เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 340 สองปีผ่านไป
ความจริงแล้วเวลานี้ในใจของเย่ฉางชิงนั้นรู ้สึกสับสนมิน้อย
บัดนี้แม้เขาจะได้ท่องไปทั่วทั้งจงหยวนตามที่ปรารถนาเอาไว้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ร่วมเดินทางไปกลับยอดหญิงงามเช่นตู๋กูชิงเฟิงอีก ด้วย
มิว่าเรื่องตรงหน้าทั้งหมดนี้จะเป็ นเพียงความฝัน หรือว่าเกิดขึ้น จริง ๆ
แต่เวลานี้เมื่อประตูสวรรค์อยู่ตรงหน้า เขาควรจะก้าวข้ามประตู สวรรค์เพื่อไปดูโลกหลังประตูบานนั้นมิใช่หรือ ?
เพราะผู้บาเพ็ญเพียรทุกคนบนโลกใบนี้ ต่างก็ทุ่มเททั้งชีวิตเพียง เพื่อก้าวข้ามประตูสวรรค์บานนี้และจะได้หลุดพ้น
เช่นนั้นเย่ฉางชิงเองก็มีความอยากและสงสัยใคร่รู ้เช่นเดียวกัน
หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ เย่ฉางชิงจึงมองไปยังตู๋กูชิงเฟิงอีกครั้ง
ตู๋กูชิงเฟิงจึงเป็ นฝ่ ายเอ่ยขึ้นว่า “ฉางชิง ขอเพียงเจ้าต้องการ ข้า สามารถอัญเชิญทัณฑ์สวรรค์ได้ทันที เพื่อข้ามประตูสวรรค์ไปพร ้อม กับเจ้า”
ในสายตาของตู๋กูชิงเฟิงนั้น
การที่เย่ฉางชิงหันกลับมามองนางถึงสองครั้ง ก็แสดงว่าครั้งนี้เขา คงต้องการที่จะไปแล้วจริง ๆ
เพียงเท่านี้ก็สามารถอธิบายความรู ้สึกที่เย่ฉางชิงมีต่อนางได้เป็ น อย่างดีแล้ว
บัดนี้ในเมื่อเย่ฉางชิงจาต้องจากไปแล้ว เช่นนั้นนางก็มิมีสิ่งใดที่ ต้องห่วงบนโลกนี้อีกแล้ว
อีกทั้งนางก็ได้สะกดตบะบารมีของตัวเองมาหลายปี ทว่าบัดนี้เมื่อ เจอกระตุ้นบ่อยครั้ง จึงยากที่จะสะกดต่อไปได้อีก
ได้ยินเช่นนั้น เย่ฉางชิงก็ผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า
ตอนนั้นเองท่านเทพฉางชิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเย่ฉางชิงก็ส่ายหน้า ยิ้ม ๆ พลางเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยนว่า “วันนี้มีเพียงเจ้าคนเดียว เท่านั้น ที่จะสามารถก้าวข้ามประตูสวรรค์บานนี้ไปได้”
“ท าไมกัน ? ”
เย่ฉางชิงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
ท่านเทพฉางชิงจึงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “เพราะประตู สวรรค์บานนี้เกิดขึ้นจากเจตจานงของเจ้า ส่วนนางนั้นถือกาเนิดมา จากโลกใบนี้”
“หากประตูสวรรค์ถูกเปิดออกพร ้อมกันสองบานในเวลาเดียวกัน ย่อมส่งผลกระทบต่อโลกใบนี้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นหากนางมิ สามารถผ่านบทสดสอบของสวรรค์ไปได้ โลกใบนี้ก็จะตกอยู่ใน อันตราย มีโอกาสสูงที่จะพังพินาศลง”
‘เกิดขึ้นจากเจตจานง ? ’
‘เปิดออกพร ้อมกันสองบาน ! ’
‘ข้ามีความสามารถขนาดนั้นเชียวหรือ ? ’
“หมายความว่าเยี่ยงไร?”
เย่ฉางชิงใจสั่นขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะอดถามขึ้นมามิได้ว่า “หรือ ว่าเจตจ านงของข้าสามารถเทียบเคียงกับวิถีฟ้ าได้เยี่ยงนั้นหรือ”
ท่านเทพฉางชิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยประโยคที่แฝง ความหมายลึกซึ้งว่า “เรื่องบางเรื่องเมื่อถึงเวลาเจ้าย่อมจะรู ้เอง”
เอ่ยเพียงเท่านั้น ผู้ที่ถูกขนานนามว่าท่านเทพฉางชิงก็ค่อย ๆ เลือนลางลง ก่อนจะหายวับไปในอากาศ
เมื่อเห็นเช่นนั้น เย่ฉางชิงก็อดมิได้ที่เม้มริมฝีปากเข้าหากัน
‘ท าไมจู่ ๆ ก็หายไป ? ’
‘หรือว่าเขาได้พูดอะไรที่มิควรพูดเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘เกิดขึ้นจากเจตจานง ! ’
‘ประตูสวรรค์สองบาน…’
หลังจากเงียบอยู่สักพัก เย่ฉางชิงเหมือนกับนึกบางอย่างขึ้นมา ได้ ดวงตาพลันมีประกายบางอย่างแวบผ่าน
“จริงสิ ในเมื่อชิงเฟิงมิสามารถรับการทดสอบจากสวรรค์วันนี้ได้ แต่นางยังต้องการจะไปจากโลกใบนี้พร ้อมกับข้า”
เย่ฉางชิงลูบคางเล็กน้อย พลางเอ่ยอย่างครุ่นคิด “เช่นนั้นข้าก็ แค่หน่วงเวลาทาให้นางเห็นภาพประตูสวรรค์บานนี้หายไปช ้าลง เพื่อ เลี่ยงมิให้นางอัญเชิญทันสวรรค์ในเวลาเดียวกันกับข้า เท่านี้ประตู สวรรค์ทั้งสองบานก็เปิดออกคนละเวลากันแล้ว และจะมิส่งผลกระทบ ต่อโลกนี้ด้วย”
“อืม คงต้องทาเช่นนี้แล้วล่ะ”
คิดได้เช่นนั้น เย่ฉางชิงก็หันไปมองตู๋กูชิงเฟิงอีกครั้ง จากนั้นจึง เพ่งสมาธิ
วินาทีต่อมา เย่ฉางชิงก็ได้เงยหน้าขึ้นมองประตูสวรรค์ จากนั้นก็ สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง ก่อนก้าวข้ามประตูสวรรค์บานนั้นไป
เพียงพริบตา หลังจากเย่ฉางชิงหายเข้าไปในล าแสงสีทอง มากมายแล้ว
ประตูสวรรค์บานนั้นก็หายไปในอากาศ ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ อีกครั้ง
ทว่าสิ่งที่ตู๋กูชิงเฟิงมองเห็น หาได้เป็ นเช่นนั้นไม่
สิ่งที่นางเห็นคือเย่ฉางชิงยังคงยืนอยู่หน้าประตูสวรรค์ เหมือนจม ดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิด
นิ่งค้างราวกับหินก็มิปาน เขาแค่ยืนนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้น
จนเวลาผ่านไปได้หนึ่งชั่วยาม
เย่ฉางชิงก็ยังคงยืนอยู่หน้าประตูสวรรค์บานนั้นมิขยับเขยื้อน แม้แต่น้อย
‘เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ’
‘หรือว่าตอนนี้ฉางชิงกาลังตกอยู่ในภวังค์รู ้แจ้งบางอย่างเยี่ยงงั้น หรือ ? ’
‘อืม ! ’
‘คงจะเป็ นเช่นนั้น ! ’
ตอนนั้นเอง ระหว่างที่ตู๋กูชิงเฟิงเกิดความสงสัยขึ้นมานั้น
ถูสือซานและราชันทมิฬที่มีท่าทางเซื่องซึมก็เดินเข้ามาหาอย่าง ระแวดระวัง
เพราะในช่วงที่เย่ฉางชิงและตู๋กูชิงเฟิงไปท่องจงหยวนนั้น
ถูสือซานและราชันทมิฬต้องอยู่ในเมืองเสี่ยวฉืออย่างทุกข์ ทรมาน
โดยเฉพาะราชันทมิฬ เมื่อชาวบ้านที่ปกติชอบหยอกล้อว่า จะเฉือดเขามาทาหม้อไฟเนื้อสุนัข กลายเป็ นผู้แข็งแกร่งที่ไร ้เทียม ทานเพียงชั่วข้ามคืน
แค่คิดดูก็รู ้แล้วว่าเขานั้นต้องเจอกับแรงกดดันเช่นไร
เช่นนั้นในทุกวัน ๆ ราชันทมิฬจึงได้แต่กอดภาพราชันทมิฬ เอาไว้ และแอบอยู่ในห้องเก็บฟืนพร ้อมตัวที่สั่นเทา
ส่วนถูสือซานผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ ทว่าหลังถูกราชันทมิฬล้างสมอง ก็มิได้ดีไปกว่ากันเท่าไรนัก
“พี่ชิงเฟิง ผู้อาวุโสพวกนั้นไปไหนกันหมดแล้วหรือเจ้าคะ ? ”
ถูสือซานเอ่ยถามขึ้นเมื่อมายืนตรงหน้าของตู๋กูชิงเฟิง
ตู๋กูชิงเฟิงยังคงจ้องมองแผ่นหลังของเย่ฉางชิงอยู่เช่นนั้น พลาง เอ่ยออกมาเรียบ ๆ ว่า “พวกเขาข้ามประตูสวรรค์ และจากโลกนี้ไป แล้ว”
“จากไปแล้ว ? ”
ถูสือซานมีท่าทางนิ่งอึ้งไป ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความ โล่งอก
ขณะเดียวกัน ราชันทมิฬก็เบิกตาโพลง และดูกระปรี้กระเปร่า ขึ้นมาในทันใด
มินาน ทั้งสองก็เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะมองตาม สายตาของตู๋กูชิงเฟิงไป
วินาทีต่อมา ทั้งสองต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ท่าทางเต็มไป ด้วยความตื่นตระหนก
‘ประตูสวรรค์ ! ’
‘ประตูสวรรค์ในต านาน ! ’
สาหรับพวกเขาสองคน นี่ถือเป็ นครั้งแรกที่ได้เห็นประตูสวรรค์ใน ต านาน
แค่ดูก็รู ้แล้วว่าเวลานี้ทั้งสองคน ตื่นเต้นยินดีมากเพียงใด
ทว่าเมื่อทั้งสองเห็นร่างที่คุ้นเคยยืนอยู่หน้าประตูสวรรค์บานนั้น ก็ เกิดรู ้สึกมิดีขึ้นมาทันที
ผ่านไปมิกี่อึดใจ
ถูสือซานก็ถอนสายตากลับมา ก่อนจะเอ่ยถามตู๋กูชิงเฟิงอย่าง ลังเลว่า “พี่ชิงเฟิง ท่านเย่จะไปแล้วหรือเจ้าคะ ? ”
ตู๋กูชิงเฟิงชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ ตอบกลับไปว่า “คงจะเป็ น เช่นนั้น”
ได้ยินเช่นนั้น ถูสือซานพลันราวกับมีบางอย่างวิ่งมาจุกที่ลาคอ ใบหน้าผุดผ่องนั้นเต็มไปด้วยความสับสน ภายในใจกลับยิ่งรู ้สึกว้าวุ่น หลากหลายอารมณ์ผสมปนเปกันไปหมด
ในตอนนี้ราชันทมิฬเองก็จ้องเขม็งไปที่แผ่นหลังของเย่ฉางชิง ขอบตาพลันแดงเรื่อขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ หยาดน้าตาเริ่มเอ่อคลอ
“นายท่าน ท่านจะไปแล้วจริง ๆ หรือขอรับ ? ”
ราชันทมิฬเอ่ยด้วยความโศกเศร ้า “เสียดายที่ข้าโง่เขลา บาเพ็ญ เพียรมาจนถึงบัดนี้ก็ยังคงมีตบะบารมีเพียงระดับจ้าวปีศาจเท่านั้น อีก ยาวนานนักกว่าจะสามารถขึ้นสวรรค์ได้”
“แต่นายท่านจงวางใจเถอะ นับแต่นี้ไปข้าสาบานว่าจะตั้งใจ บาเพ็ญเพียร อีกทั้งจะมิหยุดขุดสุสานเพื่อแสวงหาโอกาสและวาสนา เพื่อจะได้ขึ้นไปพบท่านบนสวรรค์โดยเร็วที่สุด”
เวลาผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วยาม
ร่างอรชรสีเขียวร่างหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นด้านหลังของพวกตู๋กูชิง เฟิงอย่างเงียบเชียบ
ร่างอรชรร่างนั้นก็คือเทพหลิว ผู้ที่ใช ้เวลาเพียงมิกี่เดือน โดย อาศัยพลังอันยิ่งใหญ่ของวัชระปราบมาร จึงทาให้นางสามารถสังหาร สิ่งมีชีวิตโบราณมากมายจนสิ้นซากได้ในที่สุด
“ดูท่านายท่านคงตัดสินใจจะจากไปแล้วกระมัง”
เทพหลิวทอดสายตามองเย่ฉางชิงที่ยืนอยู่หน้าประตูสวรรค์ พลางเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
สิ้นเสียง ราชันทมิฬก็ได้สติขึ้นมา ก่อนจะหันไปมองเทพหลิว พลางเอ่ยอย่างสะอึกสะอื้นว่า “พี่ต้นไม้ นายท่านจะไปแล้ว”
เทพหลิวถอนสายตากลับมา ปรายตามองราชันทมิฬที่เต็มไป ด้วยความโศกเศร ้า พร ้อมเอ่ยเรียบ ๆ ว่า “ด้วยฐานะของนายท่าน ย่อมมิสามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้นานอยู่แล้ว”
ราชันทมิฬนิ่งงัน ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
ขณะเดียวกัน เนื่องจากประตูสวรรค์ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทั้งยัง พบว่าบัดนี้เย่ฉางชิงกาลังยืนอยู่ที่หน้าประตูสวรรค์ด้วยตาตัวเอง เช่นนี้
เช่นนั้นนักพรตฉางเสวียนที่รู ้สึกละอายใจต่อท่านบรรพจารย์เย่ จึงได้ปรึกษากับนักพรตหยวนเจี้ยน ก่อนตัดสินใจให้ผู้สืบทอดหญิง ลู่อู๋ซวง พาเหล่าอัจฉริยะทั้งเจ็ดที่มาจากเมืองเสี่ยวฉือ กลับไปยังเมือง เสี่ยวฉือในทันที
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม
ลู่อู๋ซวงก็ได้นาคนกลุ่มหนึ่งขี่กระบี่มา ก่อนจะทยอยลอยลงสู่เมือง เสี่ยวฉือ
แต่เมื่อพวกเขาเห็นเมืองเสี่ยวฉือในตอนนี้กลับอ้างว้างไร ้ผู้คน
พวกจ้าวกวงอี้ต่างก็สบตากันเล็กน้อย ก่อนจะรีบวิ่งไปสารวจ ตามที่ต่าง ๆ
เวลามิถึงหนึ่งเค่อ
ทุกคนต่างก็วิ่งกลับมาด้วยน้าตาที่ไหลอาบแก้ม สีหน้าเต็มไป ด้วยความเศร ้าโศกเสียใจ
“ศิษย์พี่ ท่านพ่อและท่านแม่ข้ามิอยู่แล้วขอรับ”
“ศิษย์พี่ ท่านพ่อและท่านแม่ข้าไปแล้วจริง ๆ ขอรับ”
“ฮือ ๆ ”
…………………………..
เวลาสองปีผ่านไปไวราวกับโกหก
และแล้วในเช ้าวันนี้
ประตูสวรรค์โบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่ในส่วนลึกของกลุ่มเมฆ บานนั้น
นับตั้งแต่เย่ฉางชิงก้าวข้ามไปแล้ว ประตูสวรรค์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ บนโลกมานานถึงสองปี ในที่สุดก็ได้หายไปในอากาศ ท่ามกลาง สายตาของพวกตู๋กูชิงเฟิง
ยามเที่ยง
ตู๋กูชิงเฟิงจึงตัดสินใจปลดผนึกตบะบารมี อัญเชิญทัณฑ์สวรรค์ …