เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น? - ตอนที่ 90 งานเลี้ยง 24
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น?
- ตอนที่ 90 งานเลี้ยง 24
ตอนที่ 90 งานเลี้ยง 24
หลังจากที่เอเลน่าออกจากระเบียงไปแล้ว
“……”
“……”
“…………”
“…………”
ความเงียบงันที่ยาวนานเข้าครอบงำทั้งสองคน
มันเป็นเรื่องธรรมดา
เพราะคนที่พยายามชักนำการสนทนามาตลอดคือเอเลน่า และเมื่อเธอออกจากที่นี่ไป บรรยากาศจึงอึดอัดอย่างช่วยไม่ได้
หากจะทำลายความกระอักกระอ่วนนี้ลง ก็ต้องมีใครสักคนรับหน้าที่นำบทสนทนาแทน
เบเรธพยายามคิดหาเรื่องคุยเพื่อทำลายความเงียบ แต่ว่า… คนที่รับหน้าที่นั้นกลับกลายเป็นลูน่า ผู้ซึ่งปกติแล้วเป็นคนพูดน้อย
เธอวางมือลงบนราวหินของระเบียง ยืนข้างเบเรธ ก่อนจะเริ่มพูดขึ้น
“คุณเบเรธ เซนท์ฟอร์ด… ดูเหมือนคุณจะได้แฟนสาวที่สุดยอดไปแล้วสินะคะ”
“อ๊ะ ฮะฮะ…”
คำพูดที่ตรงไปตรงมาของลูน่าทำให้เบเรธรู้สึกเขินอายจนเผลอหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา
“ถ้าพูดตามตรง ตอนนี้ยังไม่ค่อยรู้สึกตัวเท่าไหร่… แต่พอคิดถึงมันขึ้นมาก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาแปลก ๆ”
“ถ้าคุณรู้สึกประหม่าแบบนั้น นั่นก็หมายความว่าคุณกำลังรู้สึกตัวแล้วใช่ไหมล่ะคะ”
“บะ… บอกแล้วว่าตอนแรกไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ นะ! ก็ดูสิ พอคุยเสร็จเธอก็รีบออกไปเลย… ยังไม่ทันจะได้รู้สึกอินเลยด้วยซ้ำ…”
“เรื่องนั้น… ฉันต้องขอโทษจริง ๆ ค่ะ มันเป็นเพราะฉันเอง”
แม้เบเรธจะไม่ได้กล่าวโทษอะไร แต่ลูน่ากลับแสดงความรู้สึกผิดออกมาอย่างชัดเจน
“อ๊ะ ทำไมลูน่าต้องขอโทษด้วยล่ะ? ก็เอเลน่าเองที่บอกว่ามี ‘ธุระ’ นี่นา”
“นั่นเป็นข้ออ้างค่ะ… คำพูดของเธอที่ว่า ‘บางคนคงทำอะไรไม่ลงหรอกถ้าไม่ได้อยู่กันสองต่อสอง’ นั้น เป็นความจริงค่ะ”
“ห… เหรอ…?”
พูดอีกนัยหนึ่งคือ เอเลน่าตั้งใจยอมถอยหนึ่งก้าวเพื่อ ‘ลูน่า’
เบเรธเพิ่งตระหนักถึงสิ่งนั้นก็ในตอนนี้
“เพราะฉะนั้น ฉันต้องขอโทษอีกครั้งค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก… แต่ขอบคุณที่บอกฉันแบบนี้นะ แถมขอโทษอยู่เรื่อยเลย มาเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่า”
“ถ้าคุณพูดแบบนั้น ฉันก็รู้สึกโล่งใจค่ะ”
ลูน่าก้มหัวเล็กน้อยแสดงความขอบคุณ การเคลื่อนไหวนั้นดูสง่างามและเรียบร้อย
“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอถามอะไรสักอย่างได้ไหมคะ?”
“อื้ม ถามมาเลย”
“ขอบคุณค่ะ… เอ่อ… ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดแดกดันอะไรนะคะ แต่คุณไม่เคยสังเกตเห็นความรู้สึกที่เอเลน่ามีต่อคุณเลยหรือคะ?”
“!!?”
เบเรธตกใจมากที่ลูน่าพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะเขาไม่คิดว่าบทสนทนาจะวนกลับไปที่เรื่อง ‘ได้แฟนที่สุดยอด’ แบบนี้
“ม… ไม่ใช่แบบนั้นนะ! ฉันไม่ได้คิดอะไรแบบเข้าข้างตัวเองเลยจริง ๆ! อีกฝ่ายคือเอเลน่านะ!”
“พูดตามตรงเถอะค่ะ ถ้าเป็นคุณ ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นการเข้าข้างตัวเองเลย”
“……”
คำพูดที่เหมือนกับพยายามจะสืบหาบางสิ่งทำให้เบเรธลังเล แต่เมื่อถูกพูดมาขนาดนี้ การจะปฏิเสธจนสุดทางก็ดูจะใจร้ายเกินไป
“จะ… จะพูดยังไงดีล่ะ… คือ… ตอนนี้เราคบกันแล้ว…พอมองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่า… อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้นะ”
“ตามคาดจริง ๆ ด้วยสินะคะ”
“ดะ… เดี๋ยวนะ ทำไมลูน่าถึงมองออกได้ล่ะ? ตัวฉันเองยังไม่ค่อยแน่ใจเลยตอนนั้น… ก็คิดแค่ว่า ‘มันไม่น่าจะเป็นไปได้หรอก’ เท่านั้นเอง”
เพราะความรู้สึกที่มียังไม่ชัดเจนพอจะเรียกว่า ‘ความมั่นใจ’ ทำให้เบเรธอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
“เพราะบทสนทนาในห้องรับรองก่อนวันงานเลี้ยงอาหารค่ำน่ะค่ะ คุณยังจำได้ไหม ตอนที่เอเลน่าพูดว่า ‘นายไม่ได้ลืมสัญญานั่นใช่ไหม?’ แล้วคุณดูตกใจมากขนาดไหน สัญญาที่ว่าจะหนีออกจากงานเลี้ยงกลางคัน ฉันรู้อยู่แล้วค่ะ”
“น… นั่นคือทั้งหมดแล้วเหรอ…?”
“หลังจากนั้น คุณไม่ได้แสดงอาการตกใจใดๆ เลยกับคำว่า ‘สัญญา’ ที่ฉันพูดตามไป”
“……”
“นอกจากนี้ ท่าทีของคุณหลังจากที่เอเลน่าสารภาพความในใจออกไปก็ดูผิดแปลกไปค่ะ หากได้รับสารภาพจากคนอย่างเอเลน่า การแสดงออกที่เปี่ยมด้วยความยินดีโดยทั่วร่างกายก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลก แต่สำหรับคุณ… กลับไม่เป็นเช่นนั้น”
ลูน่า ผู้ได้รับฉายาว่า ‘อัจฉริยะอันดับหนึ่งของสถาบัน’ ได้แสดงความเฉลียวฉลาดของเธออย่างเต็มที่
และนี่คือสิ่งที่ลูน่าต้องการตรวจสอบ
เธอกำลังพยายามยืนยันคำตอบของคำถามในใจว่า ‘เขารับรู้ถึงความรู้สึกในฐานะคนรักของฉันหรือเปล่า?’
“ถ้าคุณสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง นั่นหมายความว่าเอเลน่าคงได้แสดงออกบางอย่างในช่วงเวลานั้นสินะคะ ซึ่งก็น่าจะเป็นหลังจากวันที่คุณได้พบกับบิดาของเอเลน่า ใช่ไหมคะ?”
“ก็… ก็ประมาณนั้นล่ะนะ ตอนแรกฉันไม่ได้สังเกตอะไรเลยจริงๆ นะ! แต่พอได้อ่านนิยายรักโรแมนติกที่เธอแนะนำให้ มันมีฉากที่คล้ายกัน… จากนั้นถึงเริ่มคิดออก…”
“อย่างนั้นเหรอคะ…”
การที่เขาได้รับคำใบ้จากนิยายดูเหมือนจะดูน่าอายไปสักหน่อย แต่ลูน่าก็แอบยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ
“ถ้าเช่นนั้น ก็หมายความว่าฉันได้ทำหน้าที่เป็นกามเทพทางอ้อมให้กับเอเลน่ากับคุณสินะคะ”
“ฮะฮะ ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ”
“พอได้ยินแบบนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกเบาใจขึ้นมาบ้าง”
“เบาใจ? เพราะอะไรเหรอ?”
“ค่ะ… เพราะฉันติดหนี้บุญคุณเอเลน่ามากเหลือเกิน… พูดตรงๆ ก็คือ จนตอนนี้ฉันยังรู้สึกละอายต่อเธออยู่เลย”
น้ำเสียงของเธอสื่อความรู้สึกเหล่านี้ออกมาอย่างชัดเจน
ด้วยเหตุนี้เอง เบเรธจึงเริ่มจับประเด็นบางอย่างได้
“นี่หรือว่า… คำพูดของเอเลน่าที่ว่า ‘ยังมีงานที่เหลือสำหรับคุณอยู่’ หมายถึงเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า?”
“ใช่ค่ะ ถึงเวลาที่เราจะเข้าสู่ประเด็นหลักแล้ว”
“อื้ม ได้เลย”
“……”
“……”
“……ลูน่า?”
เบเรธเริ่มเรียกเธออีกครั้ง เมื่อบรรยากาศกลับมาเงียบงัน
เมื่อการพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นหลักกำลังจะเริ่มขึ้น เวลาผ่านไปประมาณ 10 ถึง 15 วินาที บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความเงียบ ลูน่ายืนอยู่ในท่าที่เอามือทั้งสองข้างประสานไว้เบื้องล่าง ท่าทีของเธอทำให้เบเรธเริ่มรู้สึกกังวล
“คือว่า… ฉันลืมบอกไปค่ะ ต่อจากนี้ฉันอาจทำให้คุณรู้สึกลำบากใจมาก คุณจะโอเคไหมคะ?”
“ไม่มีปัญหาเลย พูดออกมาเถอะ อยากปรึกษาอะไรก็บอกมาได้เลย เอเลน่าคงรู้อยู่แล้วถึงได้ปล่อยให้เราอยู่กันสองคนแบบนี้”
“ข…ขอบคุณมากค่ะ”
น้ำเสียงของลูน่าเริ่มแผ่วเบาลง ขณะเดียวกันเธอก็กระพริบตาบ่อยขึ้น ท่าทีของเธอเริ่มไม่สงบอย่างเห็นได้ชัด แต่เธอก็พยายามมองสบตากับเบเรธและกล่าวออกมาด้วยเสียงที่สั่นเล็กน้อย
“ปะ…ประเด็นหลักค่ะ คุณได้อ่านนิยายรักที่ฉันแนะนำไปจนจบหรือยัง? ฉันเคยขอให้คุณอ่านให้จบก่อนวันงานเลี้ยง คุณทำตามที่สัญญาไว้ไหมคะ?”
“อ๊ะ! แน่นอนว่าทำตามสิ! ฉันอ่านจนจบแล้ว และบอกเลยว่านั่นเป็นหนังสือที่สนุกที่สุดเล่มหนึ่งเท่าที่เคยอ่านมาเลยนะ ทั้งคำบรรยายก็สมจริง การเขียนก็มีความเป็นวรรณกรรมมาก อีกอย่าง…สถานการณ์ตอนนี้ก็คล้ายกับในหนังสือเป๊ะเลยใช่ไหมล่ะ? ดูสิ ท้องฟ้ายามค่ำคืนนี้ยังสวยเหมือนในเรื่องเลย”
นิยายเรื่องนั้นเล่าถึงคู่ชายหญิงที่แอบหนีออกจากงานเลี้ยงและพัฒนาความสัมพันธ์จนกลายเป็นความรัก เบเรธพูดพลางชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนเหมือนต้องการพิสูจน์ว่าเขาจำคำบรรยายในเรื่องได้ดี
“ใช่ค่ะ ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวช่างงดงามเหลือเกิน…”
“ใช่แล้ว มันสวยจริงๆ”
“ในค่ำคืนแบบนี้ หัวใจของฉันอบอุ่นมากเหลือเกิน…”
“…”
คำพูดของลูน่า…เหมือนถอดมาจากนิยายทุกประโยค
มันตรงกันจนเบเรธไม่สามารถตอบอะไรออกไปได้
ในนิยายนั้นคำว่า ‘ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวช่างงดงาม’ มีความหมายแฝงว่า ‘คุณคงไม่รู้ว่าฉันมีความรู้สึกอันยิ่งใหญ่ต่อคุณ’
ส่วนคำว่า ‘หัวใจของฉันอบอุ่น’ นั้นหมายถึง ‘เพราะคุณอยู่ข้างๆ ฉัน ฉันถึงรู้สึกมีความสุข’
“ฟุฟุ…”
ลูน่าหัวเราะเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูเก้กัง รอยยิ้มนั้นก็เป็นไปตามบทในนิยายเช่นกัน
‘คุณคงไม่เข้าใจอะไรเลยสินะ คนซื่อบื้ออย่างคุณ’
ในเวลาเดียวกัน รอยยิ้มนั้นแสดงถึงความกล้าที่เธอรวบรวมมาเพื่อพูดสิ่งเหล่านี้ออกไป ทว่าความกล้านั้นก็ถึงขีดจำกัดแล้ว เพราะฐานะที่ต่ำต้อยกว่า ทำให้เธอรู้สึกว่าการเผยความรู้สึกออกไปยังคนที่มีฐานะสูงกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เธอรู้ดีว่า…ไม่สามารถพูดมันออกไปตรงๆ ได้เหมือนในนิยาย เพราะระบบชนชั้นในสังคม หากเธอแสดงความรู้สึกและได้รับการตอบรับ มันจะกลายเป็นข้ออ้างให้พวกขุนนางที่อิจฉาใช้โจมตีเธอได้
หากเธอถูกปฏิเสธ เธอจะถูกตราหน้าว่าเป็น ‘คนที่ไม่รู้จักประมาณตน’
สิ่งเดียวที่ช่วยหลีกเลี่ยงสถานการณ์นี้ได้คือ ให้ฝ่ายที่มีสถานะสูงกว่ามาเป็นฝ่ายแสดงความรู้สึกก่อน เพื่อใช้สถานะของอีกฝ่ายเป็นเกราะป้องกันตนเอง
“ล…ลูน่า พอเถอะ ฉันว่าเล่นมุกแบบนี้ก็คงพอแล้วล่ะ…”
ในตอนนี้เบเรธคิดว่าอารมณ์ของลูน่าถูกกระตุ้นจากการเห็นเขาและเอเลน่าพัฒนาความสัมพันธ์ เขาจึงพยายามปลอบเธออย่างใจเย็น แต่แล้ว…
“เห็นฉันเป็นแบบนี้…แล้วคุณยังจะพูดว่านี่เป็นแค่เรื่องล้อเล่นอีกเหรอคะ?”
“เอ๊ะ? —อึก!”
ลูน่าที่อยู่ข้างเขาก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว แสงจากโถงทางเดินในคฤหาสน์ส่องมากระทบใบหน้าของเธอ ทำให้เบเรธเห็นมันอย่างชัดเจน
ใบหน้าของลูน่าแดงก่ำ ริมฝีปากของเธอเม้มแน่น ราวกับตั้งใจให้แสงนั้นเผยความรู้สึกของเธออย่างหมดเปลือก
“น…นี่คือความรู้สึกที่แท้จริงของฉันค่ะ…เป็นความรู้สึกที่เอาแต่ใจ…และไร้ยางอาย…”
“ลูน่า…”
มือทั้งสองข้างของเธอกำแน่นจนสั่น
“ฉันไม่ได้มีเสน่ห์เหมือนเอเลน่า…ไม่ได้กล้าพูดออกไปว่า ‘ฉันจะทำให้คุณหลงรัก’ …ไม่ได้มีสถานะสูงส่งหรืออำนาจใดๆ… คนอย่างฉันที่ไม่มีข้อดีอะไรเลย ไม่ควรจะมีสิทธิ์ร้องขอสิ่งใดจากคุณด้วยซ้ำ…”
หลังจากเผยความอ่อนแอทั้งหมดออกมา ลูน่าก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ…
“แต่ถึงอย่างนั้น…”
“ฉัน…ฉันชอบคุณมากค่ะ…ชอบ…จริงๆ…”
“…”
“ดังนั้น…ได้โปรด…ให้สิทธิ์ฉันได้อยู่เคียงข้างคุณต่อไป ให้ฉันได้รับความโปรดปรานจากคุณเถอะค่ะ หากเพื่อสิ่งนั้นแล้ว…ตั้งแต่หัวจรดเท้าของฉัน คุณสามารถใช้ได้ตามใจชอบ…แม้แต่…ยามค่ำคืนฉันก็พร้อมที่จะดูแลคุณค่ะ”
ลูน่าวางมือที่สั่นไหวไว้บนหน้าอกของตัวเอง น้ำเสียงเธอสั่นสะเทือนขณะที่ก้มศีรษะลงต่ำ
“ถึงจะมีเงื่อนไขแบบนี้…มันก็ยังยากสำหรับคุณอยู่หรือเปล่าคะ?”
“เอ่อ…จะว่าไงดีล่ะ…ลูน่า การเสียสละตัวเองแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องดีนะ ยิ่งเรื่องที่พูดถึงยามค่ำคืนแบบนั้น…”
“ถ้าฉันรู้สึกไม่อยากทำ ฉันคงจะพูดว่าไม่ไปแล้วค่ะ…ฉันจะไม่พูดอะไรแบบนี้กับคนที่ฉันไม่ต้องการอยู่ด้วยหรอก…”
คำตอบที่หนักแน่นของลูน่าทำให้เบเรธเริ่มลังเล หากใครฟังมาถึงตรงนี้ย่อมต้องเชื่อในความตั้งใจของเธอ แต่เพราะเบเรธยังคงจำบางสิ่งจากในนิยายได้ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่อาจเป็นความเข้าใจผิด และเขาตัดสินใจถามเธอเพื่อยืนยัน
“ถ้าเธอพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว…งั้นเธอก็ทำเหมือนในนิยายได้ใช่ไหม?”
“!”
ดวงตาของลูน่าเบิกกว้างด้วยความตกใจ ความว้าวุ่นปรากฏชัดบนใบหน้า แต่เธอก็พยักหน้ารับในที่สุด
“ฉ…ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้น…โปรดตอบคำถามของฉันผ่านการกระทำแบบในนิยายด้วยนะคะ ถะ…ถ้าคุณตอบรับ——”
“——เดี๋ยวก่อน! ดูสิ ใบหน้าของเธอตอนนี้มันบ่งบอกชัดเลยว่าเธอกำลังฝืนตัวเองอยู่! เธอไม่ต้องทำอะไรแบบนั้นหรอก เพราะถึงไม่ทำ ฉันก็——”
“——ฉันไม่ได้ยินค่ะ…จะได้ยินแค่…คำตอบของคุณ จะมีเพียงแค่นั้นเท่านั้นค่ะ”
คำพูดนั้นทำให้เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง
ลูน่าก้าวเข้ามาใกล้เบเรธ วางมือที่สั่นไหวของเธอลงบนหน้าอกของเขา พร้อมกับยืนเขย่งปลายเท้าขึ้น
เมื่อเธอเพิ่มความสูงเล็กน้อย เธอเงยใบหน้าที่งดงามของเธอขึ้นมา ดวงตาคู่นั้นหลับลงอย่างแนบแน่น
เพราะคำพูดที่ได้กล่าวไป ได้จุดไฟให้ลุกโชนจนถึงตอนนี้
ถ้าเบเรธปฏิเสธคำพูดนั้น สิ่งที่ควรทำคือต้องจากไปโดยไม่ทำอะไร
แต่ถ้าเขายอมรับคำพูดนั้น สิ่งที่ควรทำคือตอบรับด้วยการจุมพิตที่ริมฝีปาก
หัวสมองของเบเรธตอนนี้เหมือนจะหมุนติ้วจนเวียนศีรษะ หัวใจเต้นแรงจนหายใจติดขัด ความกังวลครอบงำจนไม่สามารถคิดอะไรได้เลย
ในช่วงเวลาที่เขากำลังจะล้มเลิกและยอมแพ้ไป ทันใดนั้นสิ่งหนึ่งกลับเข้ามาในสายตาของเขา
…น้ำตาที่ค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตาที่หลับอยู่ของลูน่า
สิ่งนี้เองทำให้ความตั้งใจที่เกือบจะยอมแพ้ของเขา พุ่งกลับมาด้วยแรงผลักดันใหม่ “ในเมื่อเป็นคนเริ่ม ก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบให้ถึงที่สุด”
เมื่อความรู้สึกมั่นคง เบเรธจึงลงมือโดยไม่ลังเล เขาค่อยๆ ใช้มือเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาของลูน่าอย่างแผ่วเบา ก่อนจะกดจุมพิตลงบนแก้มของเธอ
“!!”
ทันทีที่เธอรู้สึกได้ ดวงตาของลูน่าก็เบิกกว้าง ใบหน้าแดงซ่านพร้อมมือที่ยกขึ้นสัมผัสแก้มตัวเอง
การกระทำที่ไม่เคยปรากฏในนิยายและเกินความคาดหมาย ทำให้ลูน่าเหมือนกับถูกตรึงจนไม่สามารถขยับตัวได้
เบเรธพูดขึ้นช้าๆ เพื่ออธิบายให้เธอเข้าใจ
“คือ…ฉันนะ… ฉันอยากปกป้องลูน่าให้ได้เหมือนกับที่ฉันอยากปกป้องเอเลน่า เพราะฉะนั้น ถ้าเราต้องเดินไปข้างหน้าด้วยเงื่อนไขแบบนั้น มันเหมือนฉันทำให้ลูน่าดูเหมือนสิ่งของ ซึ่งฉันไม่ต้องการแบบนั้นเลย”
“…”
“อีกอย่าง ลูน่าเคยพูดไว้นี่นา ตอนที่เราไปเดินตลาดด้วยกันครั้งแรก เธอบอกว่า ‘จูบแรกน่ะ เก็บไว้ตอนที่เราเป็นผู้ใหญ่ก่อนเถอะ’ จำได้ใช่ไหม?”
“…………”
สองเหตุผลนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจหลีกเลี่ยงจูบตามนิยายที่เธอเสนอมา
“ดังนั้น ถ้าลูน่าจะคบกับคนแบบฉันจริงๆ ฉันมีเงื่อนไขสองข้อ หนึ่ง—ลูน่าต้องหันมาดูแลตัวเองให้มากขึ้น และสอง—ลูน่าจะต้องไม่ยอมเป็นแค่ภรรยาลับ เข้าใจไหม?”
“!!”
คำพูดที่ไม่เคยพบเจอในนิยายหรือในโลกความจริงของชนชั้นสูง เป็นคำพูดที่มีเพียงคนคนนี้เท่านั้นที่สามารถกล่าวออกมาได้
“และลูน่าก็ต้องรับผิดชอบเรื่องอำนาจที่ยุ่งยากเหมือนกันนะ ถ้าไปได้สวย ฉันอยากให้ลูน่ากับเอเลน่ามีบทบาทในฐานะที่เหมาะสม”
“…”
“แบบนี้…ไม่ดีเหรอ?”
ข้อเสนอที่หากเป็นใครก็คงไม่สามารถปฏิเสธได้ เป็นเงื่อนไขที่แม้แต่ศัตรูที่เกลียดชังก็คงต้องยอมรับ
“คุณเบเรธ เซนต์ฟอร์ด”
“คะ…ครับ?”
“คำตอบของฉัน ขอใช้สิ่งที่ฉันขอให้ทำเมื่อครู่เป็นคำตอบค่ะ…”
“อ่า…ฮะๆ…ได้ครับ…”
แม้ความสูงระหว่างทั้งคู่จะต่างกันมาก เบเรธจึงต้องโน้มตัวลงมา เขาหลับตาแน่นและเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่กำลังจะมาถึง
สัมผัสนั้นเกิดขึ้นในทันที ริมฝีปากที่อ่อนนุ่มและอบอุ่นกดแนบลงมาบนริมฝีปากของเขา
“…นี่คือคำตอบของฉันค่ะ…”
“อ่า…ขอบคุณนะ ถึงฉันจะยังอ่อนหัด แต่ต่อจากนี้ก็ขอฝากตัวด้วยนะ”
“เช่นกันค่ะ…”
ความตึงเครียดทั้งหมดคลายลงในเวลาเดียวกัน
“คือว่า…อันนี้พูดได้แค่ตอนที่เราอยู่สองคนนะ…”
“คะ?”
“ฉันชอบลูน่านะ”
“…อ๊ะ…”
ในที่สุด ลูน่าก็เผยสีหน้าแบบที่ไม่เคยแสดงออกมาก่อน
เธอใช้มือทั้งสองข้างปิดใบหน้า แต่เสียงสะอื้นเบาๆ ก็ยังเล็ดลอดออกมา
แม้จะเขินอายจนแทบขุดหลุมฝังตัวเอง แต่เบเรธที่เฝ้าดูอยู่ในท่าก้มตัวกลับต้องหยุดนิ่ง เพราะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น
“ถ้าพูดอะไรแบบนั้น…ฉัน…”
ลูน่าคล้องแขนรอบคอของเบเรธ ก่อนจะกดจูบเขาอีกครั้งด้วยตัวเอง
ทั้งหมดนี้มีสายตาที่คอยเฝ้ามองอยู่
คนขับรถม้าของบ้านเปเรนเมลที่มาตามหาลูน่า ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจน
เขามองผ่านระเบียงที่เปิดโล่ง พร้อมใบหน้าที่ตกตะลึงจนดวงตาเบิกกว้างและปากค้าง
TLN: ตอนยาวจัด แต่อ่านแล้วก็ฟิน~~~~ คุ้มค่าที่แปลแล้วครับ????