เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 330 ให้เผ่าของเจ้าออกไปจากเมืองศิลาสวรรค์เถอะ
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน
- ตอนที่ 330 ให้เผ่าของเจ้าออกไปจากเมืองศิลาสวรรค์เถอะ
ตอนที่ 330 ให้เผ่าของเจ้าออกไปจากเมืองศิลาสวรรค์เถอะ
ขณะที่ชาวเมืองเสี่ยวฉือได้ออกมาร่วมตัวกัน เพราะเกิดจำอดีตชาติขึ้นมาได้นั้น
นอกเมืองศิลาสวรรค์ ตอนเหนือของดินแดนทางเหนือ
ตู๋กูชิงเฟิงได้ปรากฏตัวขึ้นที่ภูเขาลูกหนึ่งอย่างเงียบเชียบ
ใบหน้าของนางแฝงไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ น้ำตาไหลรินออกมาอย่างห้ามมิได้
ต้องบอกว่านางในเวลานี้
รู้สึกเดียวดายราวกับแซ่ของนางมิมีผิด
นางจำได้ดีในตอนนั้น เมื่อท่านพ่อทราบว่าท่านแม่บังเอิญตั้งครรภ์ขึ้นมา เพื่อป้องกันมิให้ท่านแม่และนางที่อยู่ในท้องถูกประหารชีวิต พ่อของนางจึงพาแม่ของนางกลับไปส่งยังดินแดนของมนุษย์ด้วยตัวเอง
ทว่าเมื่อนางคลอดออกมา ท่านแม่ของนางกลับตายลงระหว่างที่กำลังคลอด ซ้ำวันนั้นสวรรค์ยังเกิดนิมิตประหลาดขึ้นอีกด้วย
เช่นนั้นหลังจากนางคลอดออกมาแล้ว ผู้คนในเมืองอันห่างไกลแห่งนั้น ต่างก็มองว่านางเป็นตัวอัปมงคล เช่นนั้นจึงถูกรังแกอยู่ตลอดเวลา
นางจำต้องใช้ชีวิตที่แสนโดดเดี่ยว ที่เมืองอันห่างไกลแห่งนั้นเป็นเวลาถึงสิบปี
จนวันหนึ่งนางก็ได้พบกับคนผู้นั้น ท่ามกลางผู้คนมากมาย
คนผู้นั้นมิเพียงรับนางเข้าเป็นศิษย์ของสำนัก โดยมิสนใจคำคัดค้านของคนร่วมสำนัก มิหนำซ้ำยังดูแลนางเป็นอย่างดี
แต่ชะตาของนางยังโชคดีอยู่บ้าง ทีเกิดมาแม้จะมีสองสายเลือด แต่ทว่าสิ่งนั้นกลับทำให้นางมีพรสวรรค์เหนือกว่าผู้ใด
ทำให้ภายในเวลามิถึงยี่สิบปี ก็สามารถขึ้นเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักเต๋าโบราณแห่งนั้นได้แล้ว
จนกระทั่งร้อยปีผ่านไป
เมื่อระดับของนางและคนผู้นั้นใกล้จะอยู่ในระดับเดียวกันแล้ว
นางจึงได้สารภาพความในใจของตัวเองออกไป ขณะเดียวกันคนผู้นั้นก็มิได้ปฏิเสธ อีกทั้งยังยอมรับความรักจากนางอีกด้วย
ทว่าช่วงเวลาดี ๆ กลับแสนสั้นยิ่งนัก
เมื่อคนของลัทธิเต๋าต่างล้วนคิดว่านางคือตัวหายนะ และตัดสินใจตัดรากถอนโคนนางเสีย
และคนผู้นั้นก็ได้ทำในสิ่งที่ทุกคนเห็นว่าเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ ด้วยการส่งนางออกไปจากดินแดนของพวกมนุษย์…
จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงห้าพันปี
เมื่อสงครามระหว่างเผ่าศักดิ์สิทธิ์และเผ่ามนุษย์กำลังจะปิดฉากลง
ขณะที่นางในฐานะผู้สืบทอดหญิงของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ตกอยู่ในวงล้อมของเหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งลัทธิเต๋า และนางตัดสินใจที่จะสู้ตายนั้น
จู่ ๆ คนผู้นั้นก็ก้าวออกมาและใช้ร่างของตัวเอง ปกป้องนางจากการโจมตีของเหล่าผู้แข็งแกร่งของลัทธิเต๋า
สุดท้าย ก่อนที่นางจะก้าวเข้าสู่โลงนวโลกา
คนผู้นั้นที่แทบจะกายสลายเต๋าสูญสิ้น กลับเอ่ยกลับนางด้วยสีหน้าและแววตาที่อ่อนโยนว่า
ข้าจะรอเจ้ากลับมา…
ด้วยเหตุนี้แม้ภายในโลงนวโลกา นางจะต้องเผชิญเก้าภพเก้ากรรม ทว่าในที่สุดนางก็เอาชีวิตรอดมาได้ด้วยจิตใจที่ตั้งมั่น
อย่างไรก็ตาม เดิมนางคิดว่าเย่ฉางชิงที่มีบุคลิกท่าทางต่างไป และมีใบหน้าที่คล้ายคลึงอย่างมากผู้นี้ ก็คือคนผู้นั้นกลับชาติมาเกิด
ทว่าในตอนนี้
ในที่สุดตู๋กูชิงเฟิงก็ราวกับตื่นจากความฝัน
เย่ฉางชิงมิใช่คนผู้นั้นที่กลับชาติมาเกิด !
ต่อให้จะคล้ายคลึงกันมาก อีกทั้งยังอ่อนโยนต่อนาง แต่เย่ฉางชิงผู้นี้กลับแข็งแกร่งเกินไป
แข็งแกร่งถึงขนาดที่นางมิอาจจะเข้าใจในความเก่งกาจที่มิสิ้นสุดของเขาได้
จนแทบหลอมรวมมหามรรคาทุกวิถีเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
แม้จะมิมีไอพลังแผ่ออกมาจากกายเลย ทว่าเพียงแค่ความน่าเกรงขามของเขานั้น ก็ทำให้ผู้คนอดมิได้ที่จะศรัทธาจนยอมกราบกราน
เช่นนั้นนางจึงมิเชื่อว่าคนผู้นั้นหลังกลับชาติมาเกิดแล้ว จะมีตบะบารมีที่สูงส่งถึงเพียงนี้ได้ !
“เย่ฟาน ฉางชิงคือเจ้ากลับชาติมาเกิดจริง ๆ น่ะหรือ ? ”
น้ำเสียงของตู๋กูชิงเฟิงเศร้าสร้อยยิ่งนัก พลางพึมพำออกมาว่า “แม้ข้าจะคิดมาตลอดว่าเขาคือเจ้ากลับชาติมาเกิด แต่คนผู้นี้ช่างแข็งแกร่งเกินกว่าที่ข้าจะคาดเดาได้ ข้ามิเชื่อหรอกว่าเจ้ากลับชาติมาเกิดแล้ว จะสามารถมีตบะบารมีที่ล้ำลึกถึงเพียงนี้ได้…”
ทว่าในเวลานี้ เย่ฉางชิงที่เร้นกายอยู่ในห้วงอากาศข้างตู๋กูชิงเฟิง ถึงขนาดที่เรียกได้ว่า ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้นมุมปากพลันหยักโค้งขึ้น ก่อนจะยิ้มเยาะตนเองออกมา
‘ชิงเฟิง นี่เป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น ! ’
‘หากข้าเย่ฉางชิงเป็นผู้ที่ไร้พ่ายเช่นนี้จริง จะเผยตัวตนที่แท้จริงต่อหน้าเจ้าได้เยี่ยงไรกัน ? ’
‘ทว่าแม้ตอนนี้จะเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่อย่างน้อยก็ทำให้ข้าได้สัมผัสถึงความรู้สึกของการที่สามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้เอง’
‘หลังจากความฝันในครานี้จบลง’
‘ขอเพียงเจ้ายอมตกลง’
‘ข้า เย่ฉางชิง ขอสาบานว่า’
‘ต่อให้เจ้าเป็นจักรพรรดิมารที่มีตบะบารมีสูงส่ง แต่ข้าจะมิขออยู่กับเจ้าเพราะความรู้สึกสงสารอีก และจะปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความจริงใจเท่านั้น’
หลังจากนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ เย่ฉางชิงก็ตัดสินใจปรากฏกายขึ้นตรงหน้าของตู๋กูชิงเฟิง
“ชิงเฟิง”
เย่ฉางชิงมองตู๋กูชิงเฟิงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสน ก่อนจะยื่นมือออกไปเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของตู๋กูชิงเฟิงเบา ๆ
“มิว่าข้าจะเป็นคนผู้นั้นกลับชาติมาเกิดหรือไม่ สำหรับข้าแล้ว มันมิสำคัญอีกต่อไป”
เย่ฉางชิงเอ่ยถ้อยคำหวานซึ้งออกมาอีกว่า “และข้าขอให้สัญญากับเจ้าว่า หัวใจดวงนี้จะมั่นคงตลอดไป”
ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าอันงดงามไร้ที่ติของตู๋กูชิงเฟิงก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา แต่ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นกลับยังคงคลอไปด้วยหยาดน้ำตา
นางจ้องมองไปยังเย่ฉางชิง ก่อนจะยื่นมืออันเรียวยาวลูบไล้ใบหน้าของเย่ฉางชิงเบา ๆ
“ชิงเฟิง ก่อนหน้านี้ข้ารับปากเจ้าเอาไว้ว่าจะแก้ไขข้อบกพร่องที่มีมาแต่กำเนิด ให้คนในเผ่าของเจ้าใช่หรือไม่ ? ”
เย่ฉางชิงเอ่ยด้วยใบหน้าแฝงรอยยิ้มอ่อนโยน
ตู๋กูชิงเฟิงพยักหน้ารับอย่างงงงวย ก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า “ฉางชิง เจ้าจะไปจากโลกใบนี้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ได้ยินเช่นนั้น เย่ฉางชิงก็ผงะไปทันที
‘ความจริงแล้ว ! ’
‘ข้าอยากไปจากโลกใบนี้ตั้งนานแล้ว’
‘แต่เยี่ยงไรเสียนี่ก็เป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น’
‘ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ข้ายังมีเจ้าอยู่’
หลังจากชั่งใจเล็กน้อย เย่ฉางชิงมิได้ตอบตู๋กูชิงเฟิงในทันที แต่กลับกุมข้อมือขาวเนียนไร้ที่ติของนางข้างหนึ่งเอาไว้อย่างทะนุถนอม
วินาทีต่อมา หลังจากเย่ฉางชิงขยับตัว ทั้งสองก็หายวับไปจากตรงนั้นอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่ามลายหายไปในอากาศก็มิปาน
เพียงพริบตา ทั้งสองก็ได้ปรากฏตัวขึ้นกลางเมืองศิลาสวรรค์อย่างเงียบเชียบ
ทว่าใจกลางเมืองในเวลานี้ กลับมิได้เหมือนดั่งในอดีตอีกแล้ว
มองออกไปเห็นเพียงซากปรักหักพัง ทุกที่เต็มไปด้วยร่องรอยความเสียหาย จนกลายเป็นเมืองที่รกร้างว่างเปล่า
เวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
ผู้แข็งแกร่งฝ่ายมารกลุ่มหนึ่งพลันพุ่งเข้ามา ล้อมตู๋กูชิงเฟิงและเย่ฉางชิงเอาไว้
แต่เมื่อผู้แข็งแกร่งฝ่ายมารผู้เป็นหัวหน้าจำตู๋กูชิงเฟิงได้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว
“คารวะท่านจักรพรรดิ ! ”
ผู้แข็งแกร่งฝ่ายมารเมื่อได้สติขึ้นมา ก็รีบหมอบลงกับพื้นพร้อมกับเอ่ยคารวะอย่างนอบน้อม
ขณะเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งฝ่ายมารที่เหลือต่างก็ลอบสบตากัน ก่อนจะรีบคุกเข่าลงกับพื้นในทันที
ตู๋กูชิงเฟิงหาได้ใส่ใจไม่ เพียงแค่หันไปมองเย่ฉางชิงอย่างคนที่กลืนมิเข้าคายมิออกอยู่อย่างนั้น
“ฉางชิง…”
“มิเป็นไร”
เย่ฉางชิงโบกมือไปมาเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมา “เผ่าศักดิ์สิทธิเกิดมาพร้อมข้อบกพร่อง จึงทำให้มีอารมณ์รุนแรงและโหดร้าย ยิ่งกว่านั้นยังต้องทนอยู่ในแดนรกร้างทางเหนือมานานหลายปี”
สิ้นเสียงเย่ฉางชิงก็เพ่งสมาธิ รอบกายพลันเกิดไอพลังมหามรรคาปะทุออกมา จนแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณภายในพริบตา
มินาน หลังจากไอพลังรอบกายของเย่ฉางชิงไหลวนขึ้นมา ภาพอันพิสดารก็บังเกิดขึ้น
เมื่อรอบกายของทุกคนเริ่มเลือนรางลง ราวกับสายน้ำที่ไหลย้อนคืน เวลาย้อนกลับก็มิปาน
จนเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
กลุ่มผู้แข็งแกร่งฝ่ายมารพลันมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ท่าทางของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
เพราะเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งก้านธูป ที่ห้วงอากาศรอบกายของพวกเขาหยุดนิ่งลง
พวกเขาก็พบว่าตอนนี้ ภาพใจกลางเมืองที่เคยเจริญรุ่งเรือง มีผู้คนสัญจรและรถราขวักไขว่ไปมาก็กลับมาอีกครั้ง
‘นี่เป็นฝีมือภูตผีหรือเยี่ยงไรกัน ? ’
‘มิน่าเล่าจอมมารหลายท่านถึงได้บอกว่า’
‘เนื่องจากเผ่ามนุษย์มีผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิ เช่นนั้นกองทัพเผ่าศักดิ์สิทธิ์ จึงต้องเร่งบูรณะซ่อมแซมเมืองศิลาสวรรค์ให้เร็วที่สุด’
‘หรือบุรุษตรงหน้าผู้นี้ก็คือผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิในตำนานท่านนั้นงั้นหรือ ? ’
‘อืม ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ! ’
‘มิเช่นนั้นโลกนี้จะมีผู้ใดที่มีอิทธิฤทธิ์พลิกฟ้าเช่นนี้ได้อีกเล่า ? ’
‘น่ากลัว ! ’
‘ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ! ’
ระหว่างที่ผู้แข็งแกร่งฝ่ายมารกลุ่มหนึ่ง กำลังตื่นตระหนกจนตัวสั่นเทาอยู่นั้น
เย่ฉางชิงก็เหมือนจะสัมผัสได้ เขาจึงเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อเบา ๆ
วินาทีต่อมา จอมมารตนหนึ่งที่พุ่งเข้ามาหาหวังจะสังหารเย่ฉางชิง ก็กระเด็นออกไปราวกับว่าวที่สายป่านขาดก็มิปาน
“ชิงเฟิง ให้เผ่าของเจ้าออกไปจากเมืองศิลาสวรรค์ซะเถอะ”
แม้เย่ฉางชิงจะเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ทว่าน้ำเสียงนั้นราวกับเสียงแห่งมหามรรคาก็มิปาน
ตู๋กูชิงเฟิงได้ยินเช่นนั้นจึงได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะออกคำสั่งแก่ผู้แข็งแกร่งฝ่ายมารที่เป็นหัวหน้าว่า “ให้คนในเผ่าทั้งหมดออกจากเมืองศิลาสวรรค์เดี๋ยวนี้”