เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 135 รักษาโรคร้ายแรง
บทที่ 135 รักษาโรคร้ายแรง
เฟิงซูฮวามองดูมือของโจวจินหนานที่กำเข้าหากันแน่น เส้นเลือดสีเขียวปูดขึ้นมาบนหน้าผาก ร่างกายสั่นเทาราวกับไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ก่อนจะพูดกับเขาว่า “จินหนาน เธอคือคนที่ทำร้ายชิงชิงใช่ไหม?”
กำปั้นของโจวจินหนานคลายออก และความหงุดหงิดในใจก็ผ่อนคลายลง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ผมขอโทษ”
เฟิงซูฮวาส่ายหัว “ไม่ต้องมาขอโทษย่าหรอก ย่ารู้ว่าเธอไม่มีทางเลือกอื่น จากนั้นไปดูแลชิงชิงให้ดีล่ะ”
โจวจินหนานอดกลั้นต่อความเจ็บปวดและพยักหน้า “ผมจะดูแลหล่อนให้ดี ตราบเท่าที่จะทำได้ ผมจะดูแลหล่อนตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่ และจะไม่ทำให้หล่อนต้องผิดหวัง”
เฟิงซูฮวาจ้องไปที่ท้องปูดโปนของหนอนกู่ที่กำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถ้าจะปิดบังก็ต้องปิดบังกับชิงชิงไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ แต่ถ้าจะบอกหล่อนก็รีบบอกตั้งแต่เนิ่น ๆ ซะ เด็กนั่นดูคุยง่ายก็จริง แต่หัวรั้นเข้ากระดูก ย่าไม่อยากให้พวกเธอทั้งสองต้องขัดแย้งกัน”
โจวจินหนานนิ่งเงียบขณะที่ความหงุดหงิดในใจได้จางหายไป แต่เมื่อนึกถึงความสิ้นหวังหลังจากสารภาพกับสวี่ชิง หัวใจของเขาก็ปวดร้าวขึ้นมาอีกครั้ง
เฟิงซูฮวาถอนหายใจ “พวกเธอสองคนขมขื่นกันมามาก ชิงชิงเป็นเด็กที่มีเหตุผล จะต้องคิดหาทางออกได้แน่”
โจวจินหนานดูไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดในร่างกายสักนิด หลังจากฟังคำพูดของเฟิงซูฮวา เขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง “คุณย่า หลังจากดวงตาผมหายดี ผมจะสารภาพกับชิงชิงครับ…”
เฟิงซูฮวาไม่พูดอะไร เพียงแต่จ้องมองไปที่ตัวบวมเป่งของหนอนกู่ มันดูดเลือดจากร่างกายของโจวจินหนานมามาก จนลำตัวสีเขียวกลายเป็นสีโปร่งใส สามารถมองเห็นเลือดสีแดงจากด้านใน
…………
สวี่ชิงรอคอยมานาน และในที่สุดประตูก็เปิดออก เฟิงซูฮวาส่งยิ้มขณะเดินออกมาพร้อมกับไม้เท้า
สวี่ชิงกับเกาจ้านลุกขึ้นและเดินไปหาอย่างว่องไว ทั้งสองแทบจะพูดขึ้นพร้อมกันว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
เมื่อเห็นท่าทางวิตกกังวลของสวี่ชิงกับเกาจ้าน เฟิงซูฮวาก็ยิ้มและโบกมือ “ไม่เป็นไร ปล่อยให้เขาพักเอาแรงอีกสักหน่อย ชิงชิงออกไปซื้อเนื้อมาเคี่ยวไป โจวจินหนานจะได้ตื่นขึ้นมากิน เขายังต้องบำรุงร่างกาย”
สวี่ชิงรีบวิ่งเหยาะ ๆ ออกไปซื้อเนื้อเมื่อได้ยินดังนั้น
หลังจากที่สวี่ชิงออกไป เฟิงซูฮวาก็หันไปมองเกาจ้านด้วยท่าทางจริงจัง “ตอนนี้มันยังไม่เป็นปัญหาใหญ่อะไร เพียงแต่ร่างกายของเขาอ่อนแอมาก ดวงตาเขาจะค่อย ๆ มองเห็น เธอจะต้องคอยจับตาดูเขาให้ดี อย่าให้ใครมาวางพิษใส่เขาอีก ถึงตอนนั้นเทพเซียนที่ไหนก็ช่วยไม่ได้”
เกาจ้านพยักหน้าอย่างจริงจัง “ผมจะจับตาดูให้ดีครับ”
เฟิงซูฮวาโบกมือ “เธอเอาใจใส่ก็ดี แต่ไม่ต้องให้ชิงชิงรู้ล่ะ ให้รู้แค่ว่าพวกเราเป็นคนธรรมดาต่อไป ไม่ต้องมาเข้าใจหน้าที่การงานของพวกเรา รู้แล้วจะเป็นกังวลเสียเปล่า ๆ”
สวี่รีบวิ่งออกไปบนท้องถนน และซื้อขาแกะกลับมาที่บ้าน ลูกแกะตัวนี้เติบโตขึ้นมาบนทุ่งหญ้าและไม่เคยถูกขุนมาก่อน ถึงจะไม่อวบอ้วนแต่เนื้อกลับนุ่มอร่อย
เดิมทีเธอต้องการจะซื้อเนื้อวัว แต่เนื้อวัวส่วนใหญ่ที่ถูกนำมาขายในตลาดล้วนเป็นวัวแก่ที่ไม่สามารถไถนาได้ ต่อให้นำมาเคี่ยวเป็นเวลานานก็ไม่สามารถกัดเนื้อจนยุ่ยได้อยู่ดี
เธอจึงกลับมาบ้านพร้อมกับขาแกะ และบังเอิญพบเข้ากับคุณอาผางแม่ของผางเจิ้งหัว อีกฝ่ายยืนกรานที่จะลากสวี่ชิงออกมาคุยสักพัก “ชิงชิง วันนี้กลับไปหาคุณย่าเหรอ?”
ตอนนี้หล่อนรู้ว่าลูกชายกับสวี่ชิงเป็นหุ้นส่วนทำธุรกิจร่วมกัน และกิจการค่อนข้างดี ถึงกับชวนเชียวเฟิ่งและซิ่วเจินไปทำงานด้วย
และทันทีที่รู้ว่าลูกชายตนมีความสามารถเป็นถึงเจ้าคนนายคน หล่อนก็อยากจะขอบคุณสวี่ชิงมาก พอเห็นเธอรู้สึกชื่นชมขึ้นมาทันใด
สวี่ชิงที่รีบกลับไปเคี่ยวเนื้อจึงส่งยิ้มตอบรับ “ค่ะ กลับไปหาคุณย่า คุณอาผาง ถ้าไม่มีอะไรฉันขอตัวก่อนนะคะ”
แต่คุณอาผางกลับหยุดเธอไว้ “เดี๋ยวก่อน นี่ยังเพิ่งเที่ยงเอง อาขอเวลาเธอหน่อย มีเรื่องจะคุยด้วยน่ะจ้ะ”
สวี่ชิงหยุดนิ่ง “มีอะไรเหรอคะ?”
คุณอาผางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “อามีเรื่องจะรบกวนหนูหนึ่งอย่าง อากำลังหาคนมาเป็นคู่ขึ้นทะเบียนสินค้าเกษตรเชิงพาณิชย์ให้กับผางเจิ้งหัวน่ะ”
หมู่บ้านฮวยซู่อยู่ใกล้กับเมืองเอกมณฑลมาก แค่มีสะพานมากั้นไว้เท่านั้น ด้านหนึ่งของสะพานเป็นประชาชนที่บริโภคสินค้าเกษตรเชิงพาณิชย์ ส่วนหมู่บ้านฮวยซู่ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งล้วนเป็นชาวนา
สวี่ชิงรู้ดีว่าอีกไม่นานเกินรอเมืองหลวงจะเริ่มขยายตัวเป็นครั้งแรก หมู่บ้านฮวยซู่จะถูกจัดอยู่ในขอบเขตของการฟื้นฟู และจะกลายเป็นมหานครแห่งสินค้าเกษตรเชิงพาณิชย์
แต่ถ้าคุณอาผางมาบอกเธอในตอนนี้ เธอคงจะไม่เชื่อ เธอจึงพยักหน้าและยิ้ม “ได้ค่ะ ฉันจะกลับไปลองหาดู เผื่อจะเจอใครที่เหมาะสมกับผางเจิ้งหัว ตอนนี้ผางเจิ้งหัวยอดเยี่ยมมาก ไม่ต้องกังวลเรื่องหาคู่หรอกค่ะ”
คุณอาผางยิ้มแย้ม “ต้องขอบคุณเธอมากจริง ๆ ขอบคุณที่พาเจิ้งหัวไปทำงานด้วย ทีหลังถ้าบ้านหนูมีเรื่องอะไร ขอแค่เธอบอกมา ถ้าอาช่วยได้อาก็จะช่วยแน่นอนจ้ะ”
สวี่ชิงยิ้มและพูดคุยอีกสักพักหนึ่ง ก่อนจะรีบเอาเนื้อกลับไปเคี่ยวที่บ้าน
คุณอาผางไม่ได้หยุดเธออีกต่อไป และกำชับสวี่ชิงให้ตามหาคนเมื่อใดก็ได้ที่ว่างจะตามหา
สวี่ชิงที่รีบกลับมาเห็นเกาจ้านกับเฟิงซูฮวานั่งคุยกันอยู่ใต้ซุ้มต้นองุ่น เธอพูดทักทายและรีบเข้าไปเตรียมน้ำเคี่ยวเนื้อในห้องครัว
เธอต้มเนื้อแกะด้วยไฟแรง และเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ นานกว่าหนึ่งชั่วโมง
สวี่ชิงคอยระงับความรู้สึกที่อยากจะเข้าไปหาโจวจินหนานหลายต่อหลายครั้ง เธอหยิบถ้วยใส่เส้นบะหมี่ขึ้นมา ยืดเส้นบะหมี่จนบาง เทซุปเนื้อแกะลงไป และโรยต้นกระเทียมหนึ่งกำมือลงไปเพื่อให้ส่งกลิ่นหอม
หลังจากเส้นบะหมี่ถูกคลี่ออก เฟิงซูฮวาก็เดินเข้ามาเรียกสวี่ชิงให้เข้าไปดู
สวี่ชิงไม่แม้แต่จะล้างมือ เธอเช็ดมือลวก ๆ กับผ้ากันเปื้อนสองสามครั้ง และรีบเข้าไปในห้องที่โจวจินหนานอยู่
โจวจินหนานรู้สึกนึกไม่ถึงว่ามันจะใช้เวลายาวนานราวสามถึงสี่ชั่วโมงจนเขารู้สึกว่าน้ำหนักลดฮวบลงไปมาก ไม่มีผ้าก๊อซปิดอยู่ที่ดวงตา และลิ่มเลือดด้านในก็ถูกจำกัดออกไปจนเบาบางลงแล้ว
ใบหน้าของเขากลายเป็นสีเหลืองราวกับกระดาษ เป็นเหมือนผู้ป่วยที่เพิ่งหายจากโรคร้ายแรง
สวี่ชิงรู้สึกเป็นกังวลมาก เธอนั่งลงข้าง ๆ โจวจินหนาน เอื้อมมือออกไปจับมือเขา และเห็นว่าเสื้อของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ราวกับคนที่เพิ่งโผล่ขึ้นมาจากเหนือน้ำ
“มีตรงไหนที่รู้สึกอึดอัดไหมคะ?”
โจวจินหนานส่ายหน้า ตอบรับด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ไม่ สบายกว่าที่คิด”
สวี่ชิงยังคงเป็นกังวล “เดี๋ยวอีกสักพักฉันจะไปถามคุณย่าว่ากินนกพิราบได้ไหมนะคะ ฉันจะออกไปซื้อนกพิราบตุ๋นให้”
โจวจินหนานตอบรับด้วยการจับมือสวี่ชิง และพูดเบา ๆ “ขอบคุณนะ ชิงชิง”
สวี่ชิงตกใจ “ทำไมจู่ ๆ คุณถึงสุภาพขึ้นมาล่ะคะ? ยังไงซะพวกเราเป็นสามีภรรยากัน ฉันเคี่ยวเนื้อแกะกับทำบะหมี่มาให้ คุณกินเยอะ ๆ นะจะได้หายไว ๆ”
หลังจากโจวจินหนานกินเนื้อแกะชิ้นใหญ่ และบะหมี่อีกหนึ่งด้วย สีหน้าของเขาก็ดูอ่อนลงไม่น้อย
สวี่ชิงอยากจะพาโจวจินหนานกลับไปพักผ่อน เพื่อที่ในตอนเย็นเธอจะได้ทำซุปบำรุงร่างกายให้เขา เธอจึงขอให้เฟิงซูฮวากลับไปด้วยกัน “คุณย่า จะกลับไปกับพวกเราไหมคะ?”
เฟิงซูฮวาโบกมือปฏิเสธ “ยังต้องอยู่ต่ออีกสักสองวัน พวกเธอไปกันก่อนเถอะ วันที่สามค่อยให้เกาจ้านมารับย่า”
สวี่ชิงไม่ได้ถามอะไรต่อ ก่อนจะพาโจวจินหนานไปขึ้นรถกับเกาจ้าน เธอรู้สึกว่าตอนนี้โจวจินหนานเป็นเหมือนกับเส้นบะหมี่นุ่ม แต่ละย่างก้าวไม่มั่นคงนัก
หลังจากกลับถึงบ้าน สวี่ชิงขอให้โจวจินหนานพักผ่อน และพูดคุยกับเกาจ้านถึงสถานที่หาซื้อนกพิราบ “ไม่รู้ว่ามันจะมีขายในตลาดไหมน่ะค่ะ แต่ฉันจำครั้งก่อนที่ไปหาไป๋หลางที่สถานรับเลี้ยงสุนัขได้ ที่นั่นมีนกพิราบเยอะเลย”
เกาจ้านมองดูสวี่ชิงอย่างเหลือเชื่อ “เธอคงไม่ได้คิดจะจับเอานกพิราบพวกนั้นใช่ไหม? นกพิราบพวกนั้นเป็นพาหะนำโรคนะ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
จิกเท้ารอเลยค่ะ ตาพี่หนานกลับมามองเห็นเมื่อไหร่ก็เป็นเวลาสารภาพบาปแล้ว
ไหหม่า(海馬)