อัศวินดำคุงไม่อยากเป็นเซ็นไต - ตอนที่ 159 ความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้
พอได้มาหาซื้อของส่วนตัวหลังจากไม่ได้ทำมานานนี่ก็รู้สึกเหนื่อยเอาเรื่อง
ตอนที่เสียความทรงจำก็เคยมาซื้อของกับฮาคัวอยู่บ่อยๆ แต่ห้างที่ใหญ่ขนาดนี้ต้องเรียกว่าครั้งแรกเลย
หลังจากออกมาจากร้านหนังสือ ฉันก็ตรงไปยังร้านขายอุปกรณ์กีฬา ร้านเสื้อผ้า ร้านขายสัตว์เลี้ยงซึ่งกินแรงสุดๆ
พอเสร็จก็ไปที่ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าต่อ ได้มาเห็นพวกของใช้รุ่นใหม่ๆ ซึ่งต่างจากของเดิมที่ฉันเคยใช้ตอนอยู่คนเดียวนี่ทำเอาทึ่งชะมัด
『คัตสึมินๆ』
『อย่ามาเรียกคัตสึมินสิเห้ย….ว่าแต่มีอะไร?』
『ไม่อยากเลี้ยงสัตว์จริงเหรอ?』
『ถึงอยากเลี้ยงก็ไม่ไหวหรอก ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงแบบนี้』
『เมี๊ยว』
『หล่อนทำเสียงบ้าอะไรของหล่อน?』
『ฉันเลี้ยงง่าย ไม่สร้างปัญหา』
『เดี๋ยวก่อนไอ้ที่เราคุยกันนี่มันใช่สัตว์เลี้ยงที่เรียกว่าสัตว์เลี้ยงแน่เหรอ?ฉันว่ามันคนละอย่างนะ』
ทำไมมันเหมือนพวกเราคุยกันคนละเรื่องเดียวกันเลยฟะ?
หวังว่ายัยนี่คงไม่คิดจะทำอะไรแปลกๆ อย่างการมาบุกห้องฉันเหมือนตอนฉันโดนขังเดี่ยวนะ
『อันที่จริงเรื่องPC เครื่องใหม่ก็น่าสนใจไม่น้อยนะคะ หากดูจากลักษณะการใช้ของคัตสึมิซังแล้วคงไม่จำเป็นต้องเจาะจงในเรื่องประสิทธิภาพและลักษณะการใช้งานพิเศษ ดังนั้นฉันแนะนำว่าให้เลือกโน๊ตบุ๊คแทนน่าจะดีกว่าค่ะ ซึ่งมันสามารถพกพาและใช้งานได้สะดวกกว่า คำถามต่อไปก็คือการเลือกสเป็กค่ะแค่นอนว่าต้องใช้ CPU ประสิทธิภาพสูง สัมผัสของแป้นพิมพ์ก็เป็นเรื่องที่จะละเลยไม่ได้เด็ดขาด น้ำหนักสัมผัส รสนิยมส่วนตัวที่ชอบ….หากจะให้ฉันแนะนำได้มากกว่านี้คัตสึมิซังอาจจะต้องอธิบายถึงรสนิยมและดีไซน์เพิ่มค่ะ นอกจากนี้การเซ็ทอัพเบื้องต้นฉันจะรับหน้าที่จัดการให้เองเป็นไปได้ก็อยากจะไปดูสภาพภายในห้องของคัตสึมิซังด้วยค่ะ เรื่องทั้งหมดปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเองโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาประธาน จริงสิคะ หากสนใจเรื่องการออกมาไลฟ์ก็สามารถปรึกษาฉันได้เหมือนกันเพราะหากนั่นมันช่วยทำให้คัตสึมิซังหางานอดิเรกได้ฉันก็พร้อมสนับสนุนค่ะ บอกเลยว่าความรู้ด้านนี้ของฉันสูงเป็นพิเศษ ทางประธานก็น่าจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในเรื่องของโมเดลด้วย ว่าไงคะ? …….เอ่อ ขอโทษค่ะ เผลอไปหน่อย』
『อ้า ขอบคุณที่ช่วยนะ!!』
ฮารุพูดเร็วและรัวสุดๆ แต่ฉันพอจะเข้าใจว่าเธอตั้งใจจะเสนอเรื่องเกี่ยวกับคอมให้ฉันฟัง
ไอ้ฉันก็ไม่มีความรู้เรื่องนี้เท่าไหร่หรอก ดังนั้นหากติดอะไรให้ผู้เชี่ยวชาญอย่างเธอทำน่าจะดีกว่า
ถึงวันนี้จะยังไม่คิดจะซื้อ แต่ไว้วันหลังค่อยไปขอคำแนะนำอีกทีดีกว่า พอได้เครื่องที่ต้องการค่อยให้ทางบริษัทส่งมาเอา
「……เฮ้อ เหนื่อยเหมือนกันแฮะ」
ในขณะที่เดินไปมารอบห้าง ก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว พวกฉันจึงตัดสินใจจะไปหาอะไรทาน แต่เพราะเป็นช่วงวันหยุดคนก็เลยเยอะเป็นพิเศษ
อาโออิกับฮารุไปต่อแถวเพื่อซื้ออาหาร ส่วนทางฉันก็มานั่งจองที่รอแล้วเฝ้าข้าวของให้พวกเธอ
「ได้มีวันธรรมดาแบบนี้กับเขาบ้างก็ไม่เลว」
『อื้อ คัตสึมิต้องการวันพักผ่อนแบบนี้แหละ』
『โฮก』
「คงทำให้พวกเธอเป็นห่วงมาตลอดเลยสินะ」
ตอนที่ฉันปลิวไปต่างโลก โปรโตกับชิโระเองก็คงเป็นห่วงฉันไม่น้อย
ถึงฉันจะยังรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่อยากให้ทุกคนต้องมากังวล
「ระหว่างรอก็เอาหนังสือที่ซื้อมาอ่านหน่อยละกัน」
『เล่มไหนเหรอ?』
「นิยายโรแมนติกสยองขวัญ」
『……ใครมันแนะนำมากันนะ?』
「อันนี้อาโออิแนะนำน่ะ」
ฉันได้ซื้อหนังสือที่พวกเธอแนะนำมาสองสามเล่ม แต่ไอ้เล่มที่อาโออิแนะนำเนี่ยมีแต่แปลกๆ
เอาเป็นว่าดูจากทรงคงอ่านได้ทั้งชายและหญิงมั้ง
『ชื่อหนังสือล่ะ?』
「รวมเรื่องสั้น ยูไอ(ผี+รัก) หื้ม ถึงจะบอกว่าสยองขวัญแต่ถ้าเธอแนะนำมาก็น่าจะไหวแหละ
ว่าแล้วฉันก็ลองเปิดอ่านดู
【วิทยุสีแดง】
ช่างรู้สึกหดหู่เหลือเกินเมื่อนึกถึงอนาคตในชีวิตของฉัน
ตอนที่ฉันอายุได้ยี่สิบกลางๆ ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นวัยผู้ใหญ่ พวกความฝันต่างๆ ในชีวิตก็เริ่มจากหายไป
ไม่ใช่เพราะว่าเจองานที่ลำบากยากเย็นอะไร
ความสัมพันธ์กับคนรอบตัวก็ไม่ได้ดีได้แย่อะไร บางครั้งก็ออกไปทานข้าวหรือเที่ยวกับพวกเขาบ้าง
บางคนอาจจะอิจฉาสิ่งที่ฉันเจอ
และบอกว่าฉันเป็นคนโชคดีที่ได้เจอเรื่องนี้
พวกเขาก็อาจจะพูดถูก
ฉันโชคดี
ฉันสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากมายหรือมีปัญหากับใคร
ตื่นเช้าไปทำงานออฟฟิศ ตอนเย็นกลับบ้านนอน ชีวิตวนเวียนไปแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
และนั่นมันทำให้ฉันรู้สึกว่าอยากจะเปลี่ยนวิถีชีวิตนี้ แต่ก็รู้ว่าฉันไม่สามารถทำแบบนั้นได้
ฉันไม่มีความกล้ามากพอจะทิ้งงานที่มั่นคง ครอบครัวหรือคนรักก็ไม่มีพลังในการก้าวต่อหรือเหตุผลอะไรก็หาไม่ได้
แก้ตัวกับทุกสิ่ง หาเหตุผลร้อยแปดมาอ้างและปล่อยให้ตัวเองใช้ชีวิตไปวันๆ
นั่นคือชีวิตของฉัน โคสุเกะ อุซึกิ
「ชีวิตแบบเดิมๆ สินะ เฮ้อ」
วันนี้ก็เดินกลับจากที่ทำงานเหมือนปกติ
ฉันหยุดเดินอยู่ตรงทางข้ามทางรถไฟที่กำลังส่งเสียงเตือนดังออกมาแล้วพูดกับตัวเอง
ช่วงรอยต่อระหว่างตอนเย็นกับกลางคืน ฉันเงยหน้ามองท้องฟ้าสีแดงฉานแล้วถอนหายใจ
「ตัวฉันอยากจะทำอะไรกันแน่นะ」
ตอนเด็กๆ ความฝันของฉันมีอยู่เต็มไปหมด
ทว่ามันก็ถูกบดขยี้ด้วยความจริงของสังคมและทำให้ฉันกลายเป็นฉันในวันนี้
ตอนนี้ฉันไม่เหลือความหวังความฝันใดๆ อีกแล้ว ทำได้เพียงใช้ชีวิตแบบเดิมไปเรื่อยๆ
「เฮ้อ・・・」
ใช่ว่าฉันจะไม่รู้สึกตัว
แต่ฉันไม่มีความกล้ามากพอจะเปลี่ยนแปลงตัวเอ
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉันค่อยแต่สาปส่งตัวเองและหดหู่ใจไปวันๆ
พอที่กั้นทางรถไฟผ่านเปิดออก ฉันก็เริ่มเดินต่อ
ทางกลับอพาร์ตเมนต์ของฉันเป็นย่านการค้าที่มีผู้คนสัญจรไปมาไม่มากนัก แตกต่างจากเมื่อครั้งอดีตที่เต็มไปด้วยผู้คน มีร้านค้าเหลือไม่กี่ร้านที่ยังเปิดอยู่ซึ่งมันแทบจะสัมผัสไม่ได้ถึงความมีชีวิตชีวาเลย
สักวันย่านการค้านี้ก็คงจะหายไป
เมื่อคิดแบบนั้นฉันก็รู้สึกเหงาอยู่ไม่น้อย
「・・・?」
ร้านขายของเก่าที่ไม่มีใครสนใจ จุดทิ้งของที่คนไม่ต้องการ
เมื่อฉันเดินผ่านร้านค้าดังกล่าว สายตาของฉันก็สังเกตถึงบางสิ่งที่มีลวดลายสีแดง
「ว・・・วิทยุ?」
วิทยุสีแดงใหม่เอี่ยมที่ไม่คิดว่าจะได้พบในร้านขายของเก่า
มันโดดเด่นและตั้งตระหง่านอยู่กลางชั้นวางของร้านและสิ่งนั้นมันก็ดึงดูดฉันให้เข้าไปหาอย่างน่าสงสัย
「ยังมีของแบบนี้อีกเหรอ」
มันไม่ใช่ยุคสมัยที่จะมานั่งฟังอะไรแบบนี้อีกแล้ว
หากนับครั้งล่าสุดที่ฉันฟังก็คงเป็นตอนขับรถเล่นกับพ่อแม่สมัยยังเด็ก
แต่สิ่งนี้ทำไมมันใหม่ได้ขนาดนี้กัน
แทบไม่มีรอยขีดข่วนใดๆ เลย ขนาดก็ประมาณสองฝ่ามือของฉัน
「・・・」
วิทยุที่ฉันได้เจอระหว่างทางกลับบ้าน
ตัวฉันที่ไร้ซึ่งงานอดิเรกใดๆ อยู่แล้ว บางทีสิ่งนี้อาจจะช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรฉันก็ได้
ว่าแล้วฉันก็หยิบเอาวิทยุนั้นขึ้นมา ราวกับกำลังต้องมนตร์สะกด
「นายสนใจสิ่งนี้เหรอ? หืม?」
เสียงดังขึ้นมาข้างหูของฉันมันทำให้ฉันสะดุ้งจนไหล่กระตุก
วิทยุที่ถืออยู่ในมือก็เกือบจะทำหล่น พอหันไปก็พบว่าเป็นหญิงสาวผมดำสวมชุดสีแดนกำลังยืนอยู่
ชุดของเธอเป็นสีเดียวกับวิทยุสีแดงในมือฉัน
ปกติก็คงจะคิดว่ามาแต่งชุดหรูอะไรอยู่ในร้านแบบนี้ แต่ฉันกลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย กลับกัน・・・
「・・・」
ฉันตกหลุมรักเข้าให้แล้ว
เส้นผมและดวงตาที่ดำสนิทของเธอ ใบหน้าที่คล้ายกับตุ๊กตา แต่ด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนของเธอจึงทำให้รู้ว่าเธอหาใช่ตุ๊กตา เมื่อเห็นว่าฉันไม่พูดอะไรออกมาเธอก็ยิ้มแบบเขินๆ
「หรือฉันทำให้ลำบากใจ?」
「ไม่หรอกครับ」
ฉันแทบจะพูดออกมาไม่เป็นภาษา แต่อย่างน้อยก็ยังพูดเป็นคำได้อยู่
กระแสของผู้คนยังคงเดินผ่านย่านแห่งนี้ไปเรื่อยๆ ในช่วงยามเย็นที่พระอาทิตย์กำลังจะลับฟ้า แต่ช่วงเวลาของฉันที่ได้ยืนอยู่ต่อหน้าหญิงสาวคนนี้มันได้หยุดลงแล้ว
「มันก็แค่วิทยุเก่าๆ เองนี่นา」
เธอชี้ไปยังวิทยุที่อยู่ในมือของฉัน
「ดูเก่าสุดๆ ซะจนไม่แน่ใจว่าจะเปิดออกไหมด้วยซ้ำ จะรอดไหมนะ?」
「・・・ไม่หรอกครับ สำหรับผมมันสวยมาก」
「ทำไมกันล่ะ?」
เธอเอียงหัวสงสัย
「เพราะว่า・・・จากสภาพที่เห็นเจ้าของคนเก่าคงจะใช้มันอย่างถนอมสุดๆ เลยนี่นา」
「・・・」
เธอไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
อย่างไรก็ตามจากสภาพที่ฉันเห็นมันก็ไม่ได้แตกหักอะไร เจ้าของเก่าคงใช้มันระวังจริงๆ
「ผมเลยตั้งใจว่าจะซื้อน่ะ」
「・・・」
ถึงฉันจะไม่มีงานอดิเรกอย่างการสะสมของเก่า แต่ฉันก็ไม่สามารถละสายตาจากวิทยุเครื่องนี้ได้เลย
การซื้อสิ่งนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันของฉันได้
ใช่ว่าซื้อไปแล้วฉันจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น・・・
「ผม・・・หือ?」
「・・・」
พอฉันเงยหน้าขึ้นมามองอีกที หญิงสาวตรงหน้าของฉันก็หายไปแล้ว
ไม่ว่าจะพยายามมองหาสักแค่ไหนก็ไม่พบแม้แต่เงาของเธอเลย
「โดนแกล้งแล้วไหมนะเรา・・・ไม่สิ ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ」
「・・・」
นี่คือรักแรกพบของฉัน
แน่นอนว่าฉันไม่ใช่พวกตกหลุมรักใครมั่วซั่วมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันสัมผัสได้ว่าตัวเองอาจจะเป็นเช่นนั้น
พอคิดได้แล้ว ฉันก็เอามือกดหน้าผากแล้วมองวิทยุในมือก่อนจะยิ้มออกมา
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริง
เอาเป็นว่าก็ซื้อวิทยุนี้กลับบ้านไปด้วยเลยแล้วกัน
「・・・ฟุฟุฟุ」
พออ่านได้สักพักฉันก็ปิดหนังสือ
「..ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องโรแมนติกเฉยๆ นี่」
『เอ่อ ปกติเหรอ คัตสึมิ ส่วนไหนกันที่มันปกติ?』
『โฮกกกก (อาโออิแนะนำเรื่องดีๆ ให้ก็เป็น) 』
จากที่อ่านคงจะเป็นเรื่องราวความรักของตัวเอกที่ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ ก่อนที่เขาจะได้เจอเข้ากับวิทยุสีแดงสินะ
ถึงจะยังไม่รู้ว่าส่วนไหนมันคือสยองขวัญก็เถอะ แต่ก็แอบสนใจไม่น้อยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองต่อ ไว้ค่อยกลับไปอ่านละกัน
「ระวังหน่อยสิลูก แบบนั้นมันอันตรายนะรู้ไหม?」
「ไม่เป็นไรหรอกน่า」
「หือ?」
ระหว่างที่กำลังคิดอะไรไปเรื่อย ฉันก็สังเกตเห็นเด็กคนหนึ่งกำลังเดินอยู่กับแม่ของเขาที่ถือถาดข้าวในมือ
มาเที่ยวกับครอบครัวเหรอ?แม่ของเด็กคนนั้นเหมือนจะบ่นลูกของเธอที่วิ่งเล่นนำหน้าเธอไปอย่างอารมณ์ดี
「อ๊ะ」
แล้วเด็กคนนั้นก็เดินผ่านมายังโต๊ะที่ฉันนั่งอยู่ก่อนจะสะดุดล้มพร้อมกับถาดข้าวในมือของเขา
เมื่อฉันเห็นแบบนั้นฉันก็รีบเข้าไปพยุงร่างของเด็กคนนั้นพร้อมกับจับถาดข้าวไม่ให้คว่ำได้ทัน
「อะ ขอโทษด้วยค่ะ!!」
「ไม่เป็นไรหรอกครับ…ว่าแต่เป็นอะไรไหม ไม่ได้รับบาดเจ็บนะ?」
ฉันตอบรับคำขอโทษแม่ของเด็กก่อนจะหันไปถามอาการของเด็กคนนั้นว่าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรใช่ไหม ก่อนจะสังเกตเห็นว่าเด็กคนนั้นกำลังทำหน้าเหวอด้วยความประหลาดใจ
….แย่แล้วสิ อย่าบอกนะว่าเด็กคนนี้จำหน้าฉันได้ แต่ก็นะการปลอมตัวแค่นี้หากได้มองดูในระยะใกล้ๆ จริงก็น่าจะพอเดาออกแหง
「……นะ นี่มัน!? อะ อะ อัศ……」
ท่าทางเขาจะตกใจสุดๆ เลยเผลอพูดอะไรแปลกๆ ออกมา ฉันจึงรีบเอามือปิดปากเขาทันที
「เก็บไว้เป็นความลับนะ」
「คะ ครับ」
จากนั้นฉันก็ยืนถาดอาหารให้กับเด็กคนนั้นที่พยักหน้ารับ
「แล้วก็ฟังที่แม่ของนายพูดด้วยล่ะเข้าใจไหม?」
「……ครับ!」
「ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ!! แล้วก็ขอบคุณที่ช่วยลูกฉันเอาไว้ค่ะ!!」
โชคดีที่เหมือนคนเป็นแม่จะไม่สังเกตเห็น หลังจากขอโทษฉันเสร็จเธอก็พาลูกชายที่โบกมือลาฉันไปที่โต๊ะตัวเอง
ทางฉันก็โบกมือลาเบาๆ ให้กับเด็กชายก่อนจะกลับมานั่งแล้วคิดถึงเรื่องในอดีต
「……」
ฉันยิ้มออกมาอย่างขมขื่นเมื่อเห็นภาพซ้อนของตัวเองกับเด็กคนนั้น
ถึงจะเลือนลางไปบ้าง แต่ในอดีตฉันก็เคยมาที่แห่งนี้กับพ่อและแม่
ความทรงจำที่แสนห่างไกลในตอนนั้นครอบครัวของฉันได้หัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างมีความสุข
「ความทรงจำที่แสนเลือนล้างสิน้อ」
การที่ฉันนึกเรื่องแบบนี้ออกและยอมรับมันได้ก็หมายความว่าฉันน่าจะเริ่มหลุดพ้นจากเงาของอดีตได้แล้ว
แทนที่จะไล่ต้อนตัวเองสุดชีวิตในฐานะอัศวินดำ ฉันเริ่มยอมรับที่จะพึ่งพาคนอื่น
「กลับมานั่งรอเหมือนเดิมดีกว่า」
พอนึกถึงเรื่องนั้นเสร็จฉันก็ตั้งใจจะกลับไปนั่งที่เดิม แต่สายตาของฉันก็ดันไปจับจ้องที่ร่างของชายคนหนึ่ง
รูปร่างที่สูงใหญ่และไม่น่าจะใช่คนญี่ปุ่นเพราะเส้นผมสีทองของเขา แน่นอนว่าการจะมีนักท่องเที่ยวมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่บรรยากาศที่เขาแผ่ออกมานี่สิ
「……อึก!!」
ทันทีที่ฉันเห็นเขา ฉันก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคือตัวอันตราย
บรรยากาศที่สัมผัสได้เหมือนกับพวกเอเลี่ยนที่มาบุกโลก พอรู้ตัวฉันก็รีบตรงไปยังโต๊ะที่ชายร่างใหญ่คนนั้นนั่งอยู่
「อย่างที่คิดไว้น้ำของที่นี่มัน…หือ?」
ถุงจำนวนมากถูกวางไว้ตรงหน้าของชายคนนี้มาซื้อของเป็นจำนวนมาก
ก็จริงว่าฉันสามารถคิดว่าเขาเป็นเพียงเอเลี่ยนที่มาซื้อของเฉยๆ แต่บรรยากาศและความแข็งแกร่งของเขาเป็นเรื่องที่ยากจะมองข้าม・・・・
「ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันที่นี่เลยแฮะ ฮ่าๆๆ โชคดีเหมือนเคย・・・・ตัวฉัน」
ชายคนนี้แสดงรอยยิ้มอันดุดันออกมาให้กับฉัน
ดูจากท่าทางแล้วเขารู้จักฉันแน่นอน…แล้วเขาตั้งใจจะทำอะไรในที่ที่มีคนอยู่มากขนาดนี้กัน?
「แกเป็นเอเลี่ยนเหรอ?」
「ฮันนีมูนน่ะ」
「……หา?」
「ฉันมาที่โลกเพื่อฮันนีมูนกับผู้หญิงที่ฉันรัก ดังนั้นสบายใจได้ไม่คิดทำอะไรแปลกๆ หรอก」
……。
……、……。
หาาาา?
『『……』』
ชิโระกับโปรโตที่ตั้งท่าระวังสุดๆ พอได้ยินคำตอบของอีกฝ่ายก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ฮันนีมูน?หมายถึงได้การท่องเที่ยวฉลองหลังแต่งงานสินะ
……หมายความว่ายังไงกัน?
เอาจริงดิ?
แต่จากสีหน้าของเขาก็เหมือนจะจริงจังซะด้วย
นั่นสินะ นอกจากพวกที่บุกโลกแล้ว การจะมีเอเลี่ยนสักกลุ่มที่แค่อยากมาเที่ยวโลกก็คงไม่แปลกมั้ง จักรวาลมันก็กว้างใหญ่ด้วยสิ
「เข้าใจแล้ว งั้นฉันก็ขอโทษละกันที่เข้ามากวน…หวังว่าจะสนุกกับภรรยานะ ขอตัวก่อน….」
「ไม่เอาน่า รอก่อน ไหนๆ เจอกันแล้วก็คุยกันสักหน่อยสิ」
เขาหยุดฉันเอาไว้ในจังหวะที่ฉันรู้สึกอึดอัดใจแล้วกำลังจะเดินหนี
「นายเป็นถึงอัศวินดำผู้โด่งดังคนนั้นเชียวนะ」
「……แล้วมีเรื่องอะไรล่ะ」
「ดวงตาสมกับเป็นนักรบจริงๆ ….ถ้าฉันบอกว่าอยากจะซัดกับนายสักฝุ่นจะว่ายังไงล่ะ?」
「หา?」
「เอาน่าๆ ยังไงก็นั่งลงก่อน ยืนคุยแบบนั้นเหนื่อยแย่」
นี่มันเป็นประโยคพูดคุยกันปกติของเอเลี่ยนเหรอ
จากนั้นฉันก็ลากเก้าอี้ออกมานั่งอย่างระมัดระวัง จากนั้นอีกฝ่ายก็กินน้ำจนหมดแก้วแล้วชี้นิ้วหัวแม่มือมาทางฉัน
「ฉันลำดับแห่งดวงดาราที่ 9 ที่มาคราวนี้ไม่ได้คิดจะมาทำลายดาวเคราะห์หรือฆ่าสิ่งมีชีวิตอะไรหรอก」
「แต่ก็เป็นถึงลำดับที่ 9 คงไม่ได้คิดจะมาสร้างปัญหาใช่ไหม?」
「ก็บอกไปแล้วไงว่ามาฮันนีมูน ฉันพูดจริงจังนะเออ ตอนนี้พวกเรากำลังเพลิดเพลินกับดวงดาวนี้สุดๆ แบบสุดจริงสุดจังสุดหัวใจเลย」
ไอ้หมอนี่พูดอะไรของมันฟะ
「ก็จริงอยู่ว่าได้รับคำสั่งจากท่านรูอินมา แต่นั่นมันก็แค่ของแถมน่าอย่าไปใส่ใจเลย」
พูดออกมาหน้าตาเฉยเลยวุ้ย……。
ถึงจะบังเอิญเจอกันก็เถอะ แต่ไอ้การแสดงออกที่แปลกๆ นี้มันอะไรกัน?
「ฉันเองก็ไม่ชอบการทำลายล้างแบบไร้เหตุผลเสียด้วย ไม่สิเกลียดเลยแหละเพราะน้ำผึ้งของฉัน เธอเกลียดมันนี่นา」
「น้ำผึ้งของฉัน?」
น้ำผึ้งของหมอนี่ไม่ชอบการใช้ความรุนแรง?
「ไม่ใช่น้ำผึ้งสิ…..แต่นั่นสินะความหวานของเธอที่เหมือนกับน้ำผึ้ง ไหนจะเส้นผมสีทองอ่อนและสวยงามนั่นอีก เหมือนกันเป๊ะเลย ว่าแล้วเชียวภาษาของดาวโลกนี่มันหลากหลายชะมัด ไหลไปได้เยอะสุดๆ เลยว่าไหม?!」 (*มายฮันนี่ที่แปลแบบตรงๆ นั่นแหละ*)
「ว่าแต่แกพูดบ้าอะไรของแกเนี้ย?」
「ขอบคุณนายจริงๆ อัศวินดำ ที่ช่วยทำให้ฉันได้ศัพท์ในการสรรเสริญความงามของเธอ」
「ก็ถามอยู่นี่ไงว่าแกพูดบ้าอะไรฟะ?」
ฉันอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาถึงสองรอบ ไอ้หมอนี่มันมาจากเผ่าเดียวกับอาโออิหรือไงฟะ?
ฉันละแปลกใจจริงๆ ที่ในจักรวาลนี้ยังมีคนที่มีกระบวนการคิดทางสมองแบบเดียวกับยัยนั่น
「เอ่อ ว่าแต่เมื่อกี้ฉันพูดถึงไหนนะ?」
「นี่แกลืมแล้วจริงดิ….แกบอกว่าเกลียดการทำลายล้าง」
「อ้า ใช่ๆ ฉันเกลียดเกลียดมัน」
สมองมันไหวไหมเนี้ย
แตกต่างจากพวกลำดับแห่งดวงดาราคนอื่นที่เคยเจอสุดๆ
「ก็คือจะบอกว่าไม่คิดทำอะไรรุนแรงที่นี่สินะ?」
「อ้า ถ้าเป็นที่นี่ก็ไม่หรอก」
「……」
สายตาของเขาจ้องมองมาใส่ฉันเหมือนนักรบเจนสนาม
แม้จะไม่ชอบการทำลายล้างไปทั่ว แต่ก็คงมีแผนทำอะไรสักอย่างสินะ?
「ดาร์ลิ้ง!!」
ฉันกับลำดับ 9 จ้องตากัน
ก่อนที่จะเกิดเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงนั้น รอยยิ้มของเจ้านี่ที่พร้อมจะบวกคนได้เสมอก็เปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาแทน
จากนั้นฉันก็หันไปมองต้นเสียงก่อนจะพบว่าเป็นหญิงสาวตัวสูงผมบลอนด์เหมือนชาวต่างชาติ แต่ทันทีที่เห็นก็รู้ว่าเธอแตกจากคนปกติ
「……อัลฟ่า?」
「โห แค่เห็นก็รู้ถึงขั้นนั้นเลยเหรอ?ขอแนะนำให้รู้สึก เธอคนนี้คือฮันนี่ของฉันเอง ไอช่า」
…..เหมือนเธอจะจัดเต็มสุดๆ
มือของเธอเต็มไปด้วยไอศกรีมหลากสี แถมพอสังเกตดีๆ การแต่งตัวของทั้งคู่ของโดดเด่นสุดๆ ไม่แพ้กันเลย
จากนั้นไอช่าก็เดินเข้ามาหาฉันพร้อมควงถุงช็อปปิ้งเต็มแขน
「ดาร์ลิ้ง ฉันซื้อไอศกรีมมาฝากคุณด้วยแหละ!」
「โถ ฮันนี่ซื้อมาซะเยอะเชียวนะ」
「ก็แหม่ มันมีอยู่หลายสีจนฉันไม่รู้จะเลือกสีไหนนี่นา ก็เลยเอามันมาซะหมดเลย!! …หรือว่าฉันจะทำเกินไปเหรอ?」
เห็นได้ชัดว่าซื้อมาเยอะเกินไปสุดๆ เพราะเหมือนจะมีใส่ไว้ในถุงช็อปปิ้งด้วย แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้โกรธอะไรแล้วเอามือไปแตะที่คางของหญิงสาว
「ไม่เป็นไรหรอกน่า เพราะฉันจะกินมันให้หมดเอง」
「ดาร์ลิ้ง…! เหมือนฉันจะละลายเพราะความรักของคุณเลย!! ละลายเหมือนไอศกรีมแท่งนี้…!!」
ทั้งสองมองหน้ากันด้วยสายตาที่หลงใหล
…เอิ่มมมม
พอเห็นบรรยากาศของพวกเขามันก็ชวนให้ฉันนึกถึงนิยายที่ฉันอ่านไปตะกี้
หนังสือนิยายโรแมนติกที่อาโออิแนะนำให้มันโผล่เข้ามาในหัวฉัน ฉันมองพวกเขาที่จ้องหน้ากันพร้อมกับสลับนึกถึงเรื่องที่อ่าน
「ถึงจะแปลกกว่าในนิยายไปบ้าง แต่คิดซะว่าเป็นประสบการณ์ไว้อ้างอิงแล้วกัน」
『ชิโระ! นี่มันเหมาะสมสำหรับการพัฒนาทางอารมณ์ของคัตสึมิ!! ต้องรับจัดการโดยด่วน!』
『โฮกกกกก (ส่งสัญญาณเตือนภัยร้าย) !!』
แต่การที่จะมาหวานต่อหน้าคนจำนวนมากได้ขนาดนี้ต้องใช้ความกล้าพอสมควร
ไม่สิเพราะเป็นเอเลี่ยนเลยไม่ต้องสนไหมนะ?
「เอ๋ เด็กคนนี้คือใครเหรอ?」
「อ้อ ได้ยินอย่าแปลกใจเชียวล่ะ เพราะเด็กคนนี้ก็คือมนุษย์โลกที่อ่านรูอินหลงใหลอยู่ยังไงล่ะ」
「ว้าว! บังเอิญจัง!! แบบนี้ต้องมาถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกแล้วสิ!!」
「นั่นสินะ!」
ฉันสับสนกับลำดับ 9 และไอช่าที่พุ่งเข้ามาประชิดตัวฉันทันที
เขาคว้าไหล่ของฉันเอาไว้ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปลี่ยนเป็นโหมดเซลฟี่ จากนั้นก็เหยียดแขนจนสุดแล้วถ่ายภาพพวกเรา 3 คน
「เอ๋? เอ๋? หา?」
「เก็บไว้เป็นความทรงจำ!」
「ใช้แล้วเอา ชีสสสสส!」
「「เย้――!!」」
「ยะ เย้……」
ฉันถูกลากไปตามกระแสก่อนจะจบลงที่ถ่ายภาพกับพวกเขา
ทำไมฉันถึงมาอยู่จุดนี้ได้กันนะ
พวกสัตว์ประหลาดและเอเลี่ยนนั้นคือศัตรูของฉัน
แต่คนพวกนี้กลับต่างออกไป
พวกเขาดึงฉันเข้าไปในโลกที่มีแต่พวกเขาไม่พอ แต่ยังทำเรื่องต่างๆ ที่แสนห่างไกลกับคำว่าชั่วร้าย
ในอีกมุมหนึ่งมันก็แอบน่ากลัวกว่ารูอินอย่างบอกไม่ถูกวุ้ย
「ว้าว รูปนี้สวยอ่ะ!」
「ตอนถ่ายกับซันนี่เหมือนพวกเรากำลังมาถ่ายรูปรวมญาติเลย ต้องแบบนี้สิถึงจะให้ฟิลแบบคนในครอบครัว!!」
「งั้นรับเด็กคนนี้เป็นลูกเลยดีไหมนะ!」
「เดี๋ยว? ลูก?」
「……สุดยอดแห่งความคิดเลย!」
「พวกเอ็งฟังฉันหน่อยสิเห้ย ได้ยินไหมเนี้ย?」
เดี๋ยวก่อนนะ อะไรกัน นี่ฉันกลายเป็นลูกของเจ้าพวกนี้ไปแล้วเหรอ?!
จากนั้นลำดับที่ 9 ก็เอามือมาวางไว้บนไหล่ของฉันพร้อมกับแสดงสีหน้าจริงจัง
「นายอยากจะมาเป็นลูกของพวกเราไหม?」
「ลูกก็บ้าแล้วเห้ย อยู่ดีๆ มาพูดเรื่องนี้กับชาวบ้านได้ไงฟะ」
「อ่าว ไม่ได้เหรอ!? ทั้งที่คิดว่าพวกเราจะเป็นครอบครัวที่ดีได้เชียว……」
……。
「โปรโต ชิโระ ช่วยติดต่อขอความช่วยเหลือจากเรมะ….」
『คัตสึมิ ทำใจดีๆ ไว้ก่อนนะ! ชิโระ เรื่องส่งสัญญาณไปถึงไหนแล้ว?!』
『โฮกกกกกกกก (ส่งสัญญาณไม่ได้) 』
『ส่งไม่ได้……?』
การสื่อสารถูกขัดขวางเหรอ?
ฉันรีบหันไปมองคู่รักทั้งสองที่กำลังวางแผนจะสร้างครอบครัวโดยไม่ถามความสมัครใจของฉันทันที
「โฮ่ย การสื่อสารถูกตัดไป ฝีมือพวกแกเหรอ?」
「เอ๋? ฮันนี่?」
「หือ?ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ・・ละมั้ง?」
「ก็ตามนั้น ไม่ใช่พวกเราหรอก」
ไม่ใช่พวกนี้เหรอ?
ในจังหวะที่กำลังคิดว่าเป็นฝีมือใคร ฉันก็ได้ยิงเสียงกรีดร้องดังขึ้นภายในห้างจำนวนมาก
ความโกลาหลได้ก่อตัวขึ้นทันที
「คัตสึมิคุง!」
「คัตสึมิซัง!」
「อาโออิ! ฮารุ!」
ทั้งสองคนที่ไปซื้ออาหารรีบวิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว
อาโออินำปืนพกที่สร้างมาจากอุปกรณ์แปลงร่างตรงข้อมือชี้ไปยังลำดับที่ 9 ทันที
「แกสินะตัวก่อเรื่อง?」
「ช่างเป็นบรรยากาศที่น่ากลัวเสียจริง นี่เธอเป็นนักฆ่าหรือไง แต่เสียใจ ไม่ใช่พวกเราจ้า」
「……คัตสึมิคุง」
「บางทีคนพวกนี้คงไม่เกี่ยวจริง ยิ่งไปกว่านั้นสัญญาณการติดต่อ———」
――ก่อนจะได้พูดจบร่างกายของฉันก็รู้สึกหนักขึ้นมาทันที
อะไรกัน?พอฉันหันไปมองอาโออิกับคนอื่นๆ ก็พบว่าไม่ใช่แค่พวกเรา แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนี้เหมือนจะเริ่มหมดแรงราวกับต้านน้ำหนักตัวเองไม่ไหว
「……สัตว์ประหลาดแรงโน้มถ่วง?」
「ไม่หรอกคัตสึมิคุง ความสามารถนี้ฉันจำมันได้ดีเลย สัตว์ประหลาดแห่งสมดุล」
สัตว์ประหลาดที่จะเฉลี่ยค่าพลังของสิ่งมีชีวิตทุกตัวในขอบเขต ศัตรูที่อาโออิเคยเผชิญหน้าด้วยในอดีต
「พื้นที่พลังแค่ในห้างสินะ?」
「ฉันคิดว่างั้น ฉันจะจัดการเอง คัตสึมิคุง ฝากฮารุด้วย」
「จะไปหาสองคนนั้นสินะ?」
ฉันไม่สามารถใช้พลังของตัวเองได้ ดังนั้นเรื่องคราวนี้ฝากไว้กับอาโออิและคนอื่นๆ คงไม่เสียหาย
「อุ นายรู้อยู่แล้วเหรอ?」
ฉันรู้ถึงเรื่องของอากาเนะกับคิราระมาตั้งแต่แรกแล้ว
ทันทีที่พวกเธอสัมผัสได้ถึงอันตรายแปลกๆ พวกเธอก็รีบมุ่งหน้าไปทันที
「ว่าแต่ที่ยัยพวกนั้นตามมาที่เพราะเป็นห่วงฉันขนาดนั้นเลยหรือไง ฉันไม่ได้เด็กน้อยนะ」
「แต่นายก็เป็นลูกของพวกเรานะ」
「งั้นก็เป็นพี่ชายของฮารุจังด้วยสินะ?」
「จะลูกหรือพี่ชายก็ไม่เอาเห้ย」
ทำไมทั้งที่เจอกันเป็นครั้งแรกถึงได้พูดคุยกับเข้าคอขนาดนี้ฟะพวกหล่อน
「เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะดูแลเรื่องการอพยพเอง หากเกิดอะไรอันตรายขึ้นฉันจะแปลงร่างเข้าไปช่วย」
「……อื้อ ไปก่อนนะ」
ฉันมองดูอาโออิที่มุ่งหน้าไปยังจุดเกิดเหตุ
ตอนนี้พลังของทุกคนอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยน ถึงจะแปลงร่างก็ไม่เปลี่ยน แต่อย่างน้อยหากเป็นพวกเธอต้องไหวแน่
「แล้วพวกแกจะเอายังไง? ……หา หายไปแล้ว」
พอหันไปมองลำดับ 9 อีกทีก็พบว่าพวกเขาหายไปแล้ว
แต่คงไม่ไปไหนไกลหรอกมั้งเพราะพลังของสัตว์ประหลาดมันสร้างบาเรียคลุมห้างเอาไว้ ก็คงอยู่แถวนี้แหละ
นอกจากนี้พวกเขาเองก็ได้รับผลกระทบจากพลังของสัตว์ประหลาด ดังนั้นปล่อยไว้ก็คงไม่เป็นไร
「ฮารุพวกเราไปช่วยอพยพคนกันเถอะ」
「ค่ะ」
ตอนนี้พวกเราไม่สามารถติดต่อกับภายนอกได้ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการป้องกันไม่ให้ผู้คนได้รับผลกระทบจากการต่อสู้
การแปลงร่างคือตัวเลือกสุดท้ายของฉัน แต่หากมันจำเป็นฉันก็ไม่ลังเลที่จะแปลงร่างหรอก
—จบ—
อ่านนิยายในนิยายอีกที
ดูจากทรงแล้วฟิงเกอร์น่าจะเป็นสายต่อยตีเลยแหละ ยังไงก็เป็นถึงโอเมก้าแต่ต้องกดอารมณ์ตัวเองเอาไว้เพราะภรรยาสุดที่รักอย่างไอช่าไม่ชอบแหง
มาเม้ามอยหลังอ่านกันได้ที่เพจนะครับ แล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code