่ชิงคิดอยู่ครู่หนึ่งและส่ายหัว “ยังไม่ต้อง เราอย่าเพิ่งโลภมาก ถึงจะได้เงินมาไม่พอ แต่สุขภาพของเราสำคัญที่สุด รอจนฤดูหนาว ถ้ากิจการเรายังไปได้ดีอยู่ค่อยไปจ้างคนมาเพิ่ม”
ผางเจิ้งหัวไม่เข้าใจ “ฉันได้ยินมาว่าการจ้างคนมากกว่าเจ็ดคนจะกลายเป็นนายทุน ตอนนี้เรามีห้าคนแล้ว”
สวี่ชิงยิ้ม “นายลืมไปแล้วเหรอว่าเราลงทุนร่วมกับสถานี ถึงตอนนี้ทั้งหมดจะถูกนับอยู่ภายใต้ชื่อของทางสถานี เกี่ยวอะไรกับร้านอาหารเล็ก ๆ พวกเรา?”
ผางเจิ้งหัวมองดูสวี่ชิงและยกนิ้วให้ “เธอคิดเรื่องนี้มาแล้วสินะ”
อาหารทุกอย่างถูกขายจนหมดเกลี้ยงภายในเวลาสองทุ่มตามที่ผางเจิ้งหัวคาดการณ์เอาไว้ แม้จะมีข้าวธัญพืชเหลืออยู่บ้าง แต่สวี่ชิงก็ขอให้ซุนเฉียวเฟิ่งกับลี่ซิ่วเจินเอากลับไป
หลังจากคำนวณเงินจึงกลับบ้าน
เมื่อกลับมาถึงบ้าน คนที่ถูกจ้างให้มาล้างและหั่นผักก็กลับไปแล้ว เหลือเพียงเกาจ้านกับโจวจินหนานนั่งอยู่ที่ลานบ้าน
สวี่ชิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ทำไมพี่ยังนั่งอยู่ที่ลานบ้านกันอีกคะ?”
เธอคิดว่าเขาควรนอนพักอยู่บนเตียงเพื่อรักษาอาการป่วย แต่เมื่อมองดูโจวจินหนานที่ไม่ได้พันผ้าก๊อซ นั่งอยู่ภายใต้แสงไฟสลัว เขากลับดูมีเสน่ห์ดึงดูดมากยิ่งขึ้น
เกาจ้านโบกพัดและตบยุง “เขาบอกว่าอยู่แต่ในบ้านมันอุดอู้เกินไป อยากจะมานั่งสูดอากาศข้างนอก แต่ฉันคิดว่าเขาน่าจะอยากมานั่งรอเธอที่ลานบ้านมากกว่า”
สวี่ชิงส่งยิ้มขณะจอดรถจักรยาน เอนตัวเข้าไปมองดวงตาของโจวจินหนานใกล้ ๆ และรู้สึกว่าลิ่มเลือดในตาได้จางลงไปมาก “ต่อจากนี้ไปพี่ออกไปทั้งแบบนี้ได้แล้วนะ ไม่ต้องพันผ้าก๊อซหรอก”
เพราะว่าดวงตาทั้งสองไม่ได้พร่ามัวเหมือนตอนตาบอดอีกแล้ว
เมื่อเกาจ้านเห็นสวี่ชิงกลับมา เขาจึงกล่าวอำลาทางสายตา เหตุผลหลักคือตอนนี้ในสายตาของสวี่ชิงมีแต่โจวจินหนาน และโจวจินหนานก็เอาแต่นึกถึงการกลับมาของสวี่ชิง ส่วนเขาได้กลายเป็นคนไร้ตัวตนอย่างสมบูรณ์แบบ
ช่างเจ็บปวดเสียจริง!
สวี่ชิงคุยกับโจวจินหนานสักพัก ก่อนจะไปเคี่ยวเนื้อในหม้อต่อ และใช้โอกาสว่าง เตรียมน้ำอุ่นเพื่อมาชำระล้างร่างกาย
โจวจินหนานนั่งอยู่ที่เตียง ในมือยังคงถือมีดแกะสลักและวัสดุแกะสลักต่าง ๆ
สวี่ชิงไม่เคยปิดบังโจวจินหนานตลอดช่วงเวลาที่เธออาบน้ำมาก่อน เพราะเขามองไม่เห็น ดังนั้นจึงไม่มีอะไรน่าอาย
แต่เมื่อขัดถูร่างกายกลับรู้แปลกประหลาดอยู่ด้านหลังเสมอ เธอหันกลับมาด้วยความสงสัย และพบเข้ากับโจวจินหนานที่หรี่ตาลงครึ่งหนึ่งกำลังตั้งใจแกะสลักไม้ในมือ
แต่หารู้ไม่ว่ามือของโจวจินหนานที่ถือมีดแกะสลักอยู่กำลังสั่นไหวเล็กน้อย…
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
น่าเห็นใจเกาจ้านเขานะคะ กลายเป็นคนไร้ตัวตนไปซะแล้ว
ไหหม่า(海馬)