เกิดใหม่พร้อมอาชีพสุดเทพเหรอ ความจริงคือมาพร้อมโชคเฉยๆ น่ะ - ตอนที่ 26 การอ่านใจที่แท้จริง
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่พร้อมอาชีพสุดเทพเหรอ ความจริงคือมาพร้อมโชคเฉยๆ น่ะ
- ตอนที่ 26 การอ่านใจที่แท้จริง
บทที่ 26 – การอ่านใจ?ที่แท้จริง
“นี่คือชีพจรราชันย์ของดันเจี้ยนแห่งนี้ค่ะ”
จับพลัดจับผลูไปมา ฉันก็ถูกพามาดูชั้นใต้ดินของดันเจี้ยนซึ่งเป็นชั้นที่ 9 .. เอาจริงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าดันเจี้ยนมีมากกว่าหนึ่งชั้น
ตามในหนังสือหรือคำอธิบายของเมอร์ลินก็ไม่เคยบอกว่ามีชั้นที่ลึกกว่าชั้นหนึ่ง เพราะว่าเอาแค่ชั้นเดียวความกว้างของมันบางทีก็มากกว่าเมืองหนึ่งด้วยซ้ำ
ดังนั้นถ้ายังจะมีชั้นใต้ดินอีกก็คงไม่สามารถหาจุดสิ้นสุดของดันเจี้ยนได้แน่ๆ แต่ไอ้ฉันตอนนี้ก็ดันโดนพามายังชั้นที่ 9
ไม่พอนะ ไอ้ทางที่ลงมาก็ไม่ได้ดูแฟนตาซีแบบบันไดใต้ดิน มีไฟสลัวๆ จากหินเวทมนตร์เรือนแสงหรืออะไรแบบนั้นเลย..
มันมีลิฟต์อ่ะ.. คือจะบอกว่าลิฟต์ก็ไม่เชิงคือเหมือนจะมีแผ่นหินที่ขยับขึ้นลงได้เหมือนลิฟต์ บอกเลยว่ามันทันสมัยกว่าด้านนอกอีกเฮ้ย
ดันเจี้ยนนี้ในชั้นที่หนึ่งจะเป็นเขาวงกตที่กว้างมากกก แต่ประตูทางเข้าดันเจี้ยนจะอยู่ห่างจากบอสไม่มากก็จริง
แต่ว่ารอบนอกของดันเจี้ยนนั้นกว้างมาก.. พวกมอนสเตอร์อธิบายให้ฟังอะนะ
ชั้นที่สองจะเป็นชั้นที่เต็มไปด้วยน้ำ.. ในนั้นจะมีทั้งเจ้าตัวที่เหมือนเมก้าโลดอนหรือคราเคนอยู่ด้วย
ที่น่ากลัวสุดคงเป็นเจ้าตัวที่เหมือนไดโนเสาร์อาบรังสีที่ชื่ออะไรนะ.. ช่างมันเถอะ แต่น่ากลัวมาก ทะเลก็มื๊ดมืด
มืดจนแบบเหมือนจะมีตัวยักษ์โผล่ออกด้านข้างได้ตลอด.. พอผ่านชั้นที่สองไปจะเจอท้องฟ้าสีครามที่กว้างใหญ่ไพศาล
มีเมฆลอยเต็มไปหมด แต่จากคำอธิบายพวกมอนสเตอร์คือเมฆเหล่านี้บางอันจะเหยียบได้ บางอันเหยียบไม่ได้
ชั้นที่สี่เป็น. พื้นที่ดำมืดมองไม่เห็นอะไรนอกจากจุดแสงเล็กๆ ไกลจนไม่สามารถจับต้องได้ ไร้แรงโน้มถ่วง
พวกมอนสเตอร์บอกว่าเป็นท้องฟ้ายามราตรีก็เถอะ แต่ไอ้แบบนี้มันอวกาศชัดๆ เลยอะ
ส่วนชั้นต่อไปก็… ช่างเหอะ เพราะแต่ละด่านก็มีแต่เรื่องน่ากลัวอยู่ละ เอาเป็นว่าชั้น 9 คือขั้นที่เหมือนกับใต้ดินจริงๆ
เพราะมีหินงอกหินย้อยตลอดทางเดิน ในนี้ไม่มีมอนสเตอร์หรือใครนอกจากฉันกับเอลลิสที่นำทางฉันอยู่เลย
อันที่จริงก็มีลูกน้องสองคนที่เฝ้าอยู่หน้าของที่คล้ายลิฟท์ แต่พวกเธอก็ไม่ได้ตามมาด้วย ทำให้ตอนนี้มีแค่ฉันกับเอลลิส
นอกจากนี้ยังได้ยินเสียงน้ำหยดติงๆ จากหินงอกหินย้อย บรรยากาศดูเป็นดันเจี้ยนใต้ดินสักทีนะเว้ย
“อีกเดี๋ยวก็จะถึงแล้วค่ะ.. ชีพจรราชันย์ ต้นกำเนิดของดันเจี้ยน ต้นกำเนิดของพวกเราชาว ‘นีลเลอร์’ ค่ะ”
“นีลเลอร์?”
“ชื่อของพวกเราที่ท่านหญิงมอบให้ค่ะ ตัวตนที่เกิดจากความว่างเปล่าอาศัยพลังแห่งความว่างเปล่าเพื่อดำรงอยู่.. พวกเราต่อให้ถูกจัดการก็สามารถถือกำเนิดขึ้นใหม่ได้ตราบใดที่อยู่ในเขตของชีพจรราชันย์ค่ะ”
“อมตะ?”
ว้าว ดูแฟนตาซีอีกแล้วแฮะ
“จะว่าแบบนั้นก็ถูกค่ะ พวกเราไม่มีทางตาย แต่ตราบที่ชีพจรราชันย์ยังอยู่น่ะ ชีพจรราชันย์ที่เป็นพลังของท่านหญิงเปรียบเสมือนตัวตน วิญญาณและชีวิตของพวกเราค่ะ แต่ก็อย่างที่บอกพวกเราออกนอกดันเจี้ยนที่อยู่นอกเขตชีพจรราชันย์ไม่ได้ค่ะ”
อืม.. เท่สุดๆ แต่ว่านะ… แต่ว่านะไม่เกี่ยวกับตูเปล่าเฮ้ย ตูไม่ใช่ราชินีแห่งความว่างเปล่าสักหน่อยนะ
ฉันไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องปวดหัวเข้าใจผิดอีกแล้วอ่ะ ไหนๆ ตอนนี้ก็เหลือคนเดียวแล้ว น่าจะฟังที่ฉันพูดได้ใช่ป่ะ
“เอ่อ.. คือว่านะ.. ถ้าฉันจะบอกว่า…”
“นอกจากนี้ ชีพจรราชันย์ นั้นเป็นแหล่งพลังงานที่เป็นความลับแม้แต่ราชาแห่งสรรพสิ่ง.. กล่าวคือต่อให้โลกทั้งใบล่มสลายเรื่องนี้ก็ไม่ควรให้คนนอกที่ไม่เกี่ยวกับความว่างเปล่ารับรู้โดยเด็ดขาด”
“…..”
“ถ้ามีคนรู้สิ่งเดียวที่ทำได้มีเพียงต้องจับกุมขังไว้ในชั้นที่สิบ ทะเลแห่งชีพจรความว่างเปล่าตลอดกาล ไม่ให้ตายเพราะหากตายก็จะไปเกิดใหม่ในวิญญาณเดิมที่ไร้ความทรงจำ แต่ก็มีวิธีมากมายที่จะทำให้ความทรงจำกลับมาได้.. ดังนั้นวิธีที่ดีสุดก็คือการคุมขังไปตลอดกาลค่ะ”
“……”
อืม..
“ว่าแต่เมื่อกี้จะพูดอะไรหรือเปล่าคะ?”
“….ไม่มีอะไร”
เอ็งขู่ชัดๆ เลยไม่ใช่เหรอวะ เล่นพูดซะขนาดนั้นจนจบเป็นเนื่องเป็นราวแล้วค่อยถามถึงคำถามที่ฉันอยากจะบอกว่าตัวเองไม่เกี่ยว
ขู่กันชัดๆ เลยนี่น่า นี่มันบังคับเข้าสู่อีเว้นชัดๆ เลย.. ตูผิดอะไรเนี่ย พวกเอ็งเอาข้อมูลมาบอกเองโดยไม่ฟังกันไม่พอ
พอฉันรู้ก็จะถูกขังตลอดกาลไม่ให้ตาย เอ็งบ้าหรือเปล่าวะ.. ถ้ามนุษย์อยู่ได้โดยไม่พึ่งพาความสุขหรืออะไรบางอย่างมันทรมานมากนะว้อย
หรือว่ายัยนี่มันอ่านความคิดฉันได้หรือไง ถึงขู่เสร็จสรรพค่อยถามความสมัครใจของฉันเนี่ย.. ถึงจะไม่ใช่ความสมัครใจแต่เป็นความ ‘ไม่เกี่ยวกับตูเฟ้ย’ ก็เถอะ
ฉันได้แต่กุมขมับ..
เอาเถอะ ยัยพวกนี้ออกจากดันเจี้ยนไม่ได้หรอก..
เอ้ะ.. พอฉันคิดแบบนั้นทำไมรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรคิดแบบนั้นเลย ฉันมองหน้าเอลลิสด้วยความสับสน
“อะไรเหรอคะ?”
อืม.. มีอะไรผิดปกติกับความคิดฉัน.. เมื่อ..กี้..
อ้ะ นึกออกแล้วเว้ยเฮ้ย ไอ้บทพูดเมื่อกี้มันบทพูดปักแฟล็กตามสูตรตั้งแต่ที่ตูอยู่ในโลกนี้มาเลยนี่หว่า
ในขณะที่เหงื่อตกอยู่นั้นเองเอลลิสก็พาเดินมาถึงสุดทางเดิน ด้านหน้ามีกำแพงหินสูงถึงเอวกั้นไว้อยู่ ด้านหน้าเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นขอบ
“นี่แหละคือชีพจรราชันย์ของดันเจี้ยนแห่งนี้ งดงามใช่ไหมล่ะค่ะ นี่คือเศษเสี้ยวพลังของท่านหญิงก่อนที่จะเกิดใหม่ค่ะ”
“งดงาม..?”
งดงามบ้าไรของหล่อนฟะ ที่ฉันเห็นก็มีแค่หลุมโง่ๆ ใหญ่ๆ ที่ไม่มีแสงไม่มีเสียงอะไรเลยนะ …
“ฉันไม่เห็—”
“ใช่ค่ะ คนที่สัมผัสความงดงามนี้ได้มีเพียงแค่พวกเราชาวนีลเลอร์กับท่านหญิงเท่านั้นแหละค่ะ ชีพจรราชันย์มันคือความว่างเปล่าที่แท้จริงไม่มีทางที่พวกไม่เกี่ยวข้องจะมองเห็นได้หรอกค่ะ.. การที่ท่านมองเห็นเองก็เป็นหลักฐานพิสูจน์ว่าท่านคือท่านหญิงของพวกเรานั่นแหละ”
มองไม่เห็นโว้ย! อีกอย่างทำไมเอ็งต้องพูดเรื่องที่ถ้าฉันบอกว่ามองไม่เห็นหรือไม่ใช่คนคนนั้นของพวกแกจะถูกฆ่าทิ้งมาในตอนจังหวะที่ฉันกำลังพูดแบบนั้นฟะ
สรุปหล่อนอ่านใจฉันได้จริงๆ ใช่ไหม นี่รู้อยู่แล้วแต่แรกใช่ไหมว่าฉันไม่ใช่ราชินีอะไรนั่น แต่ยังมากวนฉัน
ใช่ไหมเฮ้ย!
แน่นอนว่าฉันไม่มีทางพูดต่อจากสิ่งที่ฉันพูดไม่จบแน่ๆ ถ้าพูดต่อไปมีหวัวโดนจับตลอดชาติ ฉันเลยต้องเออออตามไปด้วย
“นั่นสินะ…”
ถึงจะไม่รู้ว่ามันหน้าตาไงก็เถอะ..!
“สวยมากเลยล่ะ”
ถึงจะไม่รู้ว่าสวยยังไงก็เถอะ…!!
“สมกับเป็นพลังของฉันจริงๆ”
ถึงจะไม่ใช่พลังของฉันจริงๆ ก็เถอะ….!!!!
“นั่นสินะ แสงสว่างหลากสีที่เหมือนดูดกลืนทุกสิ่งนี้ไม่มีใครสามารถสร้างได้นอกจากราชินีหรือท่านหญิงแล้วล่ะ!”
“ก็นะ.. ก็เป็นฉันซะอย่างนี่น่า”
ถึงจะไม่ใช่ฉันก็เถอะ….
“แต่ว่านะคะ..”
ในตอนนั้นเองเอลลิสก็พูดขึ้น
“ท่านหญิงมองเห็นด้วยสินะ.. ตอนแรกข้าก็นึกว่ามองไม่เห็น เพราะถ้ามองไม่เห็นบางทีการกลับชาติมาเกิดของท่านอาจจะผิดพลาดมากเกินไป อาจต้องทอดเวลารอไปอีกสักร้อยปีให้ท่านพบประสบการณ์ต่างๆ ในโลกเพื่อฝึกจิตของท่าน.. แต่ในเมื่อท่านมองเห็น บางทีเราอาจจะรวบรวมกองกำลังและกอบกู้อาณาจักรแห่งจุดเริ่มต้นได้ในเร็ววัน”
“……..”
แม่งเอ้ย มองไม่เห็นก็ไม่เป็นไรแถมมีเวลายืดออกไปอีกร้อยปีไม่ใช่เหรอฟะ ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกวะเนี่ย
แถมร้อยปีฉันก็คงแก่ตายไปก่อนแล้วด้วย..
สรุปหล่อนอ่านใจฉันได้จริงๆ ใช่ไหมเฮ้ย!
แค่อยากได้ใครสักคนมาเป็นราชินีให้เฉยๆ ใช่ไหมเฮ้ย?!