เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 337 เจ้าได้คาตอบแล้วเยี่ยงนั้นหรือ
มินานเย่ฉางชิงและตู๋กูชิงเฟิงก็มาถึงหน้าประตูเมืองทางทิศเหนือ
ทว่าเมื่อองครักษ์ที่เฝ้ าประตูเมืองกาลังจะซักถามนั้น
จู่ ๆ องครักษ์สวมชุดเกราะสองคน พลันมีสีหน้าเปลี่ยนไป ท่าทาง เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“ท่านเทพ… ท่านเทพฉางชิง ! ”
องครักษ์ทั้งสองคุกเข่าลงกับพื้นทันที พลางตะโกนออกมาด้วย เสียงที่สั่นเทา
สิ้นเสียง ผู้คนที่กาลังสัญจรผ่านเข้าออกประตูเมืองอยู่ ต่างก็ สะดุ้งไปตาม ๆ กัน พร ้อมกับหันไปมองเย่ฉางชิงในทันที
“ท่านเทพฉางชิง ? ”
“อ๊ะ เป็ นท่านเทพฉางชิงจริง ๆ ด้วย หน้าตาท่าทางเช่นนี้มิผิดแน่ นี่คือท่านเทพฉางชิง”
“คิดมิถึง… ว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้เห็นท่านเทพฉางชิงด้วยตา ตนเองเช่นนี้ ! ”
“ผ่านมาหลายปี ในที่สุดท่านเทพฉางชิงก็ได้ปรากฏตัวที่เมือง หลวงของเราอีกคราแล้ว ! ”
จากหนึ่งเป็ นสิบ จากสิบเป็ นร ้อย จากร ้อยเป็ นพัน…
เวลามิถึงหนึ่งก้านธูป
นอกประตูทางทิศเหนือของเมืองหลวงแคว้นต้าเยี่ยน บัดนี้ได้มีผู้ เลื่อมใสศรัทธาต่างคุกเข่าอยู่เต็มไปหมด
มิเพียงแต่ประตูเมืองทางเหนือจะแออัดเป็ นอย่างมากแล้ว ทว่า เวลานี้บนถนนหลายสายที่ทอดยาวจากประตูเมืองก็เริ่มแออัดเช่นกัน
ผู้เลื่อมใสศรัทธามากมาย แม้มิเคยเห็นตัวจริงของท่านเทพฉาง ชิงมาก่อน ก็ยังพากันคุกเข่าลงกับพื้นโดยมิได้ลังเลใด ๆ
อีกทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ยังได้ขยายวงกว้างมากขึ้น เรื่อย ๆ
เริ่มจากประตูเมืองทางเหนือของเมืองหลวง
ก่อนจะกระจายออกไปยังถนนหลายสาย
สุดท้ายก็ลามไปทั่วทั้งเมืองหลวง
มิว่าจะเป็ นชาวบ้านร ้านตลาด ไปจนถึงขุนนางชนชั้นสูง ผู้ ศรัทธาทั้งหมดล้วนคุกเข่าลงกับพื้นแทบทั้งสิ้น
เพราะนับตั้งแต่เย่ฉางชิงไปจากเมืองหลวง
ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเยี่ยน เยี่ยนหยางเหนียน ก็ได้ออกราช โองการ มิเพียงให้สร ้างรูปปั้นของท่านเทพฉางชิงเพิ่มขึ้นอีกในเมือง หลวงเท่านั้น ทว่าหัวเมืองน้อยใหญ่รอบเมืองหลวงเองก็ได้มีราช โองการให้สร ้างอารามฉางชิงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
อีกทั้งจางเฉินปรมาจารย์วิถีปรัชญา ผู้เข้าสู่เต๋าด้วยวิถีปรัชญา ก็ยังได้เขียนตาราเพื่อท่านเทพฉางชิงด้วยตัวเอง และได้มีการ เผยแพร่ไปทั่วอีกด้วย
แต่ส าคัญที่สุดก็คือ คากล่าวที่ท่านเทพฉางชิงเคยพูดเอาไว้ ที่ ด้านล่างเขาตะวันออก ส่วนใหญ่ล้วนเป็ นจริงทั้งสิ้น
เช่นนั้น ในระยะเวลาเพียงห้าปี
ภายในแคว้นต้าเยี่ยน
ท่านเทพฉางชิงผู้ลงมาท่องโลกมนุษย์ท่านนี้ เรียกว่าได้รับความ เลื่อมใสศรัทธาเป็ นอย่างมาก
บัดนี้มิเพียงแต่เฉพาะในเมืองหลวงเท่านั้น ทว่าทั่วทั้งแคว้น ต้าเยี่ยน ผู้คนล้วนเป็ นสาวกของท่านเทพฉางชิงแทบทั้งสิ้น
ตอนนั้นเอง เมื่อเห็นภาพอันตระการตาตรงหน้า รวมทั้งเสียงที่ดัง กึกก้องไปทั่ว
ทาให้พลังลึกลับที่บริสุทธิ์ยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบได้จานวน มหาศาล ก็ไหลทะลักเข้าสู่ร่างกายของเย่ฉางชิง และช่วยบ ารุงกาย เนื้อรวมถึงจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาอย่างมิหยุดหย่อน
แต่ใบหน้าของเย่ฉางชิงก็ยังคงเรียบนิ่ง และลอบขมวดคิ้วขึ้น เล็กน้อยเท่านั้น
ใช่แล้ว !
จุดประสงค์ที่เขามาในครั้งนี้ก็มิมีอะไรมาก เขาแค่ต้องการมาพบ ท่านเทพฉางชิงก็เท่านั้น
เพราะหลังจากที่เขาหลุดเข้ามาในความฝัน
เย่ฉางชิงก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน ถึงพลังลึกลับที่บางเบาที่ไหลมา จากทุกทิศทุกทาง และช่วยบารุงกายเนื้อรวมถึงจิตวิญญาณดั้งเดิม ของเขาได้เป็ นอย่างดี
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่เมืองศิลาสวรรค์
ขณะที่ผู้ศรัทธามากมายตะโกนเรียกขานนามของท่านเทพฉาง ชิง เขาก็รับรู ้ได้ถึงพลังลึกลับที่ไหลออกมาจากร่างของผู้ที่ศรัทธา ก่อนจะพุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขา
ตอนนั้นเองเขาจึงเริ่มเอะใจขึ้นมา หรือว่าแท้จริงแล้วเขาก็คือ ท่านเทพฉางชิงอะไรนั่นจริง ๆ ?
และเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็มีจุดเริ่มต้นมาจากเมืองหลวงแคว้น ต้าเยี่ยน
และที่สาคัญก็คือเย่ฉางชิงยังได้พบกับผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านเทพ ฉางชิงครั้งแรกที่นี่อีกด้วย
อีกทั้งพลังลึกลับที่มาจากที่แห่งนี้ ยังบริสุทธิ์และเข้มข้นมากที่สุด อีกด้วย
ขณะเดียวกัน แม้เย่ฉางชิงจะรู ้ตัวดีว่าตอนนี้ตนนั้นยังอยู่ในความ ฝัน ทว่าความฝันในครั้งนี้กลับยากที่เชื่อ
เรียกได้ว่าเหมือนจริงเกินไปก็ว่าได้
เช่นนั้น เขาจึงอยากมาพบหน้าผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านเทพฉางชิง ท่านนั้นอีกสักครั้ง
คิดถึงตรงนี้ เย่ฉางชิงก็ได้หันไปสบตากับตู๋กูชิงเฟิงเล็กน้อย
วินาทีต่อมา ร่างของทั้งสองก็ค่อย ๆ เลือนลางลง ก่อนที่จะหาย วับไปในอากาศ
มิกี่อึดใจต่อมา เมื่อผู้ศรัทธามากมายเงยหน้าขึ้น มองไปยัง ตาแหน่งที่เย่ฉางชิงเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้
พวกเขากลับมิได้ประหลาดใจกับการจากไปอย่างไร ้ร่องรอย ของเย่ฉางชิง แต่กลับยิ่งเลื่อมใสและศรัทธาในตัวเขามากขึ้นไปอีก
เพียงพริบตา เมื่อเย่ฉางชิงและตู๋กูชิงเฟิงปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง พวกเขาก็มายืนอยู่ที่หน้าประตูบานใหญ่ของอารามฉางชิงบนเขา ตะวันออกแล้ว
ทว่าในตอนนั้นเอง บางอย่างในร่างกายของเย่ฉางชิงเหมือนถูก กระตุ้นขึ้นมา
ทันใดนั้น รอบกายของเขาก็เปล่งแสงสีทองอันเจิดจ้าออกมา ไอ พลังบางเบาไหลเวียนขึ้นรอบ ๆ หมอกแสงที่สว่างไสวก็ปะทุขึ้นมา ด้านหลังยังมีวงแสงลึกลับปกคลุมเอาไว้มากมายอีกด้วย
วินาทีนี้เย่ฉางชิงจึงดูราวกับเทพผู้ไร ้พ่ายที่ลงมาบนโลกมนุษย์ก็ มิปาน
โดยเฉพาะไอพลังที่แผ่ออกมาจากภายในร่างกาย และให้ ความรู ้สึกสบายไปทั่วร่าง ราวกับถูกสายลมในฤดูใบไม้ผลิอาบไล้
ขณะเดียวกันตู๋กูชิงเฟิ งที่ยืนอยู่ข้างกายเย่ฉางชิง ก็อดที่จะมีสี หน้าเปลี่ยนไปมิได้
เพราะด้วยตบะบารมีและระดับจิตใจของนางในตอนนี้
ทาให้เมื่อเห็นเย่ฉางชิงในเวลานี้ จึงอดมิได้ที่จะเกิดความเลื่อมใส ศรัทธา จนรู ้สึกอยากจะกราบกรานขึ้นในใจ
ทว่าหลังจากที่นางดูดซับไอพลังที่แผ่ออกมาจากร่างของเย่ฉาง ชิงเข้าไปอย่างเงียบ ๆ
ตบะบารมีที่ฝืนสะกดเอาไว้มาเนิ่นนาน กลับเกิดปะทุขึ้นจนแทบ จะสะกดเอาไว้มิไหวอีกต่อไป
แค่คิดก็รู ้แล้วเย่ฉางชิงนั้นมีพลังที่แข็งแกร่งมากเพียงใด !
ตอนนั้นเองเย่ฉางชิงก็ได้เงยหน้าขึ้นมองประตูบานใหญ่อันสูง ตระหง่าน ก่อนจะเพ่งสมาธิภายในพริบตาเย่ฉางชิงก็ได้เปิ ดพื้นที่ พิเศษขึ้นมา เพื่อต้องการสนทนากับท่านเทพฉางชิงเพียงลาพัง
“เจ้ายังอยู่ที่นี่หรือไม่ ? ”
เย่ฉางชิงเอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
ผ่านไปมิกี่อึดใจ
ด้านล่างของประตูที่สูงตระหง่านบานนี้ ก็ปรากฏร่างสีเขียวร่าง หนึ่งขึ้น
ใบหน้าของเขาแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ภายในดวงตาเรียว ยาวคู่นั้นเป็ นประกายระยิบระยับ
เวลานี้แม้บนร่างของเขาจะมิได้มีนิมิตใด ๆ ปกคลุมเอาไว้ และให้ ความรู ้สึกเรียบง่ายยิ่งนัก
“เจ้ามาแล้วงั้นหรือ ? ”
ท่านเทพฉางชิงที่หน้าตาเหมือนเย่ฉางชิงราวกับแกะ เอ่ยถามขึ้น ด้วยรอยยิ้ม
เย่ฉางชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะย้อนถามกลับไปว่า “เจ้ารู ้ ตั้งแต่แรกแล้วว่าข้าจะมางั้นหรือ ? ”
ท่านเทพฉางชิงยิ้มให้น้อย ๆ พลางพยักหน้ารับ
เย่ฉางชิงจึงถามอีกว่า “เช่นนั้นเจ้าคงรู ้จุดประสงค์ที่ข้ามาในวันนี้ แล้วกระมัง ? ”
ท่านเทพฉางชิงจึงเอ่ยตอบทันควันว่า “รู ้แล้วอย่างไร มิรู ้แล้ว อย่างไร ? ”
“หากข้าเดามิผิดแล้วล่ะก็ พลังลึกลับนั่นคงเป็ นสิ่งที่เรียกว่าพลัง แห่งศรัทธากระมัง ? ”
เย่ฉางชิงเอ่ยออกไปตรง ๆ “แต่สิ่งที่ทาให้ข้ามิเข้าใจก็คือ ข้ามิใช่ เจ้า เหตุใดสิ่งที่เรียกว่าพลังแห่งศรัทธา ถึงได้ไหลทะลักเข้ามาสู่กาย ของข้าได้เล่า ? ”
ท่านเทพฉางชิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีเลศ นัย “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเจ้าเป็ นใคร หรือว่าใครเป็ นเจ้า ? ”
เมื่อได้ยินคาถามกากวมนั้น เย่ฉางชิงราวกับมีบางอย่างวิ่งมาจุก อยู่ในล าคอ โดยมิรู ้ว่าควรจะตอบกลับไปเช่นไรดี
เมื่อนิ่งเงียบกันอยู่สักพัก ท่านเทพฉางชิงจึงได้เอ่ยอีกว่า “ความ จริงแล้วภายในใจของเจ้าคงได้คาตอบมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่เจ้ามิ อยากจะเชื่อก็เท่านั้น”
เย่ฉางชิงถึงกับพูดมิออกอีกครั้ง เขาทาได้เพียงจ้องผู้ที่ได้ชื่อว่า ท่านเทพฉางชิงนิ่ง ๆ ราวกับมองตัวเองในกระจกก็มิปาน
หลังจากเงียบไปอีกพักใหญ่ มุมปากของเย่ฉางชิงก็ยกขึ้นเป็ น รอยยิ้มฝืดเฝื่อน พลางส่ายหน้าไปมา “เป็ นข้าที่จริงจังเกินไป เรื่อง ทั้งหมดนี้เป็ นเพียงความฝันเท่านั้น”
ท่านเทพฉางชิงมิได้เอ่ยสิ่งใดอีก เพียงแค่ยิ้มให้เท่านั้น
วินาทีต่อมา ขณะที่เย่ฉางชิงเตรียมที่จะปิดพื้นที่พิเศษนั้น
เขาก็อดมิได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งว่า “นี่เป็ นเพียงแค่ความฝัน จริงหรือ ? ”
ท่านเทพฉางชิงจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าคิดว่าเยี่ยงไรล่ะ ? ”
เย่ฉางชิงตอบกลับราวกับปล่อยวางว่า “มิว่าทั้งหมดนี้จะใช่ความ ฝันหรือไม่ แต่ข้าก็ควรจะรู ้จักพอได้แล้ว”
สิ้นเสียงผู้ที่ถูกเรียกขานว่าท่านเทพฉางชิง พลันก็ค่อย ๆ เลือนลางลง ก่อนจะหายวับไปในความว่างเปล่า
ขณะเดียวกัน เย่ฉางชิงก็เพ่งสมาธิ ปิดพื้นที่พิเศษนั้นลงโดยมิ ลังเลใด ๆ อีก
“ชิงเฟิง พวกเราไปกันเถอะ”
สิ้นเสียง ตู๋กูชิงเฟิ งก็ได้สติขึ้นมา เมื่อเห็นเย่ฉางชิงยิ้มออกมา อย่างอ่อนโยน จึงได้เอ่ยถามขึ้นอย่างอดมิได้ว่า
“เจ้าได้คาตอบแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เย่ฉางชิงพยักหน้าน้อย ๆ
ตู๋กูชิงเฟิงจึงยิ้มออกมา และมิได้ถามอะไรต่ออีก