อัศวินดำคุงไม่อยากเป็นเซ็นไต - ตอนที่ 131 โลกคู่ขนาน 8
วันนี้จะเป็นการขนสูมโปรโรเซโร่ไปพร้อมกับอุปกรณ์ทั้งหลายจากฐานเก่า
เนื่องจากเป็นการขนย้ายครั้งใหญ่พวกเราก็เลยต้องใช้รถบรรทุกถึง 5 คัน แน่นอนว่าพวกเราเตรียมตัวพร้อมสำหรับการโจมตีจากพวกสัตว์ประหลาด ฉันจึงได้พาบลูมาเป็นคนคุ้มกันด้วย
ส่วนเรดกับเยลโล่ถูกวางให้เฝ้าระวังที่อาณานิคมแรกเผื่อถูกโจมตีเอาไว้
『นี่คือบลู บริเวณรอบๆไม่มีอะไรผิดปกติ』
「อ้า เฝ้าระวังต่อไป หากพบสิ่งผิดปกติให้รีบรายงานทันที ทางนี้ก็ด้วย」
『รับทราบ』
ได้ยินรายงานของบลูที่กำลังค้นหาศัตรูจากบนรถบรรทุก ฉันก็เตรียมตัวออกเดินทาง
หลังโหลดสัมภาระทั้งหลายเสร็จฉันก็ขึ้นไปนั่งอยู่ข้างบนรถฝั่งคนนั่งแล้วเฝ้ารอเวลาให้ถึงที่หมาย โดยคิดถึงเรื่องของอาณานิคมที่ 2
เนื่องจากชัยชนะที่พวกเราได้รับตรงอาณานิคมที่ 1 จำนวนของสัตว์ประหลาดที่ปรากฏตัวจึงลดลงเป็นอย่างมาก
พวกลูกกระจ้อกก็ยังพอให้เห็นแต่ไม่ใช่ปัญหาในการจัดการเท่าไหร่ ตัวตนลึกลับที่ปรากฏขึ้นก่อนหน้านี้ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ดังนั้นพวกเราจึงสามารถเคลื่อนไหวกันได้สะดวก
「หน้าตาดูมีความสุขนะครับ」
「……หน้าฉันมันบอกงั้นเหรอ?」
ฉันเอียงหัวสงสัยให้กับคำถามของเทรุฮาชิคุงที่กำลังขับรถบรรทุกฝั่งคนขับ
ผมสีบลอนด์ ดวงตาสีฟ้า บุคลิกที่เป็นมิตร ถึงแม้หน้าตาจะไม่ได้ดีเท่ากับฉัน แต่รอยยิ้มสดใสนี้ก็ถือว่าผ่านแหละ
「ถ้าให้ผมเดา ก็คงจะเป็นเพราะผู้บัญชาการมีความสุขที่พวกเราสามารถเอาชนะสัตว์ประหลาดได้แล้วสินะครับ?」
「มันก็ไม่เชิงน่า」
ถึงจะเอาชนะพวกมันได้ แต่คนที่ทำไม่ใช่พวกเรา
ปัญหาที่ฉันคาใจตอนนี้ก็คงจะเป็นคนกลุ่มนั้นเป็นมิตรหรือศัตรู
「แล้วนายคิดว่าไงล่ะ?」
「เอ๋? หากมุมผมก็อยากจะให้คนพวกนั้นมาอยู่ฝ่ายเรานะ ผมจะได้มีสมาธิในการทำงานของตัวเองมากขึ้น」
「โลกล่มสลายแล้วยังจะมาบ้างานอีกนะ」
「ก็ไม่เท่าผู้บัญชาการหรอกครับ」
เขายิ้มแล้วก็หัวเราะออกมา
แต่มันก็รู้สึกได้ถึงความจริงใจ
หากร่างกายของฉันเคลื่อนไหวได้ตามปกติ ฉันคงจะตบเขาสักฉาดไปแล้ว
「ว่าแต่ คราวนี้ที่คุณมาด้วยเป็นเพราะมีสิ่งนั้นอยู่ในรถสินะครับ?」
「……。หมายความว่ายังไง?」
「ไม่เอาสิครับ ทุกคนก็น่าจะรู้กันอยู่แล้วว่าที่ผู้บัญชาการมาด้วยตัวเองมันหมายความว่ายังไง」
กำลังพูดถึงโปรโตสูทสินะ
ก็จริงว่าฉันเอามันไปใส่หนึ่งในห้าคันนี้ แต่…ทำไมเขาดูสนใจจังนะ
「ก็ไม่รู้นะว่าคิดอะไรอยู่ แต่ขอเตือนไว้เลยว่าหากคิดจะลองใช้งานสิ่งนั้นดูละก็ นายได้ตายแน่」
「โห ไม่ไหวหรอกครับของน่ากลัวแบบนั้น ที่ถามก็เพราะอยากรู้เฉยๆ」
ถ้างั้นก็แล้วไป
เพราะสิ่งนั้นมันคือความเกลียดชังที่มุ่งตรงมายังเหล่ามนุษยชาติ
ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องภัยพิบัติแบบนั้นได้เป็นอันขาด
「แต่ก็รู้สึกโล่งใจนะครับ ว่าในที่สุดพวกเราก็สามารถหาสถานที่ปลอดภัยจริงๆอยู่ได้สักที ถึงจะรู้สึกแปลกๆบ้างก็เถอะ」
「ฉันก็ใช้งานพวกนายหนักแล้วด้วยสิ พอไปถึงก็พักผ่อนกันให้เต็มที่ล่ะ」
「นั่นสินะ แต่ที่แน่ๆเรื่องของดาเทกาวะซัง ถึงคราวก่อนจะแพ้ไป แต่คราวนี้ผมไม่แพ้แน่」
「ไม่พ้นเรื่องพนันสิน้า」
「คุณเองก็ชอบเล่นเถอะ นอกจากนี้ผมต้องช่วยแก้แค้นให้กับคุณด้วยสิ」
ในขณะที่พวกเราพูดคุยกันไปเรื่อย ฉันก็เริ่มเห็นอาณานิคมที่ 1 อยู่อีกไม่ไกล
ฐานทัพแห่งใหม่ที่ล้อมไว้ด้วยบาเรียสีเหลือง
คำถามคือจากนี้พวกเราจะพัฒนามันต่อไปยังไงดีนะ
「……ไม่ว่าจะเห็นทีไรก็เหลือเชื่อจริงๆ」
เรื่องอาหารพวกเราคงจะวางใจได้ไปอีกสักพัก…หรือไม่ก็อาจจะไม่ต้องกังวลไปอีกเลยก็ได้เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในอาณานิคม
ในมุมของการเลือกเป็นที่อยู่อาศัยถึงจะน่าขนลุกไปบ้างเพราะอดีตมันเคยเป็นจุดในการกักขังพวกมนุษย์เอาไว้ แต่ตอนนี้อะไรที่มันใช้ประโยชน์ได้ก็ต้องใช้ไปก่อน
「เอาล่ะ」
จากนี้ต้องไปหาที่เก็บโปรโตสูทอีก
….อย่างแรกคือต้องเก็บไว้ในจุดที่คนเข้าถึงยากที่สุด
ปิดผนึกไว้ในส่วนลึกที่คนอื่นนอกจากฉันไม่สามารถเข้าไปได้
「แต่แค่นั้นจะพอ――」
『ทุกคน หยุดรถก่อน!!!』
เสียงของบลูดังมาจากอินเตอร์คอมและนั่นทำให้พวกเราหยุดรถทันที
ฉันเกือบจะเสียการทรงตัวทันทีที่รถเบรก แถมหัวยังกระแทกอีกต่างหาก เจ็บชะมัด แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนมันเกิดอะไรขึ้นกันนะ
「บลู เกิดอะไรขึ้น!?」
『ดูข้างหน้าของพวกเรา』
「หือ……?」
หลังสิ้นเสียงเธอฉันก็เปิดประตูรถบรรทุกแล้วลงไปข้างล่างพร้อมกับรถเข็นที่ติดอยู่ตรงที่นั่งผู้โดยสารแต่แรก
เมื่อฝุ่นเริ่มจางหายไปจากลมที่พัดผ่าน ภาพตรงหน้าของพวกเราก็เริ่มชัดขึ้น ฉันสังเกตเห็นว่ามีร่างหนึ่งยืนขวางรถตรงหัวขบวนเอาไว้
「……ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ?」
ไรเดอร์หน้ากากสีดำชุดเกราะสีชมพู
ไรเดอร์ลึกลับที่ปรากฏตัวขึ้นและฆ่าล้างบางสัตว์ประหลาดที่อาณานิคมที่ 1
เหล่าสมาชิกกลุ่มต่อต้านที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ก็พร้อมใจกับหยิบปืนขึ้นมาเตรียมป้องกันตัว
จากนั้นบลูที่สวมสูทขับเคลื่อนก็ลงไปเผชิญหน้ากับเขา….และอาจจะเป็นเพราะเขาช่วยฮินาตะคุงเอาไว้ บลูก็เลยไม่ได้ชี้อาวุธไปทางเขาเหมือนที่คนอื่นทำ
「……」
อัศวินดำจ้องมองมายังพวกเราทุกคนที่อยู่ตรงหน้าเขา
ในฐานะผู้นำกลุ่มแล้ว ฉันคงต้องเป็นตัวแทนในการติดต่อสื่อสารกับเขา
「ฉันคือผู้นำกลุ่มต่อต้าน เรมะ คาเนะซากิ ตอนนี้พวกเรากำลังขนย้ายอุปกรณ์สำคัญอยู่ ทางคุณมีจุดประสงค์อะไรถึงมาปรากฏตัวตรงหน้าพวกเรากัน?」
ฉันถามเขาไปแบบนั้น
แต่เอาจริงๆหากเขาต้องการฆ่าพวกเรา พวกเราคงตายไปนานแล้ว
ถึงบลูอาจจะยื้อเวลาได้สักพัก แต่สภาพจิตใจของเธอคงไม่มีทางต่อต้านผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือน้องสาวเธอได้
ทุกคนอยู่ในสภาพที่ตึงเครียดสุดๆ ทว่าเขากลับไม่ได้สนใจคำพูดของฉัน ก่อนจะชี้นิ้วไปหาชายคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากฉันนัก———เทรุฮาชิคุง
「แกเองสินะ?」
「ครับ?」
ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด
ในขณะที่ฉันกำลังจะถามเพื่อคลายความสงสัย อัศวินดำที่ควรจะอยู่ตรงหน้าฉันก็ได้หายไป———จากนั้นเสียง สวบ ที่รู้สึกไม่พึงประสงค์สุดๆก็ดังขึ้นมาจากข้างหลังของฉัน
「อะ เอ……เอ๋!?」
「ทะ เทรุฮาชิคุง……?」
อัศวินดำฆ่ามนุษย์
แม้จะเห็นภาพที่เกิดขึ้นฉันก็รู้สึกสับสนไม่ได้ ทำไมเขาถึงได้ทำสิ่งที่ตรงข้ามกับการกระทำครั้งก่อนของเขาล่ะ
『อึก!!』
บลูที่ตั้งสติได้เร็วกว่าใครก็รีบหยิบอาวุธขึ้นมาแล้วเข้าโจมตีทันที
อัศวินดำและชุดขับเคลื่อนของบลูได้ปะทะกัน สายลมกระโชกแรงไปทั่ว พวกเราที่อยู่ใกล้ๆถึงกับถูกพัดปลิวออกไป และเหมือนกับอัศวินดำจะรู้อยู่แล้วเขาถึงทำการป้องกันด้วยดาบของเขาอย่างง่ายดาย
ร่างของเทรุฮาชิคุงที่กลายเป็นโดนัท ถูกโยนทิ้งลงกับพื้น
「บาดแผลขนาดนั้น ไม่มีทางที่เขาจะ……」
รูขนาดเท่ากำปั้นอยู่ตรงกลางอก
ทำไม…ทำไมล่ะ
ทั้งที่ในใจแอบหวังว่าเขาจะอยู่ข้างพวกเราแท้ๆ แต่ทำไมกัน….
『ทำไมกันล่ะ ทั้งที่ฉันเชื่อใจแท้ๆ….!! ฉันไม่อยากจะสู้กับนายที่ช่วยฮารุเอาไว้เลยสักนิด แต่ว่านี่…..』
บลูถึงกับมือสั่นขณะพูด
ส่วนคนอื่นๆในตอนนี้ได้จดจำไปแล้วว่าอัศวินดำคือศัตรู แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างอัศวินดำยังคงจ้องมองศพที่เขาทิ้งลงไปที่พื้น
「อาโออิ สงบสติก่อน มันยังไม่จบ」
「……เอ๋?」
เขารู้จักชื่อของบลูได้ยังไง?!
แล้วไอ้ที่ยังไม่จบนี่หมายถึง?
「เรมะ นายเองก็ระวังตัวด้วย」
「พะ พูดอะไรของนาย สิ่งที่นายทำมันคือการฆ่าพวก———」
「ไอ้ตัวที่กลายเป็นโดนัทไปแล้วแต่ยังไม่ตายนี่คือพวกพ้องนายจริงเหรอ?」
พอฉันรีบหันไปดูร่างของเทรุฮาชิคุงซึ่งกลายเป็นโดนัทไปแล้วก็พบว่า ร่างของเขาที่ควรจะเป็นศพกลับขยับไปมาจนน่าขนลุก
ไม่นานนัก ชิ้นส่วนของก้อนเนื้อก็เริ่มมาปกปิดบาดแผลของเขาก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
「……อย่าบอกนะว่า」
สัตว์ประหลาดเหรอ?
ก็หมายความว่าพวกเราถูกหลอกน่ะสิ
มันแทรกซึมเข้ามาภายในกลุ่มของเราแถมยังแสร้งเป็นมนุษย์ได้อย่างแนบเนียน
แค่คิดถึงตอนที่คุยกับมันเมื่อกี้ฉันก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาแล้ว
「———อึก、กะ แก……ได้ยังไงกันวะ!!」
「เหอะๆ ก็ว่าแล้วเชียวว่ายังไงก็ต้องเป็นแก กลิตเตอร์」
มองไกลแล้วๆรูปร่างที่เปลี่ยนไปของมันก็คล้ายๆกับอัศวินดำไม่น้อย แต่ลักษณะและท่าทางการเคลื่อนไหวที่บิดเบี้ยวจนชวนให้ขนลุกนั้นไม่ใช่แน่นอน ตอนนี้มันจ้องมองไปยังอัศวินดำด้วยความอาฆาต
「ทำไมแกถึงรู้ได้……」
「พอดีว่าฉันรู้ถึงนิสัยและลักษณะการกระทำแบบสวะๆของแกดีน่ะสิ」
อัศวินดำหัวเราะเย้ยเทรุฮาชิคุงที่เปลี่ยนร่างไป
ในสถานการณ์นี้ชัดแล้วว่าใครคือฝ่ายถูก
ฉันส่งสัญญาณมือเพื่อให้ทุกคนหยุดเล็งปืนไปที่อัศวินดำก่อนจะถามกับเขา
「มันคือสัตว์ประหลาดจริงเหรอ?」
「อ้า ชื่อของมันคื กลิตเตอร์ สัตว์ประหลาดกินแสง พลังของมันคือการกลืนกินสิ่งที่เกี่ยวข้องกับแสง ไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางวัน หรือแสงในดวงตาของเป้าหมาย」
สามารถกลืนกินแสงได้?! หากมีพลังแบบนั้นจริงความอันตรายคงจะอยู่ระดับ A ได้สบายๆ!!
ไม่ใช่แค่พวกเราคนเดียวที่ตกใจ
แต่เทรุฮาชิคุง…ไม่สิ กลิตเตอร์ก็ตกใจเหมือนกัน
「เป็นไปไม่ได้!! นี่แกรู้ถึงความสามารถของฉันได้ยังไงกัน?!? ทั้งที่ไม่มีใครนอกจากท่านโอเมก้าที่รู้แท้ๆ แล้วทำไม――」
「ฉันจำเป็นต้องบอกเรื่องนี้ให้ไอ้สวะที่กำลังจะตายฟังด้วยเหรอ?」
「……หา」
กลิตเตอร์ถอยไปเล็กน้อยเมื่อเห็นอัศวินดำก้าวเข้าไปหามัน ก่อนที่มันจะแผ่ความโกรธและเจตนาฆ่าออกมาอย่างชัดเจน
แต่ว่าทั้งที่สัมผัสได้ถึงขนาดนั้น ฉันกลับไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิดจนน่าแปลก
「……ชิ จังหวะนรกชิบ」
เขาหยุดเดิน ก่อนจะหันไปมองทางอาณานิคมที่ 1
ในจังหวะที่ฉันกำลังคิดว่าเกิดอะไรขึ้น ก้อนลาวาสีแดงก็พุ่งเข้าโจมตีบาเรียของอาณานิคมที่ 1 จนควันกระจายไปทั่ว
ลาวาแบบนั้นมัน…..
『———ผู้บัญชาการ ตอนนี้ฐานทัพแห่งใหม่ของเราถูกโจมตีโดยสัตว์ประหลาดแม็กม่าค่ะ!!!』
「ว่ายังไงนะ!?」
『อากาเนะกับคิราระซังได้ออกไปรับมือแล้วค่ะ!! ดังนั้นช่วยให้คำแนะนำกับพวกเราทีค่ะว่าต้องทำยังไงต่อ!!!』
สัตว์ประหลาดแม็กม่า ตอนนี้เนี่ยนะ?!
กลิตเตอร์ที่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะออกมาราวกับเป็นแผนที่วางไว้แล้ว
「ฮ่ะ ฮ่าๆๆ !! เป็นไปตามแผน พวกแกจบสิ้นแล้ว!!」
「……อึก」
「ทั้งที่อยากจะฉีกพวกแกให้เป็นชิ้นๆแท้ๆ แต่ก็เอาเถอะไอ้สารเลวนี้ ทำกันได้นะ อย่างแกต้องโดน――」
『AVATAR SKILL!!』
『VENOM JAMMING』
「——ได้ยังไง!!?」
หลังเสียงขี้เล่นของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น ฉันก็เห็นอัศวินดำพุ่งไปกระชากคอของกลิตเตอร์เอาไว้แล้ว
เขาไม่ได้สนใจกลิตเตอร์ที่กำลังบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะเอามือไปแนบหูข้างหนึ่งของเขาไว้
「เร็กส์ เธอช่วยไปหยุดโลกาไว้ก่อนได้ไหม? ถ้าฉันจัดการตรงนี้เสร็จแล้วจะรีบตามไป ——— เรมะ」
「มะ มีอะไรเหรอ!?」
ไหล่ของฉันถึงกับสะดุ้งเมื่อถูกเขาเรียกชื่อออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
「ตอนนี้พวกพ้องของฉันกำลังมุ่งหน้าไปหยุดโลกา ฉันอยากจะให้นายติดต่อทั้งสองคนไว้ก่อนน่ะ」
「หา!? ขะ เข้าใจแล้ว….」
ดูเหมือนจะเป็นคนมีเหตุมีผลมากกว่าที่ฉันคิดไว้
ถึงจะแอบสยองนิดหน่อยเมื่อเห็นทางของเขาที่เหมือนกับปีศาจตอนรับมือกับสัตว์ประหลาด แต่หากเป็นพวกพ้องแล้วเขาคงคิดอะไรหลายๆอย่างในหัวพอสมควร
『ผู้บัญชาการ!! ตอนนี้มีดาบขนาดใหญ่พุ่งตรงมาทางพวกเราค่ะ!!?』
『อากาเนะ!! มีคนอยู่ตรงนั้นด้วย!! แบบนี้จะบ่แย่แล้วเหรอ??!』
「เดี๋ยวก่อนพวกเธอ อย่าโจมตีนะ!! นั่นเป็นกำลังเสริม!!」
ฉันบอกกับเรดที่พูดออกมาด้วยความตื่นตระหนก และเยลโล่ที่อยู่ดีๆก็พูดภาษาคันไซออกมาว่าคนที่ตรงไปหาพวกเธอคือพันธมิตร
หลังยืนยันได้แล้วว่าติดต่อเสร็จสิ้น อัศวินดำก็หันไปหากลิตเตอร์ที่ยังคงบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด
「งั้นต่อไปก็แก」
「อึก อั๊กกกกก!!?」
「น่าเสียดายเนอะ แผนที่แกวางไว้มันล่มว่ะ」
『AVATAR FINISH!!』
「ไอ้ ปีศาจ……」
「สิ่งที่ฉันทำมันกระจอกไปเลยหากเทียบกับสิ่งที่แกกำลังคิดจะทำ」
แสงสีชมพูไหลออกมาจากเข็มขัดและไปรวมตรงขาขวาของเขา
จากนั้นเขาก็โยนกลิตเตอร์ขึ้นไปบนฟ้าในขณะที่มันพยายามโบกมือไปมาอย่างบ้าคลั่งราวกับจะทำอะไรสักอย่าง ก่อนจะร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง
「ทำไมถึงพรากแสง―――」
「แกไม่มีวันขโมยแสงสว่างของโลกนี้ไปได้หรอก」
『VENOM SMASH!!』
ลูกเตะของอัศวินดำได้พุ่งเข้าปะทะกับยอดหน้าของกลิตเตอร์จนเกิดการระเบิดขึ้นในอากาศ
ร่างของมันหายไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่ออัศวินดำร่อนลงมาถึงพื้นเขาก็ถอนหายใจก่อนจะปัดควันออกจากตัว
「เอาละ ต่อไปก็…」
ต่อไป?! ฉันเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าเขาจะบอกว่ามีสัตว์ประหลาดตัวอื่นแฝงตัวอยู่อีก แต่เขากลับหันมาหาฉันแทน
คงไม่ได้สงสัยฉันด้วยใช่ไหม?
「ขอเข้าประเด็กเลยนะ เรมะ ช่วยเอาโปรโตสูทมาให้ฉันที」
「……วะ ว่ายังไงนะ!?」
เสียงของฉันถึงกับหลงเมื่อได้ยินคำขอที่เกินคาด
โปรโตสูท สูทแห่งความตาย
ไม่มีทางที่คนปกติจะมาขออะไรกันแบบนี้
「ทำไมนายถึงต้องการสิ่งนั้นกันล่ะ……!」
「มันจำเป็นสำหรับการฆ่าสัตว์ประหลาดนั่น」
「อย่าจะดีกว่า!! ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่านายเป็นใคร แต่สูทนั่นมันคือสูทที่กลืนกินผู้คน」
「……」
เขาเดินตรงไปยังรถคันหนึ่งโดยไม่ได้สนใจเสียงของฉัน
และเบื้องหน้าของเขา———ใช่แล้วมันคือคันที่เก็บโปรโตสูทเอาไว้
「ไม่ว่าจะโลกใบไหนเธอก็เรียกหาฉันเสมอเลยสินะ โปรโต」
「……หา?」
ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด แต่ก่อนที่ฉันจะได้ถามอะไร เขาก็ถอดหัวเข็มขัดออกจากเอว
การแปลงร่างถูกยกเลิก ก่อนจะปรากฏร่างของเด็กหนุ่มผมสีดำและจังหวะเดียวกันหัวเข็มขัดที่ถูกปลดออกไปก็กลายร่างเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่ส่องแสงจ้าออกมา
ทุกคนที่เห็นแบบนั้นถึงกับตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เพราะหน้าตาของพวกเขาเหมือนกับมนุษย์ทั่วไป
「มะ มนุษย์เหรอ?」
「แถมยังเป็นแค่เด็กอยู่เลย!!」
「แล้วอีกคนที่โผล่มานั่นอะไรน่ะ!?」
ไม่ว่ารอบข้างจะวุ่นวายสักแค่ไหน เขาก็ไม่ได้สนใจ สายตาของเขาตอนนี้จับจ้องไปยังตู้ที่เก็บโปรโตเซโร่เอาไว้
การกระทำของเขาทำให้เด็กสาวที่โผล่ออกมาตกใจไม่แพ้กัน
จากนั้นเธอก็เดินไปจับไหล่ของเขาเอาไว้แล้วเขย่าไปมา
「เดี๋ยวก่อนสิๆ?!? จะดีเหรอที่เผยตัวตนจริงเร็วขนาดนี้?! ไหนคัตสึมิคุงบอกว่าจะเผยตัวจริงหลังจบเรื่องไง?!」
「ขอโทษทีนะ แต่ฉันคงต้องรีบไปแล้ว」
「หา!?」
เขาไม่ได้สนใจคำถามทั้งหลายที่ถาโถมเข้าไป แล้วตรงไปสัมผัสกับตู้นั้น
…ทำแบบนั้นไม่ได้นะ!! สมองของฉันตอนนี้มันตามอะไรไม่ทันแล้ว แต่หากเขาทำลายผนึกนั้นลง ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือมิตรก็แย่แน่นอน
ในจังหวะที่ฉันกำลังจะส่งเสียงบอกให้เขาหยุด ตู้ที่เก็บโปรโตเซโร่เอาไว้ก็เกิดการระเบิดขึ้นจากภายใน
「อะไรกัน!?」
สิ่งที่ปรากฏออกมาจากข้างในนั้นคือใบมีดสีเงินรูปจันทร์เสี้ยวที่สร้างมาจากเส้นด้ายสีเงิน
ใบมีดพวกนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อทำลายปืนทั้งหมดที่คนของฉันถือเอาไว้
ปืนที่ถูกตัดครึ่งร่วงลงกับพื้นจนหมดสิ้น แต่ก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
『ผู้บัญชาการ นี่มันอะไรกัน!?』
「ทุกคนอย่าขยับ!! แล้วก็อย่าชี้อาวุธอะไรใส่เขาด้วย!!」
ฉันรีบสั่งทุกคนให้หยุดทำอะไรโง่ๆ แต่ก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือคำตอบที่ถูกต้องไหม
บลูที่ถูกฟันอาวุธในมือทิ้งไปก็สับสนไม่แพ้ฉัน
「เป็นไปได้ด้วยเหรอ……」
แกนพลังงานกำลังปกป้องเขา?
แกนพลังงานที่ควรจะเป็นศัตรูกับมนุษยชาติ กลับให้ความสำคัญกับเด็กหนุ่มคนนี้เหนือสิ่งใด
ความจริงนี้มันลบล้างสิ่งที่ฉันคิดมาโดยตลอดจนหมดสิ้น
「ขอโทษที่ให้รอนาน」
เส้นด้ายสีเงินได้กลับไปหาเด็กหนุ่มตรงหน้าราวกับอยากจะต้อนรับเขา
รังไหมเส้นด้านที่เคยถูกพันอยู่รอบแกนพลังงานได้คลายออก ก่อนที่มันจะตรงเข้าไปอยู่ตรงแขนซ้ายของเด็กหนุ่มที่ยื่นออกมา―――มันกลายเป็นอุปกรณ์แปลงร่างไปแล้ว
『ARE YOU READY!!?』
「ขอโทษที่เจอกันปุ๊บก็ต้องให้ลุยเลยนะ คู่หู」
『NO ONE CAN STOP ME!!』
เขาเปิดการใช้งานอุปกรณ์แปลงร่างทันทีราวกับรู้อยู่แล้วว่าต้องทำยังไง
แสงสว่างส่องออกมาจากอุปกรณ์แปลงร่างและปกคลุมร่างของเขาเอาไว้ เส้นด้านสีเงินนับหมื่นเส้นล้มตัวเขาจนกลายเป็นเหมือนรังไหม
『SLASH!!』
『CRASH!!』
『DESTRUCTION!!』
เสียงของเด็กสาวดังขึ้น จากนั้นรังไหมก็ถูกฉีกกระชากออกมาจนเห็นร่างที่อยู่ข้างใน
มันแตกต่างจากโปรโตเซโร่ที่ฉันรู้จัก
『CHANGE』
『TYPE“X”!!』
สูทสีดำที่ติดเกราะสีเงินเอาไว้
ดวงตาสีแดงทั้งสองส่องประกายออกมา
กรงเล็บอันแหลมคมปรากฏขึ้นตรงแขนทั้งสองข้าง
ผ้าคันคอสีเงินกำลังโบกพัดอยู่ตรงคอของเขา
แม้ว่าจะยังเหลือร่องรอยของโปรโตเซโร่ที่ฉันรู้จักบางส่วน แต่บัดนี้มันได้ถือกำเนิดใหม่ไปเป็นโปรโตเอ็กซ์เสียแล้ว
「……เอาละ ลุยกันเลย」
ไม่มีวี่แว่วของความเจ็บปวดใดๆเกิดขึ้นกับเขา
ไม่จำเป็นต้องสงสัยอะไรอีกแล้ว
เขาคือคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับโปรโตเซโร่
「ฮิลด้า ฝากเธออธิบายที่เหลือให้ทุกคนฟังทีได้ไหม?」
「……เห้อ ช่วยไม่ได้สินะ ที่เหลือฉันจัดการเองนายรีบไปเถอะ」
「ขอบคุณ」
ว่าแล้วเขาก็พุ่งหายไปทันที
ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขาทั้งทำให้ฝุ่นฟุ้งไปทั่ว ความเร็วที่เหมือนกับดาวตกนี้มีปลายทางอยู่ตรงที่สัตว์ประหลาดแม็กม่าอยู่เป็นแน่
「……เขาเป็นใครกันแน่นะ」
「คนคนนั้นรู้จักชื่อของฉัน」
บลูที่โผล่ออกมาจากสูทขับเคลื่อน ได้จับจ้องไปยังทิศทางเดียวกับฉันแล้วพูดออกมา
ทั้งที่ไม่ใช่เวลาจะมาโล่งใจแท้ๆ
เพราะเรดกับเยลโล่กำลังรับมือกับสัตว์ประหลาดแม็กม่า แต่ทำไมกันนะ พอรู้ว่าเขากำลังจะมุ่งตรงไปที่แห่งนั้นความรู้สึกสบายใจก็ก่อตัวขึ้นในใจของฉัน
「คัตสึมิคุงก็ไปแล้ว พวกเราก็ไปกันบ้างเถอะ!」
「อะ อ้า…ว่าแต่เดี๋ยวก่อน นี่เธอเป็นใครกันแน่เนี้ย!!」
ฉันอดพูดไม่ได้เมื่อเห็นเด็กสาวลึกลับขึ้นไปนั่งรออยู่บนรถแล้ว
เธอที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาแล้วตอบคำถามฉันอย่างตรงไปตรงมา
「ฉันก็เป็นแกนพลังงานแบบที่นายรู้จักนั่นแหละ ถึงมีอยู่ในรูปร่างของมนุษย์ก็เถอะ」
「ถ้างั้นเขาก็…」
「ไม่หรอก มนุษย์แท้ๆเลยจ้า」
เธอชี้นิ้วไปยังทิศทางที่เขามุ่งตรงไปแล้วยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ
「ถึงจะแอบน่าสงสารนิดหน่อย เพราะตัวเขาที่เป็นแบบนั้นดันไปกระตุ้นความสนใจของสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในกาแล็กซี่ซะได้ เฮ้อ」
เธอพูดแล้วถอนหายใจออกมา
เมื่อฉันได้ยินคำพูดของเธออ ฉันก็มองไปยังทิศทางที่เขามุ่งไป
มนุษย์โลก
แล้วทำไมเขาถึงสามารถใช้โปรโตเซโร่ได้กันล่ะ
นอกจากนี้ความรู้และประสบการณ์ที่เขามีในการต่อสู้นี้เขาไปได้มันมาจากไหนกันด้วยอายุเพียงแค่นี้
***
อธิบายท้ายตอน
・ในเส้นเวลาเดิม กลิตเตอร์ได้ฆ่าล้างทุกคนที่มาด้วยและเข้าไปปลดผนึกโปรโตเซโร่ได้สำเร็จ ทว่ามันก็ถูกโปรโตเซโร่ฉีกเป็นชิ้นๆโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้
・โปรโตเซโร่ในโลกนี้เมื่อตระหนักได้แล้วว่าคงไม่มีใครที่จะเหมาะสมกับตนจึงได้เลือกทำลายตัวเองทิ้งหลังสังหารกลิตเตอร์เสร็จ
【ร่างใหม่】TYPE“X”
ไรเดอร์สีเงินที่พัฒนาตัวเองมาจากโปรโตเซโร่ที่เก็บข้อมูลต่อสู้กับสัตว์ประหลาดแมงมุมมาพัฒนาร่างตัวเอง
แม้ว่าจะมีความดุดันมากกว่าโปรโตเซโร่รุ่นแรก แต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่สิ่งที่โปรโตทำด้วยตัวเองเพียงผู้เดียว ดังนั้นหากให้เทียบกับโปรโตวันที่สร้างขึ้นมาเพื่อคัตสึมิโดยเฉพาะแล้วอาจจะด้อยกว่าระดับหนึ่ง
—จบ—
ไม่ว่าจะโลกไหนกลิตเตอร์ก็เป็นกระสอบทรายให้อัศวินดำกระทืบ
TYPE X พร้อมลุย ตอนหน้าคงได้เห็นมุมของเรดกับเร็กส์ที่เจอกันตรงๆเป็นครั้งแรก
มาเม้ามอยหลังอ่านกันได้ที่เพจนะครับ แล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code