เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 122 ตัวตนของชุดแต่งงานสีแดง
ตอนที่ 122 ตัวตนของชุดแต่งงานสีแดง
สวี่ชิงเหลือบมองเสื้อผ้าในมือของเฟิงซูฮวา ซึ่งเป็นของดูต่างหน้าที่แม่ทิ้งไว้ให้เธอ “ของที่แม่ทิ้งไว้ให้น่ะค่ะ ฉันยึดเอามาจากฟางหลานซิน”
เนื่องจากเธอไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเครื่องแต่งกายของชนชาติไหน เธอจึงวางมันไว้ข้างกล่องยา โดยคิดว่าเมื่อใดที่ว่างจะเอามันไปผึ่งแดด ใส่เม็ดการบูรและอื่น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงเข้ามาแทะ
เฟิงซูฮวายื่นยากับผ้าพันแผลในมือให้สวี่ชิง “ดูอาการบาดเจ็บบนมือของจินหนานก่อนเถอะจ้ะ”
สวี่ชิงกังวลเกี่ยวกับการบาดเจ็บบนมือของจินหนาน หากหลังจากนี้อาการบาดเจ็บร้ายแรงขึ้น เขาจะต้องไปโรงพยาบาล ทว่าตอนนี้รักษาอาการด้วยวิธีสามัญประจำบ้านไปก่อน
แค่เจาะตุ่มพุพองและโรยยายูนนานไป๋เหยาลงไป
เฟิงซูฮวาที่นั่งดูอยู่ด้านข้าง เห็นว่ามีน้ำไหลออกมาจากตุ่มพุพองอย่างรวดเร็วจนทำให้ผงยาที่โรยลงไปเปียกชื้น ก่อนจะคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “ต้องไปหายาแก้อักเสบ เอามาบด โรยและพันแผลไว้”
สวี่ชิงลังเล “จะพอหาได้ไหมคะ?”
เฟิงซูฮวาทำตาหยี “หาได้สิจ๊ะ หลานลองไปถามหมอป่าว่ามียาแก้แพ้หรือเปล่า”
หมอป่าที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมมักจะเรียนรู้วิชาชีพทางการแพทย์ด้วยตนเองหรือเรียนรู้วิชาจากหมอเท้าเปล่า(1)สองสามวัน จากนั้นจึงเปิดคลินิกขนาดย่อมที่บ้าน สามารถรักษาอาการปวดหัวทั่วไป อาการเจ็บป่วยเล็กน้อย และสามารถฉีดยาได้
หลังจากได้ยินดังนั้น สวี่ชิงก็รีบวิ่งไปหาหมอป่าเพื่อซื้อยาแก้อักเสบในราคาไม่กี่เฟิน ห่อยาใส่กระดาษ บดด้วยขวดเหล้า และโรยลงบนมือของโจวจินหนาน
เธอกลัวว่าการพันผ้าก๊อซในตอนนี้จะทำให้แผลติดกับผ้าก๊อซ จึงสั่งให้โจวจินหนานผึ่งมือให้แห้งสักพัก และค่อยกินข้าวเช้าต่อ
สวี่ชิงนั่งลงหลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น และจึงจำได้ว่าเฟิงซูฮวาถามเธอเกี่ยวกับชุดสีแดงก่อนหน้านี้ จึงหันไปถามเฟิงซูฮวาขณะกินข้าวต้ม “คุณย่าคะ ที่ถามฉันเรื่องชุดเมื่อกี้นี้ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
เฟิงซูฮวาขมวดคิ้ว “นั่นคือชุดแต่งงานของลูกสาวพ่อมดแห่งชนเผ่าเหมียวเจียง”
สวี่ชิงตกตะลึง “พ่อมด? พ่อมดมีจริงเหรอคะ?”
เฟิงซูฮวากัดปาท่องโก๋ หรี่ตาลงราวกับตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความทรงจำ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เธอค่อย ๆ พูดว่า “ในอดีต หัวหน้าประจำเผ่าใหญ่จะถูกเรียกว่าเหมียวหวัง ส่วนหัวหน้าประจำเผ่าเล็กจะถูกเรียกว่าเหมียวหวง แต่ต่อมาพวกเขากลับไม่ชอบใจที่ถูกเรียกแบบนั้น ทั้งหมดเลยถูกเรียกว่าหัวหน้าใหญ่กับหัวหน้าเล็ก และคนที่มีอำนาจมากที่สุดในเผ่าคือพ่อมด”
“พ่อมดมักจะเป็นม่าย ชอบเลี้ยงกู่และทำนายอนาคตได้ เป็นผู้ที่มีสถานะสูงสุดที่สุดในหมู่บ้าน ใครก็ตามที่มีปัญหาเรื่องเล็กใหญ่ภายในบ้านหรือกำลังจะออกเดินทางไกล มักจะไปให้พ่อมดทำนายให้ก่อน กู่ที่พ่อมดเลี้ยงดูล้วนทรงพลังและมีพิษร้ายแรงที่สุด แต่มันไม่เคยทำร้ายผู้คน เพียงแต่ปกป้องความปลอดภัยของชนเผ่าไม่ให้ถูกคนต่างเผ่ารุกราน”
“ลูกสาวของพ่อมดจะเป็นผู้สืบทอดทักษะฝีมือของพ่อมดมาตั้งแต่เด็ก หากในวาระถัดไปไม่สามารถคัดเลือกพ่อมดที่มีฝีมือเก่งกาจได้ ลูกสาวของพ่อมดจะเป็นผู้รับช่วงต่อ”
สวี่ชิงชื่นชอบการฟังเรื่องเล่าเช่นนี้ มันทำให้เธอรู้สึกตื่นตาตื่นใจ
เธอคิดว่าการขนศพในเซียงซี หรือการเลี้ยงดูกู่ในเหมียวเจียงเป็นเพียงเรื่องเล่าในนิยายปรัมปราเท่านั้น คาดไม่ถึงว่ามันจะมีอยู่ในชีวิตจริง
เฟิงซูฮวาค่อย ๆ พูดขณะระลึกถึงเรื่องราว “ชุดแต่งงานตัวนั้น ตรงชายชุดถูกปักด้วยดิ้นเงินเป็นลวดลายกู่ เป็นชุดแต่งงานที่มีเพียงลูกสาวของพ่อมดเผ่าใหญ่ที่มีบริวารเป็นพันๆ คนจะครอบครองได้”
สวี่ชิงประหลาดใจ “หมายความว่าแม่ของหนูเป็นลูกสาวของพ่อมดเหรอคะ?”
เฟิงซูฮวาพยักหน้า “เป็นไปได้สูง”
ด้วยเหตุนี้จะสามารถอธิบายได้ว่าทำไมร่างกายของสวี่ชิงถึงดีขึ้นมาก และเหมาะสมสำหรับการเลี้ยงกู่
สวี่ชิงถอนหายใจ “น่าเสียดายที่ไม่มีเบาะแสอะไรเลย นอกจากชุดนี้”
เผ่าเหมียวเจียงมีขนาดใหญ่มาก อยู่กันเป็นหมู่บ้านมีครัวเรือนเป็นพันๆ หลัง ต่อให้เธอคิดจะหาเบาะแส แต่ก็ไม่อาจเริ่มต้นหาได้อยู่ดี
เฟิงซูวาบอกสวี่ชิงว่า “หลานต้องเก็บชุดนี้เอาไว้ก่อน ถ้ามีใครมาเห็นเข้า อาจจะเกิดปัญหาได้”
สวี่ชิงคิดว่ามันเป็นเพียงชุดแต่งงานสีแดงธรรมดา ไม่คาดคิดว่ามันจะมีความสำคัญเพียงนี้
เธอเช็ดมือและรีบหาที่ซ่อนชุดแต่งงานสีแดง
ทันทีที่กลับออกมา เธอเริ่มนึกสงสัยตัวตนที่แท้จริงของเฟิงซูฮวา “คุณย่าคะ หนูรู้แค่ว่าคุณย่าเป็นลูกสาวเจ้าของที่ดิน ทำไมคุณย่าถึงได้รู้เรื่องพวกนี้เยอะจังคะ?”
เฟิงซูฮวาหัวเราะ “ย่าจะบอกหลานทีหลังแล้วกัน เอาเป็นว่าตอนนี้รีบกินก่อน เอ้อซีคงใกล้มาถึงแล้ว”
สวี่ชิงมองดูหลังมือของโจวจินหนานอีกครั้งหลังจากกินข้าวเสร็จ ตอนนี้ไม่มีน้ำผุดออกมาแล้ว และบางที่เริ่มตกสะเก็ด คาดไม่ถึงว่ายาแก้อักเสบจะออกฤทธิ์ได้ชะงัดขนาดนี้
เฟิงซูฮวาชำเลืองมอง “หลานไปเอากล่องไม้ขีดมา ฉีกกระดาษแล้วจุดให้ติดไฟเป็นเถ้าดำ ติดเอาไว้ที่แผล จากนั้นพันด้วยผ้าก๊อซ อีกสองวันก็คงหายดี”
สวี่ชิงรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เธอยังเด็ก ครั้งหนึ่งเธอเคยเลือดตกยางออกจากการกระโดดโลดเต้น เธอใช้เศษกระดาษบนกล่องไม้ขีดไฟมาจุดไฟให้เป็นเถ้าดำเพื่อห้ามเลือดและลดอาการอักเสบ แม้ว่าในตอนนั้นเธอจะไม่รู้หลักการของมันก็ตาม
ทว่าทุกคนต่างทำเช่นนี้ และผลลัพธ์ก็ค่อนข้างดี
หลังจากทำแผลให้โจวจินหนานเสร็จ ผางเจิ้งหัวก็วิ่งแจ้นเข้ามาพร้อมกับหมั่วโถวในมือ
สวี่ชิงตกใจ “นายยังไม่ได้กินข้าวเหรอ?”
ผางเจิ้งหัวจอดรถจักรยาน พลางรู้สึกเขิน “ฉันตื่นสายน่ะ ก็เลยหยิบหมั่วโถวสามลูกมากินระหว่างขี่จักรยาน”
สวี่ชิงยิ้ม “ถึงอย่างงั้นนายก็ยังมาถึงเร็วอยู่ดี ที่บ้านมีข้าวต้มเหลืออยู่ นายไปกินก่อนสิ”
ผางเจิ้งหัวไม่เกรงใจอีกต่อไป เขานั่งลงและกินข้าวต้มที่สวี่ชิงเอามาให้ เช็ดปากหลังจากกินหมั่วโถวไปครึ่งลูก และหันไปพูดกับสวี่ชิงว่า “ฉันหาคนล้างผักในหมู่บ้านได้ตั้งสองคนน่ะ แต่ว่าไม่ใช่ญาติฉันหรอก คนหนึ่งคือคุณอาเชียวเฟิ่ง ส่วนอีกคนคือคุณน้าซิ่วเจิน”
สวี่ชิงรู้จักทั้งสองคน พวกเขาเป็นคนง่าย ๆ และมีความสามารถ “ครอบครัวของพวกเขาเต็มใจเหรอ?”
ผางเจิ้งหัวพยักหน้า “ต่อให้ไม่เต็มใจแล้วจะทำอะไรได้ สามสิบหยวนต่อเดือนก็ยังทำเงินได้มากกว่านั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่บ้าน ไปขัดขวดที่โรงกลั่นเหล้าทั้งวันยังได้ไม่ถึงหนึ่งหยวนต่อวันเลย ไหนจะค่าข้าวอีก แต่อาหารการกินสำหรับพวกเราไม่ใช่เรื่องใหญ่ไง”
หลังจากพูดจบ เขาก็อุทานออกมา “ขนาดแม่ของฉันยังว้าวุ่นใจเลย แม่คิดว่าตัวเองควรมาทำงานนี้ แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้คุณน้ามาทำ ฉันพูดกับแม่อย่างจริงจังว่าแม่ไม่ควรตามเข้ามายุ่งวุ่นวายกับกิจการของฉัน หลังจากนั้นพอฉันให้เงินแม่ใช้ แม่ก็เสพสุขจนลืมทุกอย่างไป”
สวี่ชิงยิ้ม “ใช่ ถึงกิจการของเราจะไม่ได้ใหญ่โต แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงความมีน้ำใจต่อมนุษย์ตั้งแต่แรกเริ่ม ถ้าหลังจากนี้มีงานรับเหมาเข้ามา เราก็สามารถจ้างพวกเขาได้ แต่ว่าไม่ใช่ตอนนี้”
กิจการของพวกเขาเกี่ยวข้องกับอาหารการกิน
ในขณะที่หลายครอบครัวตกอยู่ในสภาวะปกติ มีเนื้อจนไม่ทันกินตลอดทั้งเดือน หากเอาญาติเข้ามาทำงานด้วย และขอเอาอาหารกลับบ้านหลังจากทำงานเสร็จ ใครจะกล้าหักหน้าด้วยการพูดปฏิเสธ?
ดังนั้นจึงต้องหลีกเลี่ยงอันตรายที่แอบแฝงเข้ามาตั้งแต่ต้น
ผางเจิ้งหัวส่ายหัวอย่างทำอะไรไม่ถูก “ยังไงซะตอนนี้ฉันก็ฟังที่เธอพูดอยู่ และคิดว่าคำพูดของเธอค่อนข้างสมเหตุสมผล เมื่อคืนนี้ป้ารองมาที่บ้านฉันแล้วถามว่ามีของอะไรเหลืออยู่ในร้านบ้าง หล่อนจะเอากลับไปเลี้ยงหมู พอฉันบอกว่าขายหมดเกลี้ยงเลย หล่อนก็ไม่เชื่อฉันอีก”
หลังจากหยุดไปพักหนึ่ง เขาก็พูดต่อว่า “ตอนแรกฉันคิดว่าตัวเองมีชีวิตที่ดีแล้ว ก็ควรเลี้ยงดูญาติ ๆ ด้วย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นอย่างนั้นแฮะ”
สวี่ชิงพยักหน้า “ร้านของเรายังเล็กอยู่ ไม่ได้มีขนาดใหญ่พอที่จะทำอะไรได้มากมาย นอกจากนี้ใครพอช่วยได้ก็ช่วย ใครช่วยไม่ได้ก็ไม่ต้องไปช่วย อย่าเป็นคนดีที่ทำให้ตัวเองลำบากในตอนท้ายเลย”
นี่คือบทเรียนที่เธอสั่งสมมาหลังจากต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสีย
โจวจินหนานที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา สวี่ชิงจะทำอย่างไรกับคนที่หลอกลวงเธอ?
…………………………………………………………………………………………………………….
*(1) หมอเท้าเปล่า คือ เกษตรกรที่เรียนรู้ฝึกอบรมวิชาทางการแพทย์ขั้นพื้นฐานและทำงานในหมู่บ้าน
สารจากผู้แปล
แสดงว่าแม่ของชิงชิงคงมีตำแหน่งใหญ่เทียบได้กับเจ้าหญิงของเผ่าเลย ว่าแต่ไปอยู่กับคนอย่างสวี่จื้อกั๋วได้ยังไงเนี่ย
พี่หนานเริ่มร้อนตัวแล้วสินะคะ หาทางบอกความจริงเถอะก่อนจะสายไป
ไหหม่า(海馬)