เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 136 มองเห็นภาพสวี่ชิงท่ามกลางความพร่ามัว
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80
- บทที่ 136 มองเห็นภาพสวี่ชิงท่ามกลางความพร่ามัว
บทที่ 136 มองเห็นภาพสวี่ชิงท่ามกลางความพร่ามัว
สวี่ชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “นกพิราบที่เป็นพาหะโรคไม่ได้ถูกกำจัดหรือสูญพันธุ์ไปแล้วเหรอคะ? หรือว่ามีสายพันธุ์ที่ไม่ดีปะปนกันอยู่?”
ดวงตาของเกาจ้านกระตุก “เข้าใจแล้ว เธอให้ฉันไปหานกพิราบใช่ไหม ได้ ฉันจะไปหามาให้”
ดวงตาของสวี่ชิงเบิกกว้าง ก่อนจะส่งยิ้ม “ขอบคุณนะคะพี่ใหญ่เกา ซุปนกพิราบดีต่อการปรับเลือดลม คงจะต้องรบกวนพี่หน่อยนะคะ”
เกาจ้านถอนหายใจและออกไปหานกพิราบ
สวี่ชิงต้มน้ำร้อนหนึ่งหม้อเพื่อเทใส่กะละมัง และเอาไปเช็ดตัวให้โจวจินหนาน จากนั้นจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดให้เขาและปล่อยให้เขานอนพักผ่อน
เธอหยิบเสื้อผ้าสกปรกของโจวจินหนานไปซักที่ลานบ้าน
และครุ่นคิดว่าลิ่มเลือดของโจวจินหนานสลายตัวลงไปมาก อีกไม่นานเขาคงจะมองเห็น มันเกิดขึ้นเร็วกว่าชาติที่แล้วมาก พอยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ จู่ ๆ เธอก็นึกขึ้นได้ว่าประจำเดือนไม่มา
เธอหยุดมือที่ถือผ้าเอาไว้ และคิดว่าเธอจะตั้งครรภ์ได้หรือเปล่า?
ลูกน้อยที่พวกเขาเคยสูญเสียไปได้กลับมาแล้วสินะ!
หัวใจของสวี่ชิงเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น วันนี้เธอควรจะให้คุณย่าตรวจชีพจรให้ ถ้าเธอตั้งครรภ์จริง ๆ ต่อจากนี้เธอจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น
…………
ตรงกันข้ามกับความประหลาดใจของสวี่ชิงเมื่อรู้ว่าตนกำลังตั้งครรภ์ ตอนนี้สวี่หรูเยว่กำลังวิตกกังวลอยู่กับลูกในท้อง
ฟางหลานซินถูกสวี่จื้อกั๋วทุบตีจนต้องเข้าพักฟื้นที่โรงพยาบาลเป็นเวลาสองวัน จากนั้นจึงกลับไปพักฟื้นที่บ้านเกิด
ไม่อาจหวนคืนสู่โรงงานซ่อมรถยนต์
สวี่หรูเยว่จึงกลับไปบ้านของฟางคุนพร้อมกับฟางหลานซิน
หวังต้าฉินภรรยาของฟางคุนได้ยินมาว่าฟางหลานซินถูกสวี่จื้อกั๋วทุบตี อีกทั้งยังพาสวี่หรูเยว่กลับมาที่บ้านเกิดโดยไม่มีเงินติดตัวมาสักเฟินเดียว หล่อนจึงเริ่มเสนอหน้า
โดยการเอาแต่เรียกหาฟางคุนที่อยู่บริเวณลานบ้านให้ทำนู้นทำนี้ ไม่ก็ชี้ต้นหม่อนด่าต้นเจดีย์(1)เป็นครั้งคราว “ไม่ทำอะไรแล้วยังมีหน้ามากินข้าวฟรีอีก”
จมูกของฟางหลานซินบอบช้ำ ใบหน้าบวมเป่ง กระดูกซี่โครงหักสองซี่ ทำได้เพียงนอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนแรง จ้องมองเพดานด้วยดวงตาเศร้าหมอง ก่อนจะทำเป็นหูหนวกใส่เสียงตวาดแว้ดๆ ของหวังต้าซิน
สวี่หรูเยว่จ้องเขม็งไปที่หล่อนด้วยความขุ่นเคือง “หวังต้าฉินทำแบบนี้ได้ยังไง ทีตอนมาขอความช่วยเหลือจากบ้านเรากับคุณลุง ยังเลียแข้งเลียขาส่งยิ้มหวานอย่างกับดอกไม้”
ฟางหลานซินไม่พูดอะไร ทว่าดวงตากลับดูโหดเหี้ยมขึ้นเรื่อย ๆ
สวี่หรู่เยวบ่นอุบอิบเมื่อเห็นว่าแม่ไม่พูดอะไร “แม่ เราจะอยู่บ้านคุณลุงกันแบบนี้เหรอคะ?”
ฟางหลานซินค่อย ๆ หันไปหาสวี่หรูเยว่ “ลูกกลับไปบ้านสกุลโจวซะ”
สวี่หรูเยว่ขมวดคิ้ว “ฉันไม่กลับ”
น้ำเสียงของฟางหลานซินแข็งขึ้นเล็กน้อย “ลูกต้องกลับไป คิดหาทางออกให้กับเด็กในท้องหรือยัง? หาวิธีมีอะไรกับโจวจินซวนซะ”
สวี่หรูเยว่ชะงักครู่หนึ่งและสัมผัสหน้าท้อง ถ้าหล่อนไม่กลับไป หล่อนก็ไม่อาจปกปิดมันไว้ได้
ฟางหลานซินพูดเยาะเย้ย “สวี่จื้อกั๋วก็เป็นแบบนี้ มันจะดีได้สักแค่ไหน? ส่วนนังสารเลวสวี่ชิงมันคงสะใจมากแน่ ๆ คอยดูเถอะจะอิ่มอกอิ่มใจได้สักกี่วันเชียว!”
หลังจากพูดจบ หล่อนก็จ้องไปที่สวี่หรูเยว่ “รีบกลับไปซะ แม่จะไม่อยู่ที่นี่นานหรอก ส่วนสิ่งที่หวังต้าฉินทำลงไป! เอาไว้แม่จะมาเอาคืนทีหลัง”
สวี่หรูเยว่เป็นคนเห็นแก่ตัววันยังค่ำ หลังจากฟังคำแนะนำของฟางหลานซิน หล่อนก็รีบเก็บกระเป๋าและกลับไปที่บ้านสกุลโจวในทันที โดยไม่นึกถึงสถานะปัจจุบันของฟางหลานซินที่ไม่มีแม้แต่ปัญญาจะดูแลตัวเอง
ตอนที่สวี่หรูเยว่กลับมาถึงบ้านสกุลโจว เฉินหยิงกับโจวคังอันไม่ได้อยู่ที่นั่น
หลังจากที่เฉินหยิงถูกโจวจินหนานพูดกระทบกระทั่งใส่ นางก็เอาแต่นึกถึงเรื่องดังกล่าวตั้งแต่กลับมา แต่ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดมากเท่านั้น หลานชายที่มีความสำคัญมากที่สุดกำลังเมินเฉยต่อนาง
นางรู้สึกไม่ดีจนกระทั่งตกกลางดึก โจวคังอันจึงถามหาเหตุผลและพาเฉินหยิงไปสงบจิตสงบใจที่บ้านพักของทหารผ่านศึกบนภูเขา
ส่วนโจวเฉิงเหวินยังคงยุ่งอยู่กับการตรวจวิทยานิพันธ์ของนักเรียนในสำนักงาน ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อน แต่เขาก็ไม่ได้พักผ่อน
เหลือเพียงแต่ซูฮุ่ยหรูกับโจวเฉิงเฉียนในบ้าน ในขณะที่โจวจินซวนต้องพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บและไม่สามารถออกมาจากห้องนอนได้
เหยียนเฉียวอวี้จ้องมองสวี่หรูเยว่ด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามทันทีที่เจอหล่อน “หรูเยว่ กลับไปบ้านแม่ซะนานเชียวนะ มีอะไรหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้นที่บ้านแม่เธอเหรอ?”
สวี่หรูเยว่เมินเฉยต่อเหยียนเฉียวอวี้ ร้องทักทายซูฮุ่ยหรูว่าแม่หนึ่งครั้ง และมุ่งหน้าไปที่ห้องนอน
ซูฮุ่ยหรูมองสวี่หรูเยว่ด้วยสายตาดูถูก ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ไม่ต้องการเสียหน้าต่อหน้าเหยียนเฉียวอวี้ จึงยิ้มตอบรับอย่างไม่เต็มใจนัก
ในใจคิดอยากจะให้โจวเฉิงเฉียนกับเหยียนเฉียวอวี้กลับออกไปสักที ทั้งสองอยู่มานานและไม่มีทีท่าว่าจะออกไป
โจวเฉิงเฉียนมองดูซูฮุ่ยหรูขณะคาบบุหรี่ไว้ในปาก “เธอกับจินหนานเป็นยังไงบ้าง? พี่สะใภ้ได้แนะนำให้เธอทำอาหารที่เขาชอบไปส่งไหม?”
เหยียนเฉียวอวี้ชอบดูความสนุก “ใช่ วันนั้นเธอต้มซุปปลาไม่ใช่เหรอ ทำไมความสัมพันธ์ยังไม่ดีขึ้นอีกล่ะ?”
ซูฮุ่ยหรูขมวดคิ้ว ไม่สนใจคำถามของเหยียนเฉียวอวี้
ทว่าเหยียนเฉียวอวี้ไม่ยอมแพ้ “ฮุ่ยหรู เกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับจินหนาน? ฉันจะบอกอะไรให้นะ จินหนานน่ะไร้เดียงสาจะตายไป เขาจะกล้าโกรธเคืองแม่ตัวเองได้ยังไง? เธอก็เห็นว่าพวกเราอยู่ที่นี่มานานแล้ว เขาพาลูกสะใภ้กลับมาแค่ครั้งเดียวเอง”
“แต่งงานกับลูกสะใภ้ก็เหมือนการให้ลูก เราอยู่ที่นี่ มีลูกสะใภ้ใหม่คนไหนก้าวข้ามประตูแล้วไม่เข้าไปม้วนเส้นบะหมี่ทำอาหารในครัวตั้งแต่วันแรกบ้าง ให้เขาพาลูกสะใภ้กลับมาบ้างน่าจะดีกว่านะ หรืออย่างน้อยมาในฐานะแขกรับเชิญก็ได้”
สีหน้าของซูฮุ่ยหรูเปลี่ยนไป หล่อนพยายามจะสงบสติอารมณ์ของตนเอง “ตอนนี้สวี่ชิงกำลังยุ่งอยู่ รวมถึงต้องดูแลจินหนาน ถ้าพวกเขาไม่กลับมาก็คือไม่กลับมา พวกเราไม่ต้องไปจู้จี้นักหรอกค่ะ”
เหยียนเฉียวอวี้ถอนหายใจ “อย่างนั้นเหรอ? เห็นพี่ใหญ่บอกว่าดูพวกเธอสองแม่ลูกห่างเหินกัน ฉันก็ขี้เกียจจะพูดมากนะฮุ่ยหรู แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนไปมาก พูดอะไรไม่เป็นจริงสักอย่าง”
ซูฮุ่ยหรูขมวดคิ้ว “ฉันพูดไม่เป็นจริงตรงไหน? พี่สะใภ้ใหญ่ พี่จะให้ฉันพูดออกมาให้ได้เลยใช่ไหมว่าจินหนานกับฉันไม่ถูกกัน ต่อให้ชีวิตนี้ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แบบนี้ใช่ไหมพี่ถึงจะมีความสุข”
เหยียนเฉียวอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองโจวเฉิงเฉียน “คุณดูสิคะว่าหล่อนเป็นยังไง เราเป็นครอบครัวเดียวกันแท้ ๆ แต่กลับมองฉันในแง่ร้าย โชคดีที่หล่อนยังจำได้ว่าจินหนานชอบกินซุปปลา นอกนั้นจะจำอะไรได้อีก?”
ซูฮุ่ยหรูลุกขึ้นด้วยใบหน้ามืดหม่น ไม่ต้องการจะสนทนากับโจวเฉิงเฉียนและเหยียนเฉียวอวี้อีกต่อไป
……
ขณะที่สวี่ชิงกำลังเคี่ยวซุปนกพิราบอยู่ในครัว เกาจ้านได้ใช้โอกาสนี้เข้าไปบอกโจวจินหนานเกี่ยวกับสิ่งที่เขาคาดเดา
“ฉันส่งคนไปสอบสวนโจวเฉิงเฉียนแล้ว ไม่รู้ว่าเรื่องซุปปลาเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า แต่เมื่อไม่นานมานี้ ยกเว้นอาหารที่สวี่ชิงเอาให้นาย ไม่มีใครกินมันเลย”
โจวจินหนานเอนศีรษะพิงขอบเตียง ท่าทางของเขายังคงดูอ่อนเพลียมาก ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ต้องพันผ้าก๊อซอีกต่อไป แม้ว่าใบหน้าเขาจะดูป่วย แต่ก็ยังดูดีเป็นพิเศษ
ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย “โจวเฉิงเฉียนติดต่อกับใครในเมืองหลวงบ้างหรือเปล่า?”
เกาจ้านเกาหัว “ลูกพี่ ฉันเพิ่งไปตรวจสอบมาวันนี้ยังไม่ได้ข่าวอะไรมากนัก แต่ถ้าไม่มีอะไรนายอย่ากลับไปเลย ต่อให้ฟ้าถล่มก็อย่ากลับไปที่นั่นอีก”
โจวจินหนานเม้มปากและไม่พูดอะไร ดวงตาของเขาเริ่มแสบร้อนครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาหลับตาและเอนตัวพิงกำแพง อดทนต่อความเจ็บปวดที่พุ่งเข้ามาราวกับเข็มทิ่มแทง
เฟิงซูฮวากล่าวไว้ว่ายิ่งใกล้จบลงมากเท่าใด ก็ยิ่งเจ็บปวดและทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
เกาจ้านรีบปิดปากทันทีที่เห็นสวี่ชิงเดินเข้ามาพร้อมกับถ้วยซุป
โจวจินหนานต้านทานความเจ็บปวดและพยายามลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่ใกล้เข้ามา แสงสว่างดูพร่ามัวเล็กน้อย เผยให้เห็นรูปร่างผอมเพรียวที่กำลังเปิดม่านเข้ามา…
…………………………………………………………………………………………………………………………
(1)指桑骂槐 เป็นสำนวน แปลว่าทำอะไรเป้าหมายไม่ได้ก็ลงมือกับคนอื่นหวังให้กระทบไปถึงคนนั้น ตรงกับสำนวนไทยว่าตีวัวกระทบคราด
สารจากผู้แปล
พี่หนานจะมองเห็นแล้วววว แถมชิงชิงก็รู้ตัวแล้วว่ามีลูก ต่อไปจะเป็นยังไงเนี่ย
ไหหม่า(海馬)