อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 472 เจอดอกพันวัน
ตอนที่ 472 เจอดอกพันวัน
เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสองคนตื่นเช้ามาก
ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายแขนขาเป็นพิเศษ แค่ฝึกฝนกำลังภายในเป็นพอ เพราะระยะนี้ทุกวันต้องเดินอย่างน้อยแปดชั่วโมงขึ้นไป พละกำลังต้องเพียงพอ
ตอนนี้เรื่องที่ทำให้มู่เถาเยาประหลาดใจก็คือ เธอหลับรวดเดียวจนฟ้าสว่าง กลางคืนไม่มีสัตว์ใดๆ มารบกวน
ต้องทราบก่อนว่า เมื่อก่อนเวลาเข้ามาเธอไม่เคยได้หลับเต็มอิ่มตลอดคืนเลย เพราะสัตว์หลายชนิดออกหากินตอนกลางคืน
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จทั้งสองคนก็เก็บข้าวของ
มู่เถาเยาป้อนนมวัวให้จิ้งจอกห้าสี
ให้มันกินยาบำรุงทุกวันไม่ได้ เพราะจิ้งจอกห้าสียังเล็ก ทนฤทธิ์ยาไม่ไหว
ยาบำรุงของเธอเป็นรุ่นปรับปรุง ไม่ใช่แบบที่อาจารย์ใหญ่ให้เธอกินตอนเก็บเธอได้เมื่อยี่สิบปีก่อน
เธอลูบขนจิ้งจอกพลางยิ้มดวงตาโค้งมน “จิ้งจอกน้อย แม่เราไม่กลับมาสงสัยคงต้องไปด้วยกันแล้วนะ”
จิ้งจอกน้อยกินนมโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาว
พอมันกินอิ่มมู่เถาเยาก็อุ้มมันขึ้นมาใส่เข่งตัวเองที่ภายในบรรจุเสื้อผ้า ถุงนอน เสื่อน้ำมัน เป็นต้น
อาหารอยู่ในเข่งของตี้อู๋เปียนทั้งหมด
มู่เถาเยาพูดกับตี้อู๋เปียน “พี่สามเดินข้างหน้าต้องระวังหน่อยนะ เมื่อวานไม่พบเจออะไรไม่ได้หมายความว่าวันนี้จะไม่เจอ”
“อืม” ไม่มีทางเจออันตรายหรอก เพราะถูกเขาไล่ไปไกลแล้ว
ถ้าไม่ติดว่าเพราะอยากอยู่กับซาลาเปาน้อยตามลำพัง เขาคงพาเธอเหาะไปตรงดอกพันวันแล้วเก็บกลับไปรักษาเหมียวอวี้ทันที อย่างไรเสียระหว่างทางที่จะไปนี้ก็ไม่มีหญ้าพิษชีวิตกับดอกไม้สองชีวิต
ทั้งสองคนเดินมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปกว่าครึ่งเดือนแล้ว
อาหารในเข่งพร่องไปครึ่งหนึ่ง มีสมุนไพรมาแทนที่จำนวนไม่น้อย
มู่เถาเยามองสมุนไพรที่หาได้ยากเหล่านั้น ใบหน้ามีรอยยิ้ม อารมณ์ดีสุดๆ
แต่ความสงสัยภายในใจนับวันจะยิ่งมีมากขึ้น
ไม่เจอสัตว์ร้ายหรือพืชมีพิษรุนแรงแค่วันสองวันยังพอทำเนา แต่นี่ครึ่งเดือนกว่าแล้วก็ยังไม่เจอสิ่งมีชีวิตที่อันตรายใดๆ เลย
อย่างเช่นเจ้าหมูอ้วนท้วมตรงหน้านี้!
เหมือนหมูเลี้ยงมากจริงๆ ก็แค่ตัวใหญ่กว่าหน่อย
มันเดินตามพวกเขามาสามวันแล้ว
นอกจากนี้ยังมีอัลปาก้าหนึ่งตัว ลูกแพนด้าหนึ่งตัว ยีราฟกับช้างป่าอย่างละตัว!
หลายวันมานี้มู่เถาเยางงเหลือเกิน
กลับมาครั้งนี้คงไม่ได้จะทำเขตป่าชั้นนอกเป็นสวนสัตว์หรอกใช่ไหม
แต่ต่อให้เธอยากทำก็ไม่มีทางเอาพวกมันกลับไปได้! เพราะเดี๋ยวพวกเขาต้องเหาะกลับ มีกันแค่สองคนหอบพวกมันไปด้วยไม่ได้!
ลำพังแค่ช้างป่าตัวดำที่อายุยังน้อยตัวนี้อย่างน้อยๆ ก็น่าจะเจ็ดแปดตันแล้วหรือเปล่า มีเธอสิบคนก็ยังอุ้มมันไม่ไหว!
แล้วดูส่วนสูงของมัน เทียบได้กับอาคารหนึ่งชั้น ความยาวประมาณเจ็ดเมตร ขาใหญ่ทั้งสี่ขนาดเท่าตัวเธอเลยด้วยซ้ำ!
มู่เถาเยายื่นแขนเหยียดตรงก็ยังแตะงาช้างที่ขาวสวยไม่ถึง
แต่ราวกับช้างป่ารู้ว่าเธออยากทำอะไร จึงก้มหน้าให้เธอลูบอาวุธที่ใช้สำหรับดำรงชีวิตของตัวเอง
“ซาลาเปาน้อย คิดอะไรอยู่เหรอ”
“ฉันกำลังคิดว่าพวกมันคงไม่ตามพวกเราไปตลอดหรอกใช่ไหม”
“อยากตามก็ตามไปสิ ไม่ได้กระทบอะไรสักหน่อย”
เขาไม่ได้เรียกสัตว์พวกนี้มา แต่พวกมันรู้สึกว่าพวกเขาปลอดภัยก็เลยเดินตามมาด้วย
แต่ตอนพวกมันเดินตามเขาก็เคยสื่อสารกับพวกมัน จึงรู้ว่าพวกมันพลัดหลงฝูงหลังจากถูกสัตว์ร้ายโจมตี
“ไม่ได้กระทบอะไรก็จริง แต่พวกเราก็เอาพวกมันไปด้วยไม่ได้” ยกเว้นจิ้งจอกน้อยตัวนี้
รอเลี้ยงจิ้งจอกน้อยจนโตหน่อยก็ต้องปล่อยกลับเข้าป่า อย่างไรเสียมันก็เป็นสัตว์ป่า
“ปล่อยพวกมันตามไปก่อนเถอะ ยังไงพอพวกเราออกไปก็ยุ่งด้วยไม่ได้แล้ว”
พอถึงตอนนั้นเขาจะล่อพวกมันไปเขตป่าชั้นนอก ถ้าระหว่างทางนี้ไม่ถูกสัตว์ร้ายชนิดอื่นกิน ต่อไปพวกเขาก็จะได้เห็นสัตว์ป่าเหล่านี้ที่เขตป่าชั้นนอกแล้ว
เดิมทีเขตป่าชั้นนอกก็กว้างใหญ่มาก มีสัตว์ป่าอยู่ไม่น้อย พวกมันไม่มีทางเหงา
แต่จะเดินออกไปได้หรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกมันแล้ว
แต่มีช้างป่าตัวใหญ่อยู่ด้วย สัตว์ร้ายไม่มีทางโจมตีก่อน
เดิมทีช้างป่าก็ไร้ศัตรู กลัวแค่จะไปกินถูกของมีพิษหรือแตะของมีพิษเข้า เขาเองก็ไม่มีทาง ‘เฝ้าดู’ พวกมันตลอดทางได้ แบบนั้นต้องเสียเวลาตั้งเท่าไร!
ถ้าแม้แต่ช้างป่ายังออกไปไม่ได้ สัตว์ชนิดอื่นยิ่งไม่มีทางพึ่งตัวเองออกไปถึงเขตป่าชั้นนอกได้
มู่เถาเยาก็รู้ว่าคงต้องเอาแบบนี้
ไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมเสียสละเวลามากมายเพื่อพาพวกมันออกไป เพราะเมื่อถึงเวลานัดหมายแล้วไม่ออกไป คนในครอบครัวจะยิ่งใจคอไม่ดี ดีไม่ดีพวกอาจารย์ยังจะเข้ามาตามหาพวกเขา
“ซาลาเปาน้อย ฉันว่าทิศทางที่พวกเรากำลังไปตามหามันไม่ค่อยถูกนะ”
“หืม”
“ก็เธอบอกว่าหญ้าพิษชีวิตชอบอากาศบริสุทธิ์ที่สุด อยู่ใกล้ท้องฟ้าที่สุด หรือจุดที่ท้องฟ้าขาวที่สุดหรือน้ำเงินที่สุด ตรงนี้อากาศดีก็จริง แต่สูงจากระดับน้ำทะเลไม่มาก ยิ่งไปกว่านั้นไม่ถึงกับสีขาวบริสุทธิ์หรือน้ำเงินคราม…”
“ฉันก็เคยนึกถึงยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ยอดเขาหิมะเทพจันทรา ถึงได้ตัดสินใจจะปีนขึ้นไปดูหน่อย แต่ก็มีข้อสงสัยอยู่อย่าง รอบๆ หญ้าพิษชีวิตจะต้องมีสัตว์อารักขา แต่บนยอดเขาที่สูงหมื่นเมตรแบบนั้น…จะมีสัตว์อยู่เหรอ”
“หากว่ากันโดยทั่วไปก็ไม่มีหรอก แต่มันก็มักจะมีสิ่งที่เราคาดไม่ถึง”
“เขาเทพจันทราใหญ่ขนาดนั้น ฉันเคยเห็นแค่ชวนไป๋กับเยี่ยนหง ไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีก แล้วนับประสาอะไรกับยอดเขาหมื่นเมตร ถ้ามีจริง มันดำรงชีวิตยังไง คงไม่ได้สูดพลังฟ้าดินเอาหรอกใช่ไหม”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ฝากความหวังไว้ในป่าเซียนโหยวเหมือนเดิม”
มู่เถาเยาพยักหน้า “อืม ดอกไม้สองชีวิต หญ้าจื่อหยางที่ดอกไม้สองชีวิตชอบมันชอบแสงแดด ตามความเข้าใจของฉัน จุดที่แสงแดดดีที่สุดในป่าเซียนโหยวอาจเป็นทุ่งหญ้าที่พวกเราไปถึงก่อนหน้านี้”
“งั้นวันไหนพวกเราลองไปหาที่นั่นกัน” มันไม่มีหรอก!
“ที่นั่นสิ่งมีพิษเยอะ ฉันกับอาจารย์สามไปกันสองคนก็พอ”
ตี้อู๋เปียน “…ซาลาเปาน้อย ฉันก็เรียนความรู้เรื่องพิษมาจากพวกเธอไม่น้อยแล้ว ไม่เป็นตัวถ่วงหรอก ไม่เชื่อลองทดสอบดูได้เลย”
ในความเป็นจริง เขารู้จักหญ้าพิษแมลงพิษของเขตป่าชั้นในพอประมาณแล้ว อีกทั้งยังรู้ด้วยว่าต้องใช้อะไรถอนพิษของพวกมัน
สรรพสิ่งในโลกมีถูกกันไม่ถูกกัน พวกมันย่อมรู้ศัตรูตัวฉกาจของตัวเอง
เขากล้าพูดเลยว่าวิธีถอนพิษที่ซาลาเปาน้อยกับลู่จือฉินรู้ในตอนนี้ไม่มีทางง่ายและเห็นผลเร็วไปกว่าวิธีของเขาแน่นอน
ดังนั้นให้เขาตามไปด้วยย่อมได้ช่วยอะไรแน่
ถ้าจะเป็นตัวถ่วงจริง เขาไม่มีทางขอตามเข้าไปด้วย
อีกทั้งหลายวันนี้เขาก็กำลังหัดใช้ความสามารถพิเศษควบคุมสัตว์กับพืช คิดไว้ว่าต่อไปเมื่อเข้ามาอีกครั้งจะได้ไม่ต้องเหนื่อยหลอกล่อสิ่งมีพิษออกไป ซาลาเปาน้อยเข้าป่าเซียนโหยวจะได้เหมือนเข้าป่าทั่วไป
“งั้นไว้ค่อยว่ากัน”
“ได้”
“…พี่สาม พวกเราเข้ามาสิบกว่าวันแล้ว ในป่าก็ดูผิดปกติมานานมาก พี่สาม…มีความคิดเห็นอะไรไหม”
ตี้อู๋เปียนพูดติดตลก “ซาลาเปาน้อย อันที่จริงฉันมีพลังวิเศษ สัตว์พวกนั้นถูกฉันล่อออกไปหมด”
มู่เถาเยา “…”
เธอสงสัยว่ามันแปลกๆ ชอบกลนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ไม่เคยนึกถึงพลังวิเศษอะไรเลย
ตอนนี้เขาพูดแบบนี้ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ประหลาดใจเท่าไร
“ซาลาเปาน้อย รอฉันหายสนิทฉันจะบอกความลับอันยิ่งใหญ่ที่เธอต้องไม่เคยได้ยินมาก่อนแน่นอน”
“…ได้”
เธอเองก็มีความลับ แต่ไม่เคยคิดจะบอกเขา
ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจ แต่ความลับนี้เป็นของเธอ อาจารย์ อาและเยี่ยนหัง ไม่ใช่ของเธอคนเดียว
อันที่จริงเธอเองก็สงสัยความลับของตี้อู๋เปียน เพราะข้อสันนิษฐานเหตุการณ์ในตอนนี้มันหนีไม่พ้นเกี่ยวข้องกับเขา
แต่พลังวิเศษที่เขาพูดถึงจะเป็นพลังควบคุมสัตว์หรือเปล่า
เธอรู้ว่าสมัยโบราณมีคนควบคุมสัตว์ได้
ตี้อู๋เปียน…มีพรสวรรค์แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร
แต่เขาไม่บอกก่อนเธอก็ไม่มีทางถาม
“ซาลาเปาน้อย เดินมาตั้งนานเหนื่อยหรือเปล่า”
“ไม่เหนื่อย”
แค่ครึ่งเดือนเอง ชาติที่แล้วตอนเธอทำศึกลำบากกว่านี้ตั้งเยอะ!
“พวกเราค่อยๆ เดินไป ไม่ต้องรีบ” อีกสองวันก็ถึงตรงดอกพันวันแล้ว
ตอนนี้ดอกพันวันยังไม่บาน สัตว์อื่นไม่มีทางตัดหน้าพวกเขามาเอาไป ดังนั้นพอไปถึงยังมีเวลาเฝ้าสองวัน มีเวลาไล่สัตว์ที่อยู่ละแวกนั้นออกไป
“ฉันไม่เป็นไร คุณนั่นแหละ ถ้าร่างกายไม่ไหวก็นั่งขี่บนหลังช้างป่าได้”
ช้างป่าซุกซนมาก ชอบเอางวงมาอุ้มเธอไปนั่งบนหลัง
ตอนนี้พวกสัตว์เล็กๆ หลายตัวไปเล่นอยู่บนหลังของมันหมดแล้ว ยกเว้นยีราฟที่ตัวใหญ่
ทั้งๆ ที่เป็นสัตว์ต่างชนิดกัน แต่กลับเล่นกันอย่างสนุกสนาน
ตี้อู๋เปียนพูดขึ้นมาทันที “ไม่ต้องพัก ฉันไหว”
เขาห้ามทำให้ซาลาเปาน้อยเข้าใจผิดเป็นอันขาดว่าร่างกายเขาไม่ไหว!
มู่เถาเยาคิดว่าที่เขารีบตอบแบบนั้นเพราะอายที่จะบอกว่าตัวเองเหนื่อย เธอจึงพูดอย่างเอาใจใส่ “ไม่ต้องอวดเก่งต่อหน้าหมอ ไปพักบนหลังช้างป่าสักหน่อยเถอะ”
“ฉันไม่เหนื่อย! ซาลาเปาน้อย ฉันไม่เหนื่อยจริงๆ !” ตี้อู๋เปียนแอบน้อยใจ
ขนาดเธอเป็นผู้หญิงยังไม่เหนื่อย แล้วเขาจะกล้าเหนื่อยได้ยังไง
“…งั้นตอนนี้ก็ใกล้เวลาอาหารแล้ว พวกเราหาทำเลแถวนี้เตรียมค้างแรมเถอะ”
ตี้อู๋เปียน “…” เขาไม่เหนื่อยจริงๆ นะ!
นี่ซาลาเปาน้อยไม่เชื่อเขาเหรอเนี่ย!
มู่เถาเยาไม่รู้ความคิดของเขา จึงรีบหาบริเวณที่ค่อนข้างเรียบแล้วเอาของลงจากตัว
ตี้อู๋เปียนจำต้องหยุดตามเธอ
“ซาลาเปาน้อยอยู่ที่นี่นะ ฉันจะไปหาผลไม้กับเถาวัลย์น้ำ”
“อืม”
รู้ว่าบรรยากาศที่เงียบสงบนี้ตี้อู๋เปียนเป็นคนสร้าง เธอจึงไม่กังวลความปลอดภัยของเขาแล้ว
หลังจากปูเสื่อน้ำมันเสร็จก็ป้อนนมวัวให้จิ้งจอกน้อยก่อน
นับตั้งแต่พาจิ้งจอกน้อยมาด้วยพวกเขาก็ไม่ได้กินนมอีกเลย ต้องเก็บเอาไว้ให้มันกิน
เนื่องจากป้อนยาบำรุงอาทิตย์ละครั้ง ตอนนี้จิ้งจอกน้อยเดินแข็งแล้ว
ทั้งสองคนอยู่ร่วมกับพวกสัตว์ได้เป็นอย่างดี
เดินๆ หยุดๆ เล่นบ้าง ซนบ้าง ผ่านไปอีกสองวัน
ด้านล่างมีเนินเล็กๆ ล่างเนินก็คือที่อยู่ของดอกพันวัน ตี้อู๋เปียนเดินลงไปสองก้าวแล้วหยุด หันกลับมาเตือน “ซาลาเปาน้อย…”
มู่เถาเยากำลังอุ้มจิ้งจอกน้อยเล่น ไม่ได้สังเกตด้านล่าง เผลอเหยียบก้อนหินเล็กๆ จนลื่นถลาไปด้านหน้า โถมตัวเข้าอ้อมกอดของตี้อู๋เปียน
พอเงยหน้าริมฝีปากอมชมพูก็แตะถูกริมฝีปากสีแดงกุหลาบของตี้อู๋เปียน
สัมผัสอ่อนนุ่มทำให้ทั้งสองคนหยุดชะงัก
ริมฝีปากแตะกันอยู่สิบกว่าวินาทีมู่เถาเยาก็ได้สติกลับมาก่อน ถอยหลังอย่างใจเย็นสองก้าว แสร้งทำเป็นเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น พยายามควบคุมหัวใจที่เต้นแรง ถามอย่างไม่รีบร้อน “ตี้อู๋เปียน เมื่อกี้คุณจะพูดอะไรเหรอ”
“เอ่อ…ฉันแค่จะเตือนว่าตรงนี้มีเนิน…”
“อ้อ…โอเค”
“เอ่อ…ระวังหน่อยนะ เดินอยู่อย่าเพิ่งเล่นกับจิ้งจอกน้อย” ตี้อู๋เปียนเหลือบมองจิ้งจอกน้อยในมือเธอ
“…โอเค”
“ฉัน…ฉันลงไปก่อน เธอ…ค่อยๆ ลงนะ”
“อืม”
ตี้อู๋เปียนหันตัวเดินลง
มู่เถาเยามองตามหลังของเขา ไม่กี่วินาทีถัดมาก็เอาจิ้งจอกน้อยวางบนงวงช้างป่า จากนั้นก็กดตรงหัวใจตัวเอง
เมื่อครู่หัวใจของเธอราวกับจะหลุดออกมา จนถึงตอนนี้ก็ยังเต้นแรงอยู่
อดจับชีพจรให้ตัวเองไม่ได้
แข็งแรงมีพลัง!
ถึงเธอจะไม่เคยสัมผัสกับตัวแต่ก็เคยพบเห็น
ในทีวีก็มีให้เห็นบ่อยไป ใช่ว่าเธอจะไม่เข้าใจ
แต่ทั้งๆ ที่มันเป็นอุบัติเหตุ ทำไมหัวใจถึงเต้นแรงขนาดนี้ล่ะ ทุกคนที่จูบกันก็เป็นแบบนี้กันหมดเหรอ
มู่เถาเยาเดินลงเนินทั้งที่สีหน้างุนงง
ตี้อู๋เปียนที่เดินอยู่ข้างหน้าเวลานี้ในสมองมีอยู่ภาพเดียวนั่นก็คือ ซาลาเปาน้อยจุ๊บเขา!
เขามีความสุขจนทำอะไรไม่ถูก ภายในใจเต็มไปด้วยจุ๊บอันหอมหวาน!
ใบหน้าที่งดงามดุจเทพบุตรฉาบด้วยรอยยิ้มอันได้รูป ไฝแดงแบบเจ้าแม่กวนอิมกลางหว่างคิ้วเข้มขึ้น เขามีความสุขจนแทบจะระเบิดแตกตายแล้ว!
ทันใดนั้นมู่เถาเยาก็เรียกขึ้น “พี่สาม!” น้ำเสียงเจือไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ตี้อู๋เปียนวิ่งกลับไปหาเธออย่างมีความสุข “ซาลาเปาน้อย!”
“พี่สามดูสิ นี่ใช่ดอกพันวันหรือเปล่า” มู่เถาเยาย่อตัวนั่งลงตรงหน้าดอกไม้ที่ยังไม่บาน เธอยิ้มสดใส
พอเห็นสองดอกตูมนี้ ตอนนี้เธอลืมเรื่องที่คิดแล้วก็ไม่เข้าใจเมื่อครู่ไปเสียสนิท
ความสุขของตี้อู๋เปียนดับสลายในชั่วพริบตา
เมื่อครู่ซาลาเปาน้อยจุ๊บเขา ไม่ส่งผลอะไรเลยสักนิดเหรอ ยังจะมีอารมณ์ดูดอกพันวัน! หรือเขาสู้ดอกไม้เฮงซวยนี่ไม่ได้เลยเหรอ
ทำไมเธอเหมือนนางร้ายที่แค่จูบเดียวก็ลืมได้!
ตี้อู๋เปียนน้อยใจขั้นสุด
“นี่มันดอกพันวันนี่นา! พี่สาม พวกเราเจอดอกพันวันแล้ว!”
มู่เถาเยายื่นนิ้วขาวนวลไปแตะดอกตูมใหญ่ ดวงตาของเธอโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว ริมฝีปากยกได้รูป ใบหน้าขาวผ่องที่มีแก้มยุ้ยดุจภาพวาดที่แสนสะดุดตา
สะกดตาสะกดใจตี้อู๋เปียนทันที
“พวกเรารอมันบานเต็มที่อยู่ตรงนี้นะ” ตำราโบราณบอกว่าดอกพันวันที่บานเต็มที่เท่านั้นถึงจะมีสรรพคุณทางยา
มู่เถาเยาปลดของลง ปูเสื่อน้ำมันข้างดอกพันวัน
“พี่สาม พวกเรา…เอ่อ เป็นอะไรไป”
สีหน้าไม่สบอารมณ์ของเขาชัดเจนมาก
ตี้อู๋เปียน “…”
มองสาวน้อยที่มีสีหน้าไม่เข้าใจ ตี้อู๋เปียนลอบถอนหายใจอย่างจนปัญญา
เธอไม่เข้าใจ…ก็คงดีกว่า
“ดอกไม้นี่ดูท่าทางต้องรอวันสองวันถึงจะบาน ซาลาเปาน้อย พวกเราเก็บดอกไม้แล้วจะกลับเลยเหรอ” เขายังไม่อยากกลับเลยนะ!
“อืม กลับไปก่อน รอครั้งหน้าค่อยมาใหม่”
“แล้วจะเก็บยังไง ต้องให้มันสดอยู่ตลอดไหม แต่ระยะทางไกลขนาดนี้ วันเดียวพวกเรากลับไม่ถึงหรอก”
มู่เถาเยาครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น “ขุดไปพร้อมดินแล้วกัน รอจะใช้ค่อยเด็ดมันออกมา ถือโอกาสลองปลูกด้วย ดูว่าถ้าไม่มีดอกมันยังจะอยู่ได้ไหม”
พืชชนิดอื่นพอเด็ดดอกก็ไม่ได้ส่งผลต่อการดำรงชีวิตต่อ
“ก็ได้ ตอนนี้พวกเรายังมีน้ำอยู่เยอะ ยังไม่ต้องไปหาเถาวัลย์น้ำกับผลไม้”
รอจนกลับถึงหมู่บ้านเถาหยวนซาน จะใช้ระยะเวลาไปทั้งหมดประมาณยี่สิบวัน พวกเขาเตรียมอาหารมาสำหรับหนึ่งเดือน ยังเหลือของกินอีกไม่น้อย
“อืม พวกเราเฝ้ามันอยู่ที่นี่”