เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 118 นมมอลต์มีพิษ
ตอนที่ 118 นมมอลต์มีพิษ
เมื่อสวี่ชิงเห็นเฉินหยิงและโจวลี่หงเดินเข้ามาในบ้าน เธอก็ลุกขึ้นเพื่อจะทักทาย แต่ก่อนที่เธอจะพูดออกไป โจวลี่หงก็พูดคำรุนแรงเช่นนั้นออกมา เธอจึงรู้สึกแย่ทันที “คนตาบอดแล้วอย่างไรคะ? โจวจินหนานบาดเจ็บที่ตาเท่านั้น แต่มือและเท้าของเขาก็ยังปกติดี แล้วทำไมเขาจะเลือกผักไม่ได้ล่ะ? คุณอาพูดแรงไปหรือเปล่าคะ?”
โจวลี่หงไม่คิดว่าสวี่ชิงจะกล้าต่อปากต่อคำกับหล่อนด้วยวาจาเฉียบคมเช่นนี้ หล่อนจึงหันไปมองเฉินหยิงด้วยความโกรธเคือง “แม่คะ นี่คือภรรยาที่จินหนานแต่งงานด้วย เราทนไม่ได้ที่จะให้จินหนานทำงานที่บ้าน แต่ดูสิคะ หล่อนกลับใช้ให้จินหนานเลือกผัก”
เฉินหยิงรู้สึกเสียใจกับหลานชายของนางเช่นกัน แต่ไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกมา “ชิงชิง แม้ว่าจินหนานจะมีอาการบาดเจ็บแค่ที่ดวงตา แต่เขาควรพักผ่อนให้มากกว่านี้ ทำแบบนี้ไม่เหมาะเลย”
โจวจินหนานลุกขึ้นและขมวดคิ้ว “เอาล่ะ ผมไม่ใช่ดอกไม้ในเรือนกระจก จะเหมาะสมหรือไม่ก็เป็นเรื่องของพวกเราสองสามีภรรยา พวกท่านไม่จำเป็นต้องกล่าวหาชิงชิง”
โจวลี่หงยิ่งโมโหขณะมองโจวจินหนาน “จินหนาน พวกเราทำก็เพื่อประโยชน์ของตัวหลานเอง คุณย่าอยู่บ้านแล้วก็เป็นห่วงหลานเสมอ จึงให้อาพามาเจอหลานในวันนี้ แล้วจะให้ท่านไม่รู้สึกลำบากใจตอนเห็นว่าหลานกำลังเลือกผักอยู่ได้ยังไง?”
เฉินหยิงขมวดคิ้วและมองสวี่ชิง “ใช่แล้ว ชิงชิง หลานปล่อยให้จินหนานทำงานหนักอย่างนี้ไม่ได้ พวกเราไม่ได้จะคัดค้านการทำธุรกิจของหลาน…”
ก่อนที่จะพูดจบ เฟิงซูฮวาก็เดินเข้ามาพร้อมกับไม้เท้า และมองเฉินหยิงด้วยรอยยิ้ม “คุณย่าที่น่ารัก คุณคิดว่าจินหนานของคุณเป็นคุณชายเหรอคะ? แล้วเขาไม่สามารถเลือกผักได้เหรอ? นี่มันยุคไหนกันแล้ว คุณไม่สบายใจที่เห็นหลานชายเป็นแบบนี้เหรอคะ?”
เฉินหยิงเพิ่งสังเกตเห็นว่าเฟิงซูฮวาก็อยู่ที่นี่ด้วย นางจึงรู้สึกอับอายเล็กน้อย “ไม่หรอกค่ะ ฉันแค่คิดว่าตาของจินหนานไม่ดี เขาจึงสมควรพักผ่อน”
เฟิงซูฮวายิ้ม “ตาของจินหนานไม่ดี แต่มือและเท้าของเขายังดีอยู่ และช่วงนี้เขาก็ดูมีความสุขดีไม่ใช่เหรอคะ?”
จากนั้นนางก็มองไปที่โจวลี่หงอีกครั้ง “ช่วงเวลาของคู่รักหนุ่มสาว พวกผู้อาวุโสอย่างเราไม่ควรไปยุ่ง คนหนึ่งเต็มใจสู้และอีกคนหนึ่งก็เต็มใจลำบากไปด้วยกันแล้ว”
โจวลี่หงมีสีหน้าเย็นชาและไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจของหล่อนนึกดูถูกเฟิงซูฮวาที่ยังคงรัดเท้าดอกบัว(1)อยู่
เฉินหยิงพูดอย่างลำบากใจว่า “ฉันแก่แล้ว และฉันรู้สึกสับสนเมื่อมาที่นี่ครั้งแรก ฉันเพียงแค่อยากมาดูเท่านั้น”
เมื่อเห็นเฉินหยิงพูดดังนั้น ใบหน้าของสวี่ชิงก็อ่อนโยนลงเล็กน้อย “คุณย่า คุณย่านั่งลงก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปเอาน้ำชามาให้ค่ะ”
เฟิงซูฮวาเชิญเฉินหยิงให้นั่งลงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทำให้เฉินหยิงรู้สึกละอายใจกับท่าทางเย่อหยิ่งของตัวเองเมื่อสักครู่นี้มาก นางมองจานที่ลานบ้านแล้วถามว่า “อาหารเยอะขนาดนั้น กี่วันถึงจะขายหมดเหรอ?”
เฟิงซูฮวารู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย “ปกติก็คงจะสองสามวัน แต่มันยังไม่เพียงพอสำหรับพวกเขาที่ขายได้ภายในวันเดียว หลานสาวของฉันทำได้”
โจวลี่หงนั่งบนม้านั่งเล็ก ๆ ด้านข้าง แล้วพูดว่า “ธุรกิจเล็ก ๆ นี้จะทำเงินได้สักเท่าไหร่เชียว”
เฟิงซูฮวาเหลือบมองโจวลี่หงด้วยหางตา และไม่สนใจสิ่งที่หล่อนพูด
แต่เฉินหยิงก็เปิดประเด็น “พวกเรามาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพราะเรื่องหนึ่ง ฉันอยากจะถามชิงชิงว่าหล่อนอยากเป็นครูหรือเปล่า? ฉันจำได้ว่าชิงชิงมีวุฒิมัธยมปลายด้วย เฉิงเหวินสามารถช่วยให้หล่อนได้เป็นครูในโรงเรียนประถม ที่สังกัดมหาวิทยาลัยประจำจังหวัดได้ ซึ่งต่อมาก็มีโอกาสบรรจุเป็นงานประจำได้ด้วย”
เฟิงซูฮวายิ้ม “พวกคุณคิดว่าการทำธุรกิจเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมเหรอคะ?”
เฉินหยิงรีบส่ายหัว “ไม่ใช่เลย ฉันแค่รู้สึกว่าการทำธุรกิจนั้นเหนื่อยและเสี่ยงเกินไป การมีงานที่มั่นคงและยังได้หยุดพักในฤดูหนาวกับฤดูร้อนจะทำให้ไม่ลำบาก”
ใจจริงนางไม่ชอบธุรกิจของสวี่ชิงเลย ในยุคนี้มีใครทำธุรกิจบ้าง?
มีแต่พวกอันธพาลที่ทำมาหากินวิธีอื่นไม่ได้ และพวกเกียจคร้านทั้งนั้น
เพียงแค่คิดจะพยายามทำธุรกิจเล็ก ๆ ก็ฟังดูไม่สมเหตุสมผลแล้ว
สวี่ชิงออกมาพร้อมน้ำชา เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินหยิง เธอก็ยิ้มแล้ววางถ้วยชาลง “คุณย่าคะ ฉันไม่อยากเป็นครูค่ะ ฉันคิดว่าทำธุรกิจก็เป็นอาชีพที่ดี ไม่ได้ไปลักขโมยหรือปล้นใคร เงินทุกหยวนทุกเหมาถือเป็นเงินสะอาดเหมือนกันค่ะ”
เฉินหยิงขมวดคิ้ว “ถึงจะพูดแบบนั้นแต่มันก็ลำบากเกินไปนะ”
สวี่ชิงยิ้ม “มันลำบากเกินไปหรือไม่เหมาะสมกันแน่คะ? ฉันรู้ว่าคุณปู่และคุณพ่อเป็นทั้งปัญญาชนและคนที่มีหน้ามีตา แต่ฉันไม่ดูถูกธุรกิจขนาดเล็กหรอกค่ะ สิ่งที่เราทำนั้นมีความจำเป็นต่อสังคมเหมือนกัน แม้ว่าลักษณะงานจะแตกต่างกัน แต่ก็ไม่มีความแตกต่างว่าอาชีพไหนสูงหรือต่ำกว่ากัน”
เฉินหยิงเผยรอยยิ้มเจื่อน “ใช่แล้วล่ะ ถ้าอย่างนั้นหลานต้องไม่ทำงานหนักเกินไปนะ”
เมื่อเห็นว่าแม่ของเธอประนีประนอมเช่นนี้ โจวลี่หงก็พูดดูถูก “สวี่ชิง แม่ของฉันก็พูดเพื่อประโยชน์ของเธอเองเหมือนกัน เวลาที่เธอต้องกลับไปงานรวมญาติ แล้วมีการถามเรื่องงานกัน ครอบครัวของเราล้วนเป็นศาสตราจารย์หรือเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะแย่เพียงใดจินซวนก็ยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย และเขาจะมีอนาคตที่สดใส แต่เธอกลับเป็นแค่เจ้าของร้านอาหารเล็ก ๆ มันน่าอับอายไหม?”
สวี่ชิงมองโจวลี่หงอย่างแปลกใจ “แต่ดูเหมือนว่าคุณอาจะไม่มีงานทำใช่ไหมคะ? มันน่าอับอายกว่าอีกไม่ใช่เหรอคะ?”
โจวลี่หงจ้องเขม็ง “เธอ!”
จู่ ๆ โจวจินหนานที่เงียบอยู่นานก็พูดขึ้นว่า “ถ้าคิดว่าพวกเราน่าอับอาย พวกเราไม่กลับไปยังจะดีกว่า”
เดิมทีเฉินหยิงต้องการเกลี้ยกล่อมสวี่ชิงให้หางานที่มั่นคงทำ เพราะคนในครอบครัวทำอาชีพที่ดี แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะเป็นฝ่ายถูกสวี่ชิงสั่งสอนแทนเสียเอง
และหลานชายของนางก็เข้าข้างสวี่ชิงอย่างไม่มีเงื่อนไข
แล้วนางจะพูดอะไรได้อีก? จึงได้แต่ถอนหายใจ “เอาล่ะ ชิงชิงพูดถูก ไม่มีความแตกต่างว่าอาชีพไหนสูงหรือต่ำกว่ากัน ทำเหมือนเดิมก็ได้ แต่อย่าทำงานหนักเกินไป”
เฉินหยิงกลัวจริง ๆ ว่า โจวจินหนานจะไม่กลับบ้าน เด็กคนนี้มีความดื้อรั้น ถ้าบอกว่าไม่กลับก็คือไม่กลับจริง ๆ
เฉินหยิงและโจวลี่หงไม่ได้นั่งนานและลุกขึ้นเตรียมตัวกลับ ก่อนจากไปเฉินหยิงแอบยัดเงินจำนวนหนึ่งใส่มือของสวี่ชิง
พร้อมกับส่งสัญญาณด้วยสายตาว่าอย่าให้โจวลี่หงเห็น
สวี่ชิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถือมันไว้ในมือ และส่งทั้งสองกลับไป
หลังจากที่ทั้งสองเดินออกไปไกลแล้ว เธอก็หันหลังเดินกลับเข้าบ้าน เมื่อเห็นว่าโจวจินหนานนั่งเลือกผักต่อไป เธอก็เผยรอยยิ้ม ก่อนจะช่วยล้างและหั่นผักต่อ
โดยไม่ได้นึกถึงเฉินหยิงและโจวลี่หงเลย
ฉินเสวี่ยเหมยและผางเจิ้งหัวกลับไป หลังจากที่พวกเขาทำความสะอาดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
สวี่ชิงทำอาหารเย็นและเตรียมหมักหมูหลังจากกินอาหารเสร็จ การหมักเนื้อหนึ่งร้อยชั่งน่าจะต้องใช้หม้อประมาณสามหรือสี่ใบ
เมื่ออาหารถูกยกไปที่โต๊ะ เธอก็เห็นอาหารกระป๋องที่เฉินหยิงและโจวลี่หงนำเข้ามาให้ในตอนบ่าย รวมทั้งผงนมมอลต์สกัดที่วางอยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ ด้านข้าง
ถุงตาข่ายขนาดใหญ่นั้นค่อนข้างหรูหรา
สวี่ชิงหยิบกระป๋องนมมอลต์กระป๋องหนึ่งขึ้นมาพลิกดู แล้วหันไปบอกเฟิงซูฮวาว่า “คุณย่า ฉันจะชงนมมอลต์ให้คุณย่าดื่มนะคะ”
ดวงตาของเฟิงซูฮวาเป็นประกาย “ดีเหมือนกัน ย่าไม่ได้ดื่มมานาน แค่คิดถึงรสชาติก็รู้สึกดีแล้ว”
สวี่ชิงยิ้มแล้วเปิดกระป๋อง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องครัวและยกแก้วออกมา เธอถามโจวจินหนานว่า “คุณอยากดื่มด้วยไหมคะ?”
โจวจินหนานส่ายหัว “ไม่ดื่ม”
เฟิงซูฮวารับแก้วมา หรี่ตายิ้มก่อนจะยกขึ้นจิบ
รอยยิ้มบนใบหน้าของนางพลันจางหาย และสีหน้าก็กลายเป็นเคร่งขรึม
สวี่ชิงใจหายเล็กน้อย และถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? รสชาติผิดปกติหรือเปล่าคะ?”
เธอชิมมันเล็กน้อยและรู้สึกว่าหวานมาก ซึ่งเป็นรสชาติที่นิยมในสมัยนี้
เฟิงซูฮวาวางชามลง และมองสวี่ชิงด้วยสีหน้าจริงจัง “เอากระป๋องนั่นมาสิจ๊ะ”
สวี่ชิงรีบเข้าไปในห้องครัว แล้วนำกระป๋องผงนมมอลต์มาให้เฟิงซูฮวา
เฟิงซูฮวาเปิดฝาออกแล้วดมกลิ่น แล้วหยิบผงนมมอลต์ใส่เข้าปากเพื่อชิมรสอย่างระมัดระวัง “สิ่งนี้มีต้นโพผัน(2)ผสมอยู่ ถ้าดื่มเป็นเวลานานจะทำให้ตั้งครรภ์ยาก ถ้าคนที่ท้องอยู่แล้วดื่มเข้าไปแล้วก็จะแท้ง!”
……………………………………………………………………………………………………………..
ประเพณีรัดเท้าดอกบัว เป็นประเพณีนับตั้งแต่ราชวงศ์หมิงจนถึงยุคสาธารณรัฐ คือการรัดเท้าสตรีชั้นสูงให้มีขนาดเล็กและมีรูปร่างคล้ายดอกบัว ซึ่งจะกระทำกันตั้งแต่ยังเด็กโดยการหักนิ้วเท้าพับเข้าไปแล้วใช้ผ้ารัดไว้ ด้วยเชื่อว่ายิ่งเท้าเล็กก็จะเป็นหญิงงามที่มีฐานะดี หากเท้าใหญ่จะถือว่าเป็นหญิงอาภัพฐานะไม่ดี ผลที่ตามมาคือหญิงคนนั้นจะเดินเหินเองไม่สะดวก ต้องอาศัยคนช่วยพยุง ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความเจ็บปวด บางคนเกิดอาการเท้าเน่าจากการถูกผ้ารัดไว้แน่นเกินไปจนเกิดการอับชื้น (ภาพจาก https://baike.baidu.com/item/%E7%BC%A0%E8%B6%B3/539751)
一品红 หรือ poinsettia คือต้นคริสต์มาสที่นิยมปลูกประดับกันในช่วงเทศกาลคริสต์มาส เป็นพืชในวงศ์ยางพารา น้ำยางมีพิษทำให้ระคายเคือง (ภาพจาก https://baike.baidu.com/item/%E4%B8%80%E5%93%81%E7%BA%A2/803797)
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
นั่นสิ ทุกอาชีพถ้าไม่ได้ทำผิดศีลธรรมมันก็ไม่ใช่อาชีพที่น่าอับอายเลย คงเหมือนกับเมืองไทยสมัยก่อนที่ครอบครัวส่วนใหญ่ไม่อยากให้ลูกหลานเป็นพ่อค้าแม่ค้าแต่อยากให้รับราชการมากกว่าแหละค่ะ
ใครวางยาในนมมอลต์กันนะ
ไหหม่า(海馬)