เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 128 โจวจินหนาน นายคิดน้อยเกินไป
บทที่ 128 โจวจินหนาน นายคิดน้อยเกินไป
สวี่ชิงรู้สึกเสียใจเมื่อมองไปที่หญิงสาวตรงหน้า เธอรู้สึกคุ้นเคยมาก โดยเฉพาะรอยยิ้มของอีกฝ่าย ลักยิ้มเล็ก ๆ บริเวณมุมปากทำให้เธอประทับใจมากขึ้น
แต่ก็ยังจำไม่ได้ว่าคนคนนี้คือใคร
ฉินเหมียวเหมียวนึกไม่ถึงว่าร้านอาหารเล็ก ๆ จะมีของอร่อยมากมาย อีกทั้งยังมีซุปถั่วเขียวเย็นแจกฟรี โดยปกติแล้วซุปถั่วเขียวเย็นจะถูกขายอยู่ในราคาถ้วยละสองเฟิน และไม่ได้มีรสชาติที่หวานเลี่ยนมาก
หล่อนอารมณ์ดีขึ้นหลังจากได้กินของอร่อย จึงหันมาสนใจเรื่องซุบซิบของสวี่ชิงต่อ
หล่อนถือซุปถั่วเขียวและส่งยิ้มให้สวี่ชิง “คุณคือเจ้าของร้านใช่ไหมคะ?”
สวี่ชิงยิ้มและพยักหน้า “ใช่ค่ะ เป็นยังไงบ้างคะ?”
ฉินเหมียวเหมียวชมเชยด้วยการยกนิ้วโป้งขึ้นมา “เป็นผัดมะเขือที่อร่อยที่สุดเท่าที่ฉันเคยกินมาเลยค่ะ ผัดมะเขือร้านอื่นมักจะออกหวานแล้วก็ผัดจนน้ำมันเยิ้ม”
ถึงแม้ว่าช่วงต้นปีจะไม่สามารถหาซื้อน้ำตาลทรายขาวได้ด้วยคูปองน้ำตาล แต่มันก็เป็นสินค้าขายดีที่หาซื้อได้ยาก
สวี่ชิงยิ้ม “ถ้าชอบก็แวะมาที่นี่บ่อย ๆ นะคะ เดี๋ยวต่อไปจะมีอาหารอร่อย ๆ อีกเยอะแยะเลยค่ะ”
ฉินเหมียวเหมียวพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ได้ค่ะได้ อร่อยกว่าอาหารที่คณะศิลปกรรมของเราอีกค่ะ”
สวี่ชิงประหลาดใจ “คุณทำงานในคณะศิลปกรรมเหรอคะ?”
ฉะนั้นหล่อนจะต้องรู้จักกับฟ่านเจี๋ยใช่ไหม?
ฉินเหมียวเหมียวรู้สึกอายเล็กน้อย “อืม ฉันไม่ได้มีหน้าที่สำคัญอะไรในคณะศิลปกรรมหรอกค่ะ”
หุบปากก็ไม่ได้ อดทนต่อความทุกข์ทรมานในการฝึกก็ไม่ได้ นอกจากนี้ร่างกายยังไม่เพรียวและอ่อนช้อยพอ
หลังจากพูดกับสวี่ชิงอีกสองสามคำ ฉินเหมียวเหมียวก็จากไปอย่างมีความสุข
สวี่ชิงรอจนกว่าฉินเหมียวเหมียวจะออกไป และคิดว่าพวกเธอรู้จักกันในชาติที่แล้วหรือไม่?
หรือเป็นเพราะว่าเกิดใหม่ ถึงได้ลืมไปสนิท?
ยิ่งไปกว่านั้น ความทรงจำในชาติก่อนของเธอก็เลือนรางมากขึ้นเรื่อย ๆ มีหลายคนและหลายสิ่งที่ต้องครุ่นคิดอย่างหนัก
โจวจินหนานไม่ได้พูดอะไรเมื่อเห็นสวี่ชิงผละออกมาจากฉินเหมียวเหมียว และเริ่มสงสัยอยู่ในใจว่าสวี่ชิงจะยังโกรธที่เขาแบกฟ่านเจี๋ยขึ้นหลังเมื่อครั้งยังเด็กอยู่หรือไม่?
หลังจากคิดเรื่องนี้ เขาก็ไม่กล้าปริปากพูดกับสวี่ชิง เพราะกลัวว่าเธอจะยังโกรธอยู่
ตลอดช่วงบ่าย สวี่ชิงยุ่งอยู่กับงานจนไม่ได้คิดเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับฉินเหมียวเหมียว หรือคิดถึงเหตุผลที่พวกเธอรู้จักกันต่อ มัวแต่ง่วนอยู่กับงานทั้งวัน
จวบจนจะสามทุ่ม เธอเห็นว่าโจวจินหนานยังคงนั่งอยู่บนม้านั่งข้างประตู ขณะที่ไป๋หลางนอนอยู่บนพื้นพร้อมกับคิ้วที่ลู่ลง ทั้งคนทั้งสุนัขช่างดูน่าสงสารยิ่งนัก
สวี่ชิงยิ้มและเดินเข้ามาหา “คุณไม่กลับไปพร้อมคุณย่าและคุณอาเชียวเฟิ่งล่ะคะ”
โจวจินหนานส่ายหัว “ไม่ ผมจะกลับบ้านด้วยกันกับคุณ”
คำว่ากลับบ้านด้วยกันทำให้สวี่ชิงรับรู้ได้ถึงความอบอุ่น เธอแอบจับมือเขา และเกาฝ่ามือเขา “งั้นคุณรอฉันแป๊บนะ”
หลังจากทำความสะอาดกับหลี่ซิ่วเจินและผางเจิ้งหัวแล้ว เธอก็ไปคิดบัญชีกับซุนเถียน โยนเงินใส่กระเป๋าและเรียกโจวจินหนานกลับบ้าน
เมื่อผางเจิ้งหัวเห็นสวี่ชิงกับโจวจินหนานจะเดินกลับไปด้วยกัน เขาก็รีบพาหลี่ซิ่วเจินออกไปก่อน
สวี่ชิงจูงจักรยานออกมา และตบเบาะ “มาสิ ฉันจะพาคุณไปส่งบ้านเอง”
โจวจินหนานยืนนิ่ง “คุณไม่ได้บอกให้ผมพาไปส่งบ้านเหรอ? ล็อกรถจักรยานเอาไว้ที่ร้านเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมจะขอให้เกาจ้านมาเอาไปส่งให้”
สวี่ชิงไม่คาดคิดว่าโจวจินหนานจะยังจำเรื่องนั้นได้ ถึงเธอจะทำอะไรไม่ได้ถูกแต่กับมีความสุข “ฉันจะให้คุณแบกหลังฉันขึ้นหลังได้ยังไงเล่า อีกอย่างฉันไม่อยากรบกวนเกาจ้านด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หรอก”
โจวจินหนานยังคงยืนนิ่ง เห็นได้ชัดว่าความหวาดระแวงที่ถลำลึกลงไปในกระดูกได้ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
สวี่ชิงจึงรีบพูดขึ้นว่า “ฉันมีเรื่องบางอย่างที่อยากให้พี่ขอความช่วยเหลือจากเกาจ้าน งั้นเรามาเดินไปคุยไปดีไหม วันนี้พระจันทร์นวลสวย เหมาะกับการเดินเล่นมากจริงๆ”
นี่เป็นครั้งแรกที่โจวจินหนานได้ยินคำร้องขอความช่วยเหลือจากสวี่ชิง ก่อนจะจูงไป๋หลางไปเดินข้างสวี่ชิงเงียบ ๆ “ไปกันเถอะ เกิดอะไรขึ้น”
สวี่ชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ฉันอยากให้เกาจ้านช่วยตามหาแม่ให้หน่อย อยากรู้จังว่าแม่กับพ่อฉันมาอยู่ด้วยกันได้ยังไง คุณคิดดูสิว่าถ้าแม่ฉันเป็นลูกสาวของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่จริง ๆ แม่จะหันมามองคนอย่างพ่อได้ยังไง?”
จากบุคลิก ภาพลักษณ์และความสามารถของสวี่จื้อกั๋ว ไม่มีอะไรโดดเด่นสักอย่าง
ถึงจะเก่งเรื่องประจบสอพลอ แต่นี่ไม่อาจเป็นข้อได้เปรียบ
โจวจินหนานไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงแต่พยักหน้า “ได้”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว “แต่เรื่องมันก็ผ่านไปนานแล้ว ไม่รู้พอจะหาเบาะแสได้ไหม”
โจวจินหนานคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องยาก “ตราบใดที่เรามีแฟ้มสืบสวนของสวี่จื้อกั๋ว รู้สถานที่ที่เขาใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่น เราก็สามารถตรวจสอบรายละเอียดจากอดีตได้ แต่ข้อมูลอาจจะไม่ได้ละเอียดนัก”
สวี่ชิงรู้ว่าแค่นี้ก็พอแล้ว “รู้มากเท่าไหร่ก็เท่านั้น ฉันไม่รีบหรอกค่ะ”
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันอย่างช้า ๆ สักพักโจวจินหนานก็ถามขึ้นว่า “ตอนคุณยังเด็ก เขาปฏิบัติต่อคุณดีไหม?”
สวี่ชิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง และตระหนักได้ว่าที่โจวจินหนานถามเธอเกี่ยวกับสวี่จื้อกั๋วน่าจะเป็นเพราะเขาได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้หรือไม่? หลังจากคิดอยู่สักพักหนึ่ง เธอก็พูดออกมาอย่างสบาย ๆ ว่า “ตอนเป็นเด็กก็ไม่มีอะไรมาก เขาไม่ค่อยได้กลับบ้านหรอกค่ะ แต่เมื่อไหร่ที่กลับบ้านมา เขาจะซื้อคุกกี้วอลนัทสองชิ้นกลับมาด้วยตลอด แบ่งให้ฉันกับสวี่หรูเยว่คนละชิ้น ถ้าวันไหนที่บ้านกินไก่ ฉันกับสวี่หรูเยว่จะได้กินน่องไก่คนละน่อง”
หลังจากอายุสิบสามถึงสิบสี่ปี สวี่จื้อกั๋วก็ไม่ได้สนิทกับเธอเหมือนกับตอนเป็นเด็กอีก
ส่วนที่ว่าเขาทำดีต่อสวี่หรูเยว่หรือไม่ เธอไม่ได้สนใจ
จากความคิดของเธอ อาจเป็นเพราะเมื่อลูกสาวโตขึ้นก็ควรเว้นระยะกับพ่อ โดยปกติแล้ว ฟางหลานซินจะเป็นคนจัดแจงชีวิตเธอกับสวี่หรูเยว่
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น!
โจวจินหนานไม่ได้พูดอะไร และเดินตามสวี่ชิงกลับบ้านเงียบ ๆ
ระหว่างทาง ทั้งสองพูดเกี่ยวกับร้านอาหารเล็กน้อย จนไม่รู้ตัวว่าใกล้จะถึงบ้าน
ซุนเชียวเฟิ่งยุ่งอยู่กับการล้างและหั่นผัก และตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการล้างผัก
เกาจ้านโน้มตัวลงมาล้างมือกับก๊อกน้ำ และเหลือบเห็นโจวจินหนานที่กำลังเดินกลับมา ก่อนจะบ่นเสียงดังว่า “นายบอกให้ฉันมาหา แต่ไม่ยอมกลับบ้านมาเนี่ยนะ แถมคนพวกนี้ยังมาใช้แรงงานฉันอีก”
สวี่ชิงรู้สึกผิดเล็กน้อย “พี่เกาจ้าน ขอโทษด้วยนะคะ ฉันสร้างความลำบากให้พี่อีกแล้ว”
เกาจ้านโบกมือ “ไม่เป็นไร ประเด็กหลักคือโจวจินหนานหลอกผม ผมมีความสุขกับงานดี เอาไว้ผมกลับไปกินข้าวเมื่อไหร่ก็ตักให้ผมเยอะ ๆ เลยนะ”
สวี่ชิงหัวเราะ “แน่นอนค่ะ กินตอนท้องว่างยิ่งดี”
โจวจินหนานเยาะเย้ย “ดูร่าเริงเหลือเกินนะ ออกไปกับฉันหน่อยสิ”
แม้ว่าเกาจ้านจะบ่นพึมพำ แต่ก็ยอมเดินตามโจวจินหนานออกจากลานบ้านไปที่รถยนต์ และหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดไฟ “มีอะไร?”
โจวจินหนานขมวดคิ้ว “นายช่วยหาวิธีทำให้สวี่จื้อกั๋วรู้ว่าสวี่หรูเยว่เป็นลูกของฟางหลานซินกับติงชางเหวินที”
เกาจ้านตกใจมากจนบุหรี่อยู่ในปากแทบจะร่วงหล่นลงมา “เชี่ย โจวจินหนาน นายคิดน้อยเกินไปหรือเปล่า? จะเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องอินุงตุงนังของพวกผู้หญิงทำไม?”
ทว่าโจวจินหนานคิดว่ามันปกติ “เขารังแกสวี่ชิง”
เกาจ้านจิ๊ปากอยู่สองสามครั้ง “นายไม่คิดว่านายคิดน้อยไปเหรอ? ต้องสนใจเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้ด้วยหรือไง”
แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว เรื่องนี้น่าจะครื้นเครงพอตัว
โจวจินหนานเงียบไปครู่หนึ่ง “จะดีที่สุดถ้าไปสร้างเรื่องที่ลานของโรงงานซ่อมรถยนต์ ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ยิ่งดี”
ในเมื่อสวี่จื้อกั๋วไม่อยากยอมรับว่าโดนสวมเขา เขาก็จะช่วยสวมเขาให้แน่น ๆ เอง!
เกาจ้านถอนหายใจ “มีวายร้ายกับโจวจินหนานเท่านั้นแหละที่ไม่ควรไปยั่วยุ!”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เกาจ้านคงคิดว่า…หน้าที่ตรูอีกแล้วเหรอ อีกนิดเดียวก็จะเป็นไป๋หลางสองให้แกแล้วนะจินหนาน
ไหหม่า(海馬)