เกิดใหม่พร้อมอาชีพสุดเทพเหรอ ความจริงคือมาพร้อมโชคเฉยๆ น่ะ - ตอนที่ 0.1 ความแข็งแกร่งที่แท้จริง
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่พร้อมอาชีพสุดเทพเหรอ ความจริงคือมาพร้อมโชคเฉยๆ น่ะ
- ตอนที่ 0.1 ความแข็งแกร่งที่แท้จริง
บทที่ 0 ความแข็งแกร่งที่แท้จริง
โลกแห่งนี้เป็นโลกที่กว้างใหญ่ราวกับไร้ที่สิ้นสุด ถูกแบ่งแยกทวีปต่างๆ ออกจากกันด้วยมหาสมุทรแห่งม่านหมอกสีดำสนิทที่ไม่สามารถหาจุดสิ้นสุดพบได้
และแน่นอนว่าเรื่องพวกนั้นก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างห่างไกลเกินไป เพราะเรื่องราวที่จะกล่าวถึงนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เป็นเรื่องราวในทวีปที่มีชื่อว่า ‘ทวีปแฟนตาเซีย’ แม้จะกล่าวว่าเป็นทวีป แต่มันก็กว้างใหญ่ มีทั้งแม่น้ำ ทะเลและดินแดนต่างๆ ที่มีสภาพแวดล้อมต่างกัน
ซึ่งความกว้างขวางของมันไม่ต่างจากดาวดวงหนึ่งเลยก็ว่าได้.. ไม่สิ มันกว้างขวางยิ่งกว่าดวงดาวด้วยซ้ำ หากว่ากันบางระดับละก็นะ
และแน่นอนในทวีปแฟนตาเซียแห่งนี้ ก็มีสิ่งที่เหมือนกับหลุดออกมาจากเทพนิยายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น อสูร ปีศาจ มนุษย์ กึ่งมนุษย์หรือแม้แต่สิ่งที่เรียกว่าเทพเจ้าที่แท้จริงก็เช่นกัน
อย่างไรก็ตามแน่นอนว่าในดินแดนที่เต็มไปด้วยความแตกต่างด้านเผ่าพันธุ์หรือชาติพันธุ์ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นำมาซึ่งความขัดแย้ง ความบ้าคลั่งและสงครามซึ่งเกิดขึ้นจากความเชื่อที่แตกต่าง ความคิดที่แตกต่างกันออกไปนั่นเอง
แต่ละเผ่าพันธุ์เองก็ล้วนมีสิ่งมีชีวิตซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเผ่าพันธุ์ เพื่อยึดมั่นในความเชื่อ และความเข้าใจของตนเองเช่นเดียวกัน
ฝั่งปีศาจก็มีสิ่งที่เรียกว่า ‘จอมมาร’
ฝั่งมนุษย์ก็มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ผู้กล้า’
ใช่แล้ว.. นี่เป็นโลกแบบนั้นเอง โลกที่ผู้กล้าต้องห้ำหั่นกับจอมมารเพื่อปกป้องความเชื่อ และความคิดที่เป็นของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นโลกนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีกฎที่ดำรงอยู่ เพราะยังมีบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายใต้กฎที่กำหนดมาโดยพระผู้เป็นเจ้า..
หรือก็คือ ‘เทพเจ้าเพียงหนึ่งเดียวที่แท้จริง’
ไม่ว่าจะปีศาจ มังกร มนุษย์ ทุกผู้คนล้วนอยู่ภายใต้อำนาจของเขาซึ่งถือครองกุญแจแห่งโซโลมอน
ใช่แล้ว ทุกๆ 100 ปี จะมีการต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์กันเกิดขึ้น และหลังจากนั้นต้องเว้นระยะไปอีก 100 ปี ถึงจะสามารถเริ่มสงครามได้อีกครั้ง กฎนี้ดำรงอยู่เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ตั้งตัวหลังการสูญเสียที่ดำเนินไปตลอดหนึ่งร้อยปีนั่นเอง
ผู้กล้าและจอมมารต่างอ่อนแอลงเมื่อเวลาผ่านไป ช่องว่างหนึ่งร้อยปีนั้นมีไว้เพื่อให้ทุกเผ่าพันธุ์ได้บ่มเพาะผู้แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์ขึ้นมาอีกครั้งนั่นเอง
นั่นคือกฎแรกที่สิ่งมีชีวิตได้รับจากพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นกฎอันเด็ดขาดนั่นเอง และผู้ที่คอยรับฟังโองการของพระผู้เป็นเจ้ามาบอกต่อสิ่งมีชีวิตเบื้องล่างคือผู้คนจากโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ที่กระจายอยู่ทุกหนทุกแห่งในทวีปแฟนตาเซียแห่งนี้
และตอนนี้สงครามได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังจากหนึ่งร้อยปีผ่านไป และสงครามนี้เป็นสงครามครั้งที่เท่าไหร่ไม่มีใครระบุได้นอกจากพระเจ้าซึ่งตอนนี้ได้หายสาบสูญไปเมื่อหลายสิบปีก่อนนั่นเอง
อย่างไรมันก็ปะทุขึ้นอีกครั้งแล้ว
นี่เป็นศึกระหว่างมนุษย์และปีศาจ
กองทัพนับแสนยืนเกรียงไกรกันห่างออกไป สงครามครั้งนี้คือสงครามครั้งแรกในรอบหนึ่งร้อยปี การปะทะกันครั้งแรกจึงต้องบังเกิดขึ้นภายใต้การเฝ้าดูจากหลายๆ ฝ่ายและคนใหญ่คนโตหลายฝ่าย และแน่นอนว่าต้องเป็นการต่อสู้ที่จะกลายเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษย์และปีศาจอย่างแน่นอน
คนที่ยืนนำหน้ากองทัพฝ่ายมนุษย์นั้นเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง ผมสีทองของเขาพลิ้วไหวไปตามสายลม เกราะสีขาวสะอาดตา ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ปักลงพื้นราวกับเป็นเสาค้ำจุนมนุษยชาติ… ผู้กล้าลำดับสองแห่งอาร์คาช่า ดาบทองคำ นั่นคือนามของเขา
จะกล่าวว่าเป็นผู้กล้าที่แข็งแกร่งรองจากผู้กล้าลำดับหนึ่งที่หายสาบสูญเพียงหนึ่งระดับ หากว่ากันตามตรงมนุษย์ที่เก่งกว่าเขาบนทวีปนี้คงมีแค่สองคนคือผู้กล้าลำดับที่หนึ่งกับคนคนนี้…
สายตาชายหนุ่มรูปงามผมทองหันไปด้านข้างซึ่งมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้พิเศษที่เตรียมไว้อย่างอลังการงานสร้าง.. อันที่จริงทุกคนที่มองภาพนี้ต่างล้วนรู้ดีว่าผู้กล้าคนนี้กำลังเกรงใจสาวน้อยคนนี้อยู่ แต่กลับไม่มีใครแสดงท่าทีดูถูกออกมาเลย
“เอ่อ.. ท่านหญิงครับ.. เราควรทำยังไงดี”
หญิงสาวไม่ได้ตอบทันที อันที่จริงเธอนั่งเท้าคางแสดงสีหน้าครุ่นคิดอยู่ ผู้กล้าหนุ่มจึงเงียบลงไม่กล้ารบกวน
แทนที่จะบอกว่าหญิงสาว ต้องบอกว่าเธอเป็นสาวน้อยที่ดูเหมือนอายุแค่ประมาณ 11-12 ปีเท่านั้น ผมสีฟ้ายาวสลวยของเธอนั่นยังมีไฮไลท์สีชมพูตัดสลับอย่างลงตัว ดวงตาสองสี ข้างหนึ่งเป็นตาสีฟ้าข้างหนึ่งเป็นดวงตาระยิบระยับยากจะแยกสีออกได้ชัดเจน… ถึงเธอจะมีรูปร่างเหมือนเด็กแต่การที่เธอปรากฏตัวที่นี่ก็ทำให้ขวัญกำลังใจทหารทั้งหมดเพิ่มขึ้นมากกว่ามีผู้กล้าเสียอีก
และการที่เธอปรากฏตัวที่นี่ก็ทำให้ฝั่งศัตรูหวั่นเกรงยิ่งกว่าอะไรเช่นเดียวกัน
ผ่านไปสักพักเธอก็พูดขึ้น
“อืม.. นายไปจัดการกับจอมมารก่อน ฉันคิดว่านั่นเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้ทหารที่ดีที่สุดเช่นเดียวกัน”
“เอ๊ะ…. ก็คือ ข้าต้องไปสู้กับจอมมารก่อนสินะ?”
“ถูกต้อง ไม่พอใจเหรอ?”
“ปะ.. เปล่าครับ.. ข้านึกว่าท่านหญิงจะเป็นคนจัดการจอมมาร…”
“อย่ามาพูดบ้าๆ นะ หน้าที่นั้นเป็นของนายต่างหาก ฉันไปเองเดี๋ยวประวัติศาสตร์ก็ไม่ทันได้บันทึกพอดีสิ แล้วก็นายสั่งการทหารทั้งหมดได้ตามสบายเลย”
“อ้ะ.. ขอบคุณมากครับ!”
ผู้กล้าหนุ่มผมทองกล่าวอย่างซาบซึ้ง อันที่จริงเขาเป็นคนชอบการต่อสู้มาก และใฝ่ฝันจะสู้กับจอมมารสักครั้งในชีวิต นอกจากนี้ถึงยังไงซะเขาก็เป็นถึงผู้กล้า หากท่านหญิงลุยแทนละก็แม้แต่จอมมารคงได้ตายในวินาทีแรก
นั่นหมายความว่าเขาจะกลายเป็นแค่ตัวตลกมีไว้ประกอบฉาก แต่ท่านหญิงถึงขั้นมอบสิทธิ์ในการสั่งกองกำลังทหารทั้งหมดให้อีกด้วย กล่าวคือสำหรับเธอสงครามที่มีจอมมารเพียงคนเดียวไม่นับเป็นอะไรเลยด้วยซ้ำ!
นอกจากนี้ดูเหมือนว่าเธอก็จะสังเกตแล้ว.. ที่ฝั่งศัตรูมีจอมมารหนึ่งคนก็จริง แต่ว่าจอมมารที่มาไม่ใช่จอมมารที่แข็งแกร่งที่สุด กล่าวคือเป็นจอมมารที่เขาพอจะต่อกรและพัฒนาตนเองด้วยได้นั่นเอง นอกจากนี้คนที่อยู่ด้านข้างจอมมารก็คือเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง… เขาเองก็ไม่อยากจะคิดหรอกนะ..
แต่คนที่อยู่ข้างจอมมารน่าจะเป็น ‘เทพมาร’ เป็นบุคคลที่แข็งแกร่งทัดเทียมหรืออาจจะมากกว่าจอมมารที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นอาจารย์สอนจอมมารนั่นเอง!
หากคนระดับนั้นมา ต่อให้เป็นเขา บางทีก็คงต้านทานไม่ไหว มีหวังทหารกว่าแสนโดนฆ่าล้างบางในพริบตาเป็นแน่ บางทีท่านหญิงอาจจะบอกว่าเธอจะดูแลทหารให้ก่อน ให้เขาออกไปต่อสู้กับจอมมารเป็นขวัญกำลังใจก่อนนั่นเอง!
“สมกับเป็นท่านหญิง มองขาดมากครับ!”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความนับถือ
“เอ้ะ.. อะ.. อืม”
หญิงสาวแสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมาแต่ก็พยักหน้าตอบกลับไป
ผู้กล้าหนุ่มยกดาบขึ้นและชี้ไปทางทัพศัตรู..
ดูเหมือนว่าจอมมารกับเทพมารคุยอะไรบางอย่างกัน จอมมารก็พยักหน้าและยกคทาเวทขึ้นชี้ไปทางผู้กล้าหนุ่ม.. จอมมารเป็นสาวสวยวัยอวบอึ๋มเลยก็ว่าได้ ชุดของเธอค่อนข้างเปิดเผยแต่กลับไม่มีใครกล้ามองเธอตรงๆ
จอมมารลำดับสองแห่งศาสตร์ความตาย ผู้ฟื้นคืนจากความตาย
นั่นคือนามที่ผู้คนเรียกขานให้แก่เธอ.. ทั้งสองไม่จำเป็นต้องพูดจากันแต้พริบตาเดียวก็หายไปก่อนจะเกิดการต่อสู้ที่รุนแรงสนั่นฟ้า สะเทือนดิน ทำเอาทหารทั้งสองฝ่ายต่างหน้าซีดเผือดด้วยความผวา
เพราะการต่อสู้ของคนทั้งสองมันสางผลกระทบในระดับเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ แสงสีดำจากความตาย แสงสีทองแห่งความบริสุทธิ์ต่างพากันสาดส่องไปทั่วสนามรบ เกิดเป็นแรงระเบิดที่รุนแรงทำลายอากาศเกิดเป็นช่องโหว่ของกาลอวกาศ แทบจะกลายเป็นหลุมดำดูดเอาทุกสรรพสิ่ง
แต่พริบตาถัดมาดาบของผู้กล้าตวัดลง หลุมดำถูกผ่าครึ่ง และมนตราของจอมมารก็ทำเอาหลุมดำสลายกลายเป็นเถ้าธุลีอย่างแปลกประหลาด!
ทหารทุกคน ปีศาจทุกนายสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ พวกเขาพลันรู้สึกว่าหากไม่มีผู้กล้า/จอมมาร.. พวกเขาคงไม่ต่างอะไรจะเศษฝุ่นที่รอวันเชือดบนเขียงเท่านั้น!
“เจ้าหมอนี่.. จะมาสู้กันใกล้ขนาดนี้ทำไม?”
เสียงเล็กๆ ดังขึ้นจากปากของสาวน้อยผมสีฟ้า.. เธอบ่นแบบนั้นแต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบรับ.. เธอขมวดคิ้วและหันไปดูด้านหลัง
“เอ้ะ..?”
สีหน้าของเธอกระตุกเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเพราะหลุมดำเมื่อกี้เธอเลยถูกดูดเข้ามาใกล้การต่อสู้ระหว่างจอมมารและผู้กล้าเสียแล้ว อาจจะเพราะเก้าอี้ที่เธอนั่งเป็นสมบัติระดับชาติปกป้องผู้นั่งจาก ทั้งดิน ลม ฝน กรดทุกชนิด พอโดนดูดเข้ามา เธอจึงไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด
“อะไรวะเนี่ย..!!”
“อะไรเนี่ย..!!”
ในขณะที่สาวน้อยผมสีฟ้าสบถออกมา ก็มีเสียงทำนองเดียวกันดังขึ้นจากอีกด้าน ทั้งสองเหมือนจะรู้สึกถึงกันและกันขึ้นมา พอหันมาเจอหน้ากันทั้งสองก็ถึงกับหรี่ตาลงแทบจะทันที
“เทพมาร!”
“ผู้สังหารเทพ!”
ทั้งคู่อุทานฉายาของกันและกันออกมา.. พอทั้งคู่ประจันหน้ากัน สายตาของทหารทั้งสองฝ่ายเหมือนพึ่งสังเกตเห็น พวกเขาจึงตะโกนขึ้น
“เฮ้ยดูนั่นสิ ยัยเทพมารนั้นเจอกับท่านหญิงพวกเราแล้ว!”
ฝั่งปีศาจก็กล่าว
“พวกแกดูสิ ท่านเทพมารประจันหน้ากับยัยป่าเถื่อนสังหารเทพแล้ว!”
วินาทีเสียงพวกต้นเรื่องดังขึ้น ทุกคนต่างพากันหันขวับมามองด้วยความสนใจแทบจะทันที ราวกับว่าการต่อสู้ของจอมมารและผู้กล้าต่างพากันเป็นเรื่องรองไปแล้ว!
และแน่นอนเมื่อจอมมารกับผู้กล้าเห็นฉากนี้ พวกเขาไม่ต้องกล่าวอะไรก็รีบถอยออกไป เลิกต่อสู้กันทันที ราวกับว่าพวกเขาไม่กล้าที่จะบินอยู่เหนือหัวสองคนนี้ ไม่สิ.. หากพวกเขายังอยู่ตรงนั้นเมื่อสองคนนี้ปะทะกัน.. พวกเขาต้องตายอย่างแน่นอน!
อย่างไรก็ตามทั้งเทพมารก็ดี ผู้สังหารเทพก็ช่าง..ทันทีที่มาอยู่ต่อหน้ากันและกัน ทั้งสองก็ไม่กล้าที่จะนั่งบนเก้าอี้อีกต่อไป ทั้งคู่ยืนขึ้นมองหน้ากันและไม่พูดไม่จาใดๆ ทั้งสิ้น
“ทุกคน!ถอยทัพออกไปจากนี่ทันทีข้าปกป้องพวกเจ้าได้ไม่หมดหรอกนะ!”
ผู้กล้ากล่าวกับทหารของตน
“กองทัพข้า ถอยร่นเร็ว หากท่านเทพมารลงมือข้าเกรงว่าที่นี่คงไม่มีความปลอดภัย!”
จอมมารเองก็ตะโกนเช่นกัน
อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายต่างพากันส่งเสียงเชียร์
“ท่านหญิง จัดการมันเลยครับ! แสดงฝีมือของผู้สังหารเทพให้มันได้เห็นเลยครับ ไม่ต้องห่วงพวกเรา! หากต้องตายเพราะเหตุนี้พวกเราไม่เสียดายชีวิต!”
คำพูดแบบเดียวกันนี้ดังขึ้นจากฝั่งปีศาจเช่นกัน…
เพียงแต่ที่ตอบรับคำกล่าวก้องของคนทั่วทั้งสนาม ทั้งสองหาได้พุ่งเข้าใส่กันทันทีไม่ เพียงมองหน้าซึ่งกันและกันราวกับเกิดเป็นการปะทะกันระหว่างพลังที่มองไม่เห็น
ส่งผลให้ทุกอย่างในระยะหลายร้อยกิโลเมตรเงียบลงแทบจะทันที
……….
ก่อนที่ทุกอย่างจะดำเนินมาจนถึงจุดนี้… จริงๆ แล้วมันมีเหตุผลของมันอยู่