เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 315 ทำไมกลับมาเร็วจัง
ตอนที่ 315 ทำไมกลับมาเร็วจัง ?
หลังจากตู๋กูชิงเฟิงจากไปแล้ว
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
จอมมารทั้งหลายจึงได้สบตากัน ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน
“ทุกท่าน ตอนนี้พวกเราจะทำเยี่ยงไรต่อดี ? ”
จอมมารเนตรทิพย์มีท่าทีสับสน ขณะกวาดสายตามองคนที่เหลือ ก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมขมวดคิ้วมุ่น “ท่านจักรพรรดิจากไปแล้ว นั่นหมายความนับแต่นี้เผ่าศักดิ์สิทธิ์ของเราจะมิมีท่านจักรพรรดิคอยคุ้มครองอีกแล้ว”
“และตอนสู้กันที่แดนเหนือก่อนหน้านี้ คิดว่าทุกท่านคงจะสังเกตเห็นมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ที่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับท่านจักรพรรดิได้เป็นเวลาหลายวันใช่หรือไม่ ? ”
จอมมารเขาทองนิ่งเงียบอยู่นาน จากนั้นจึงเอ่ยสนับสนุนว่า “หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด มนุษย์ที่บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ผู้นั้นคงจะเป็นผู้ที่มีตบะบารมีเทียบเท่าจักรพรรดิ ที่ท่านจักรพรรดิเอ่ยถึงเป็นแน่”
“ต้องยอมรับว่ามนุษย์ผู้นั้นมีพลังที่แข็งแกร่งมากจริง ๆ ”
“แต่เขาเองก็ถูกท่านจักรพรรดิทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส การจะฟื้นฟูให้กลับมาแข็งแกร่งดังเดิมในระยะเวลาอันสั้นนั้นจึงเป็นไปมิได้อย่างเด็ดขาด”
หญิงชราที่ดวงตาแดงก่ำและดูชั่วร้ายก็เอ่ยขึ้นเสียงเข้มว่า “ส่วนคนที่ท่านจักรพรรดิบอกว่าแข็งแกร่งเหนือกว่านางนั้น ข้ามิเชื่อเด็ดขาด ! ”
เอ่ยถึงตรงนี้หญิงชราก็ขมวดคิ้วแน่น พลางกัดฟันกรอด “เช่นนั้นต่อให้จะมิได้รับการคุ้มครองจากท่านจักรพรรดิอีก ทว่าความแค้นระหว่างเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของเรากับพวกมนุษย์จะยุติลงเพียงเท่านี้มิได้ และยิ่งมิสามารถทำสัญญาว่าจะมิรุกรานซึ่งกันได้เด็ดขาด”
ได้ยินเช่นนั้น
“ข้ามองว่าที่ท่านจักรพรรดิพูดมามิใช่ว่าจะเป็นไปมิได้”
จอมมารเนตรทิพย์ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาที่สามหรี่ลงพลางเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “อีกทั้งการที่ท่านจักรพรรดิกลับมาบอกพวกเราครานี้ มิได้เป็นคำสั่งที่พวกเราจะต้องทำตามแต่อย่างใด เพราะเป็นแค่เพียงคำเตือนก็เท่านั้น”
ทันใดนั้นมิเพียงแต่จอมมารตนอื่น ๆ จะเผยสีหน้าสับสนออกมา แม้แต่หญิงชราเองก็พูดมิออก เพราะมิรู้ว่าควรจะตอบโต้เช่นไร
จนเวลาผ่านไปอีกประมาณครึ่งก้านธูป
จอมมารนามว่าชุดโลหิตก็หรี่ตาลง พร้อมกับเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าคิดแผนการขึ้นมาได้แผนหนึ่ง”
“ห๊ะ ! ”
จอมมารที่เหลือพลันดวงตาเป็นประกายขึ้นมาในทันที และต่างก็หันไปมองทางจอมมารชุดโลหิตจนเป็นตาเดียว
“จอมมารชุดโลหิต เจ้ามิต้องมาชักช้าให้เสียเวลา มีอะไรก็รีบพูดออกมาเถอะ”
จอมมารชุดโลหิตมุมปากหยักโค้งขึ้นเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมา พลางเอ่ยถึงแผนการของตนว่า “จากที่ข้ารู้มาในสมัยบรรพกาล จงหยวนนั้นมีแดนต้องห้ามของสิ่งมีชีวิตอยู่หลายที่”
“ในส่วนลึกของแดนต้องห้ามของสิ่งมีชีวิตเล่านั้น ล้วนมีสิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่และน่ากลัวอยู่มากมาย แต่เดิมลัทธิเต๋าของเผ่ามนุษย์ได้ป้องกันมิให้สิ่งมีชีวิตโบราณเหล่านั้นออกมาจากแดนต้องห้าม เพื่อก่อหายนะแก่สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ จึงได้วางค่ายกลและกักขังพวกมันเอาไว้ในแดนต้องห้าม”
เอ่ยถึงตรงนี้จอมมารชุดโลหิตก็จงใจหยุดชะงัก ก่อนจะเอ่ยต่อ “แผนการของข้าก็คือ ขณะที่เผ่าของเรากำลังล้างแค้นพวกมนุษย์ ก็ให้ปล่อยสิ่งมีชีวิตโบราณเหล่านี้ออกมาให้หมด”
“แม้การปล่อยสิ่งมีชีวิตโบราณเหล่านี้ออกมา จะทำให้เผ่าของเราต้องพบกับอันตรายไปด้วย แต่เมื่อเทียบกับพวกมนุษย์ที่กักขังพวกมันเอาไว้แล้ว คิดว่าพวกมันคงเลือกที่จะลงมือกับลัทธิเต๋ามากกว่า”
“เช่นนี้แล้วต่อให้พวกมนุษย์มีผู้ที่เทียบเท่ากับจักรพรรดิ หรือผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิอยู่จริง ก็มิมีทางมาสนใจพวกเราแล้ว เพราะจะต้องคอยรับมือกับสิ่งมีชีวิตโบราณเหล่านั้นแทน”
หลังจากหญิงชราได้ยินเช่นนั้น ก็เอ่ยออกมาด้วยความสะใจว่า “ขอเพียงลัทธิเต๋าล่มสลาย ต่อให้ยุคนี้จะเกิดความโกลาหลดังเช่นสมัยบรรพกาลอีก แต่ข้าคิดว่าก็คุ้มค่าแล้ว”
จอมมารเนตรทิพย์ถามกลับว่า “เช่นนี้จะคุ้มค่าจริง ๆ น่ะหรือ ? ”
“จอมมารเนตรทิพย์ ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่”
จอมมารชุดโลหิตแค่นหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าวางใจเถอะ แม้ท่านจักรพรรดิจะถอนตัวออกจากเผ่าของเราไปแล้ว แต่หากเผ่าศักดิ์สิทธิ์เกิดวิกฤตขึ้น นางมิมีทางนิ่งดูดายอย่างแน่นอน ! ”
………………………………..
ขณะเดียวกัน หลังออกจากเมืองศิลาสวรรค์มา
ตู๋กูชิงเฟิงกลับมิได้รีบร้อนกลับไปที่เมืองเสี่ยวฉือในทันที
เพราะจิตใจของนางในตอนนี้กำลังรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก
ตอนที่พวกมนุษย์รู้ว่านางมีสายเลือดของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ก็มองว่านางนั้นเป็นตัวประหลาด
นางจึงต้องกลับไปยังเผ่าศักดิ์สิทธิ์
อาศัยที่ตนเองมีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม มินานก็ได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโสระดับสูงของเผ่าศักดิ์สิทธิ์
จากนั้นก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอดหญิงของเผ่าในที่สุด
เช่นนั้นทุกคนในเผ่าจึงให้ความเคารพยำเกรงนางเป็นอย่างมาก
และหลังจากนางถูกผนึกเอาไว้ตั้งแต่สมัยบรรพกาล ก็มีเพียงผู้แข็งแกร่งเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องทุ่งน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตแห่งนั้นมาโดยตลอด
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงตัดสินใจให้คำแนะนำว่า อยากให้เผ่าศักดิ์สิทธิ์และเผ่ามนุษย์ทำข้อตกลงกันเสีย
เพราะส่วนลึกในหัวใจ นางรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเผ่าศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด
ขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั่นตู๋กูชิงเฟิงก็มองไปยังเทือกเขาที่มีเมฆลอยวนอยู่เบื้องบนราวกับคลื่นในทะเล พลางเอ่ยขึ้นเบา ๆ ว่า
“หากพวกเขาเชื่อฟังคำแนะนำของข้า ยอมกลับไปยังดินแดนบรรพบุรุษของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ และทำข้อตกลงกับพวกมนุษย์เสีย เช่นนั้นข้าก็คงมิมีสิ่งใดต้องเป็นกังวลอีกแล้ว”
“แต่หากว่าพวกเขาดื้อรั้นและต้องการก่อความวุ่นวายในจงหยวนต่อไป เช่นนั้นหากเผ่าศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในวิกฤตอีกครา ข้าจะสามารถทนดูเผ่าศักดิ์สิทธิ์ล่มสลายไปต่อหน้าต่อตาได้จริง ๆ น่ะหรือ ? ”
……………………………..
จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม
ตู๋กูชิงเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่เมืองเสี่ยวฉือ ก่อนจะเดินมายังถนนที่เป็นที่พำนักของเย่ฉางชิง
ทว่าในเวลานี้เย่ฉางชิงกำลังเอามือไพล่หลัง คิ้วขมวดน้อย ๆ เดินวนไปวนมาอยู่ภายในลานบ้าน อย่างคนที่คิดมิตก
ผู้เฒ่าแต่ละคนที่มาคาราวะเขาก่อนหน้านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงทั้งสิ้น
แต่เขายังพอจะทำใจยอมรับได้
แม้ราชันทมิฬจะอาละวาดวางอำนาจที่เทือกเขาแดนใต้ ก่อกรรมทำชั่ว
มีจิ้งจอกน้อยจากเทือกเขาแดนใต้ ที่มีตบะบารมีระดับราชาปีศาจโผล่ขึ้นมา
หรือแม้กระทั่งต้นหลิวภายในลาน ซึ่งพร้อมจะขึ้นสวรรค์ได้ตลอดเวลา…
เรื่องเหล่านี้แม้ในตอนนั้นเขาจะรู้สึกยอมรับได้ยาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็พอจะทำใจยอมรับมันได้
จนกระทั่งวานนี้ จู่ ๆ ก็มีสตรีผู้เลอโฉมนางหนึ่งปรากฏตัวขึ้น แถมยังส่งยิ้มอ่อนหวานให้แก่เขา และต้องการให้เขาขอนางเป็นภรรยา
จวบจนก่อนที่จะได้พบเจ้าสำนักไท่เสวียน
เย่ฉางชิงคิดว่านี่เป็นเพราะสวรรค์เมตตาเขาเป็นแน่
แต่สุดท้าย !
สุดท้าย !
ยอดสตรีนางนั้นกลับเป็นถึงจักรพรรดิมารในตำนาน !
จักรพรรดิมาร !
นี่คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกบำเพ็ญเพียรใบนี้แล้ว
และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ จักรพรรดิผู้นี้ยังเป็นจอมมารอีกด้วย !
อีกทั้งในเผ่ามารมีใครบ้างที่มิเกลียดมนุษย์ และพวกเขาพร้อมจะเอาชีวิตมนุษย์ได้ตลอดเวลา
ชีวิตที่เหลือหากต้องอยู่กับสตรีเช่นนี้ เขาจำต้องเตรียมใจให้พร้อม สำหรับรอรับการโดนทรมานนับพันวิธีไว้ล่วงหน้าหรือไม่ ?
ช่างน่าปวดหัว !
ขณะที่เย่ฉางชิงกำลังขบคิดว่าจะเกลี้ยกล่อมจักรพรรดิมารอย่างตู๋กูชิงเฟิงให้ไปจากเขาเยี่ยงไรอยู่นั้น
จู่ ๆ น้ำเสียงอันอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยความเย็นชาก็ดังขึ้น
“ฉางชิง ข้ากลับมาแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้น พลันร่างของเย่ฉางชิงก็สั่นเทาขึ้นมา สมองขาวโพลนจนคิดอะไรมิออก
‘ทำไมกลับมาเร็วจัง ? ’
‘ไหนนางบอกว่าจะออกไปข้างนอกมิใช่หรือ ? ’
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เย่ฉางชิงก็ได้สติขึ้นมา ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความหวาดหวั่น
เขารู้ดีว่าก่อนที่จะหาวิธีเกลี้ยกล่อมจักรพรรดิมารตนนี้ได้ ต้องห้ามเผยพิรุธให้นางจับได้แม้แต่นิดเดียว
เช่นนั้นเขาจะชักช้ามิได้เด็ดขาด
มิเช่นนั้นเป็นไปได้สูงว่าชีวิตคงต้องจบสิ้นลงเป็นแน่ พ่อแม่เลี้ยงเสียข้าวสุก ผ้าขาวคลุมหน้า เกิดมาเสียชาติเกิดซะเปล่า ๆ
คิดได้เช่นนั้น เย่ฉางชิงจึงหันไปเอ่ยกับนาง ด้วยใบหน้าที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มสุภาพ “ชิงเฟิง… เหตุใดกลับมาช้านักเล่า”
ได้ยินเช่นนั้น ตู๋กูชิงเฟิงก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาเย่ฉางชิง
วินาทีต่อมา ขณะที่เย่ฉางชิงยังมิทันตั้งตัวนั้น
ตู๋กูชิงเฟิงก็เอนศีรษะพิงซบลงที่อกของเย่ฉางชิงในทันที
เย่ฉางชิง : (?_?)