อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 464 กลัวใช้ความรุนแรงที่สุด
ตอนที่ 464 กลัวใช้ความรุนแรงที่สุด
วันที่เจ็ดเดือนอ้าย มู่เถาเยา ลู่จือฉิน และเหลียงจีเตรียมตัวเอาของขวัญไปสวัสดีปีใหม่ตระกูลน่าหลาน
พวกเธอกลุ่มใหญ่ไปเป็นแขก อีกทั้งยังเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน ไม่มีทางที่จะไปมือเปล่า
ของขวัญที่เตรียมให้ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์จากหมู่บ้านเถาหยวนซาน นอกจากนี้ยังมียาบำรุงที่เหมาะกับคนสูงวัย
วันที่แปดเดือนอ้าย พวกมู่เถาเยาออกเดินทางกลุ่มใหญ่
คนจากทางหมู่บ้านเถาหยวนซานไปถึงก่อน ตามมาด้วยคนที่มาจากทางเมืองหลวง
อวิ๋นสุ่ยเหยากับพี่ชายก็ตามเซี่ยซิงเฉิน กู้หาน และคนอื่นๆ มาด้วย
ตี้อู๋เปียนก็มาด้วย เพราะเขาต้องฝังเข็ม
พอปู่ทวดถังรู้ว่าพวกหมอเทวดาหยวนมาที่นี่ก็ตามถังถังเหลนสาวมาด้วย
เจียงเฟิงเหมียน ตี้อู่หลันฉือ และจั่วอีเหิงมาถึงตอนเย็น
น่าหลานจั๋วน้องชายของผู้เฒ่าน่าหลานเจี๋ยก็พาจางหลานภรรยา หนิงหนิงลูกสะใภ้ และหลานสองคนน่าหลานอวิ๋นฉี่กับน่าหลานอวิ๋นเสี่ยงกลับมาด้วย
ตระกูลน่าหลานที่ไม่ได้ครึกครื้นแบบนี้มานาน เวลานี้กางโต๊ะเรียงกันสามโต๊ะ
โต๊ะของผู้อาวุโสหนึ่งโต๊ะ รุ่นหลานแยกชายหญิงอีกกลุ่มละโต๊ะ
น่าหลานอวิ๋นเสี่ยงที่กำลังอยู่ชั้นมัธยมต้นมองพวกพี่สาวที่งดงามดุจหยกที่นั่งอยู่ในโต๊ะใหญ่ด้วยความสงสัย สุดท้ายสายตาไปหยุดที่มู่เถาเยา
พวกเขาเป็นลูกหลานของตระกูลข้าราชการระดับสูง ต้องระมัดระวังการคบเพื่อนเป็นพิเศษ
แต่มาบ้านของตระกูลน่าหลานได้ ก็ไม่จำเป็นต้องสงสัยอะไรแล้ว
อวิ๋นหร่านลูบศีรษะญาติผู้น้องพลางถาม “เสี่ยงเสี่ยง มองพี่เยาเยาตาไม่กะพริบทำไมเหรอ”
น่าหลานอวิ๋นเสี่ยงยิ้มตาโค้ง พูดอย่างจริงจัง “อยากดูว่าพี่เยาเยาไม่เหมือนกับพวกเราตรงไหนค่ะ”
ถึงแม้จะเจอกันเป็นครั้งแรก แต่ก็ได้ยินชื่อนี้บ่อยๆ
เพราะพี่สาวคนนี้เคยช่วยชีวิตคุณย่าใหญ่เอาไว้ อีกทั้งยังให้ยาล้างเอ็นคลายเส้นกับคนในครอบครัวมาด้วย
เธออายุยังไม่ถึงสิบแปดปี ยังกินไม่ได้ แต่คนในครอบครัวที่กินแล้วพบความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ต่อให้คนตาบอดก็ยังสัมผัสได้ และนับประสาอะไรกับที่เธอตาไม่บอด
มู่เถาเยาแกล้งถามสาวน้อยที่เพิ่งอายุสิบห้าปีคนนี้ “แล้วมองออกหรือยังจ๊ะ”
น่าหลานอวิ๋นเสี่ยงส่ายหน้า
เด็กสาวคนอื่นๆ ต่างหัวเราะ
ดวงตาดอกท้อที่สุกใสของถังถังกะพริบปริบๆ เธอยิ้มพูด “เสี่ยวเยาเยาไม่เหมือนกับพวกเราหรอกจ้ะ ถึงแม้จะมีเลือดเนื้อเหมือนกัน แต่สมองไม่ใช่แบบที่คนทั่วไปมีกัน”
สาวๆ ในโต๊ะพากันพยักหน้า
มู่เถาเยากินข้าวอย่างใจเย็น ราวกับคนที่ทุกคนพูดถึงไม่ใช่เธอ
อวิ๋นเสี่ยงเอียงหน้าเล็กน้อย “พี่ถังถังคะ หนูเคยดูละครที่พี่แสดงด้วย”
ถังถังร้องโอ๊ย “เรายังเด็ก ดูละครของผู้ใหญ่ด้วยเหรอ ดูเข้าใจเหรอจ๊ะ”
อวิ๋นเสี่ยงพยักหน้า “ตอนนี้หนูกำลังเรียนเขียนนวนิยายยาวอยู่ค่ะ”
มู่หว่าน “เสี่ยงเสี่ยงอยากเป็นนักเขียนเหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“งั้นก็ดีเลย ถ้าได้เอาไปทำละครพี่จะเล่นเป็นนางเอกให้นะ”
กว่าเด็กคนนี้จะเขียนนิยายจนเอาไปทำเป็นละครได้เธอก็คงดังแล้วแน่นอน บทนางเอกไม่หนีไปไหน
“อ๋า พี่เสี่ยวหว่านจะเป็นนักแสดงเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ พี่เรียนอยู่ที่สถาบันศิลปะการแสดงเหยียนหวง ใกล้จะได้ถ่ายละครแล้ว น้าเล็กของเธอเป็นคนกำกับเลยนะ”
“เยี่ยมเลยค่ะ! มีน้าเล็กอยู่ไม่มีใครกล้าแกล้งพี่แน่ค่ะ!”
“ใช่จ้ะ เสี่ยงเสี่ยง ละครที่พี่จะแสดง เสี่ยวเยาเยาตั้งใจเขียนให้โดยเฉพาะเลยนะ”
สาวน้อยหันไปมองมู่เถาเยา สองตาเปล่งประกาย “พี่เยาเยาเขียนบทละครเป็นด้วย!”
มู่เถาเยายิ้ม “เขียนครั้งแรก ไม่ถนัดมาก แต่เนื้อเรื่องดีแน่นอนจ้ะ”
“พี่เยาเยาสุดยอดไปเลยค่ะ!” นับถือ!
“ตั้งใจเขียนนะ พวกพี่จะเป็นคนอ่านให้ ติดขัดตรงไหนจะช่วยชี้แนะ”
“ได้เลยค่ะ”
สาวน้อยตื่นเต้นขึ้นมาทันที
มื้ออาหารเย็นที่แสนครึกครื้นจบลง เหล่าผู้อาวุโสย้ายไปนั่งคุยดื่มชาที่ห้องรับแขก หนุ่มสาวไปผิงไฟนั่งคุยกันที่ดาดฟ้า
หนิงหนิงแม่ของน่าหลานอวิ๋นเสี่ยงอาศัยจังหวะนี้ดึงเหลียงจีไปคุย
“พี่กลับบ้านแม่ตอนวันที่สอง ได้ยินอาเล็กกับอาสะใภ้เล็กบอกว่าได้วันที่จะไปเจอพ่อแม่เธอที่เผ่าแล้วนะ”
“ค่ะ หนิงชิงบอกว่าจะไปวันที่สิบห้า” เหลียงจีหน้าแดงเล็กน้อย เขินอายแบบที่เห็นได้ยาก
“น้องชายของพี่คนนี้ว่านอนสอนง่ายตั้งแต่เด็ก แต่พอโตขึ้นกลับชอบทำให้พ่อแม่กลุ้มใจ แต่ตอนนี้พวกเขากลับนึกเสียใจที่ก่อนหน้านี้เร่งให้หนิงชิงไปดูตัวมากกว่า”
“พี่หนิงคะ เรื่องนี้แล้วแต่วาสนา ถ้าคุณลุงคุณป้าไม่บังคับหนิงชิงไปดูตัว เขาก็คงไม่หนีไปที่อื่นหลังกลับมาจากเมืองนอก พวกเราคงไม่เจอกันที่ทะเลตะวันออก”
“ก็จริงนะ” หนิงหนิงยิ้มตาโค้ง “วันหน้าถ้าว่างก็ไปเที่ยวเจียงตูบ่อยๆ นะ ตอนอายุสิบกว่าหนิงชิงติดพี่เขยเขามากเลยล่ะ”
เหลียงจียิ้มพูด “เพราะอยากเรียนวิทยายุทธแน่เลยค่ะ”
“เธอรู้ด้วยเหรอ นับตั้งแต่เขาเห็นพี่เขยฝึกวิทยายุทธครั้งแรก จากนั้นทุกปิดเทอมหน้าร้อนหน้าหนาวเขาก็จะมาค้างบ้านพี่ จนกระทั่งเขาไปเป็นทหาร”
“เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าเลือดร้อนทั้งนั้น ไม่มีใครไม่ชอบศิลปะป้องกันตัว”
หนิงหนิงพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิ ตอนนี้พวกเราวางใจได้แล้ว”
ถึงแม้หนิงชิงกับเหลียงจีจะเพิ่งคบกันได้ไม่นาน แต่ทุกคนต่างแน่ใจว่าพวกเขาจะจับมือเป็นสามีภรรยากันไปได้ตลอดชีวิต
เหลียงจีมองคนที่พูดคุยหัวเราะกับพวกเด็กหนุ่ม ดวงตาของเธอแฝงรอยยิ้ม
“เหลียงจีจ๊ะ ต่อไปถ้าหนิงชิงทำอะไรไม่ถูกก็บอกเขานะ บอกกันทันทีจะได้แก้ไข อย่าปล่อยปัญหาไว้ข้ามคืน…” หนิงหนิงบอกเล่าประสบการณ์การใช้ชีวิตคู่ให้ว่าที่น้องสะใภ้ฟัง
เหลียงจีตั้งใจฟัง ทั้งยังพยักหน้าอยู่เรื่อยๆ
ในเมื่อจริงใจที่จะอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยกันสร้างชีวิตคู่ให้ดี
เดิมทีเธอก็ไม่ใช่ประเภทเป็นฝ่ายถูกกระทำ หากเกิดปัญหาก็ไม่มีทางเก็บเอาไว้คนเดียว
“…ทะเลาะกันไม่เท่าไร กลัวที่สุดเรื่องใช้ความรุนแรง…ไม่คุยกัน หรือไม่คุยกันเพราะโกรธ แบบนั้นปัญหาจะยิ่งสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นผิดหวังซึ่งกันและกัน พอความผิดหวังสะสมมากเข้าก็จะทำให้ชีวิตคู่แตกร้าว…เหลียงจี สิ่งสำคัญที่สุดระหว่างสามีภรรยาก็คือความไว้เนื้อเชื่อใจกับการเปิดใจคุยกันนะ…”
“เข้าใจแล้วค่ะพี่หนิง”
หนิงหนิงตบหลังมือของเหลียงจีเบาๆ อย่างอารมณ์ดี “ไม่ต้องคิดมากนะ อันที่จริงชีวิตคู่เป็นสิ่งสวยงาม ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ก็แค่กันไว้ก่อน ยังไงซะคนสองคนนอนข้างกันเป็นสิบปีจะไม่ขัดแย้งกันเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ พี่เองก็เชื่อในตัวหนิงชิงว่าเขาจะเป็นสามีที่ดีที่ให้เกียรติและเอาใจใส่ภรรยานะ”
“ฉันก็เชื่อค่ะ”
“เขาเป็นสามีครั้งแรก เธอก็เป็นภรรยาครั้งแรก ต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ปรับกันสักระยะก็ได้แล้วจ้ะ”
“ค่ะ”
“เหลียงจี จำไว้นะว่าการเสียสละกับการให้ต้องไปด้วยกัน แต่ก็อย่าคิดเล็กคิดน้อยว่าใครเสียสละมากกว่า…” หนิงหนิงสั่งสอนเหมือนแม่สอนลูกสาว
เหลียงจีสัมผัสได้ถึงความใจดีของหนิงหนิง จึงไม่รู้สึกรำคาญเลยสักนิด
หนิงหนิงยิ่งพอใจมากกว่าเดิม รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างขึ้น
แต่เธอก็ไม่เหมาะที่จะพูดอะไรมาก อย่างไรเสียเธอก็ไม่ใช่แม่
“เอาล่ะ เธอไปนั่งคุยกับทุกคนเถอะ”
“ขอบคุณค่ะพี่หนิง”
“คนกันเอง ไม่ต้องเกรงใจจ้ะ”
“ค่ะ งั้นฉันไปก่อนนะคะ”
“อืม ไปเถอะจ้ะ”