อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 460 รับผลของการกระทำ
ตอนที่ 460 รับผลของการกระทำ
วันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์พอดี
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนขับรถตู้สองคันพามู่หว่าน เจียงเฟิงเหมียน อวิ๋นสุ่ยเหยา น่าหลานอวิ๋นไค กู้หาน อันเหยี่ยน้อย จินเหยี่ยน้อย มู่ซือจิ่น ซย่าโหวจิ่งเหยา ถังเซิ่นอวี๋ ไปสวนดอกเหมยที่อยู่ชานเมืองของตระกูลเซี่ย
เหลียงจีกับหนิงชิงไม่ได้ตามไปด้วย พวกเขาอยากอยู่กันสองคนมากกว่า
นับตั้งแต่ทำลายความคลุมเครือที่หมู่บ้านเถาหยวนซาน ทั้งสองคนก็ไม่ปิดบังอีกต่อไป
ความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาไปไวมาก เหลียงจีเคยเจอพ่อแม่ของหนิงชิงแล้ว ตอนนี้รอแค่พาหนิงชิงกลับเผ่าไปเจอพ่อแม่ของฝ่ายหญิง
มู่เถาเยาย่อมดีใจที่ผลลัพธ์เป็นแบบนี้ ตอนที่ทั้งสองคนบอกว่าจะไม่ไปดูดอกเหมยด้วยเธอก็ไม่ตื๊อต่อ
ตอนที่กลุ่มของมู่เถาเยาไปถึง คนอื่นๆ มาถึงกันหมดแล้ว
พวกมู่ซือจิ่น ตี้อันเหยี่ย รวมกับหลานชายสามคนของเซี่ยซิงเฉิน ลำพังแค่เด็กๆ ก็ได้กลุ่มหนึ่งแล้ว
ดีที่สวนดอกเหมยใหญ่มาก ไม่เปิดให้คนภายนอกเข้า จึงไม่มีบรรยากาศแบบที่เจอแต่คนในสถานที่ท่องเที่ยว
มู่เถาเยาหยิบตะกร้าใบเล็กให้มู่ซือจิ่น ซย่าโหวจิ่งเหยา และถังเซิ่นอวี๋ ให้พวกเขาพาเด็กเล็กไปเก็บดอกเหมย จะเอากลับไปทำขนม
เด็กน้อยย่อมดีใจกันมาก
ต้นเหมยเหล่านี้ไม่สูงมาก พวกเด็กๆ เก็บกันถึงยกเว้นจินเหยี่ยน้อยกับเซี่ยอวี่ซ่งหลานชายวัยสี่ขวบของเซี่ยซิงเฉิน
เด็กสองคนที่เอื้อมเก็บไม่ถึงก็ไม่ได้งอแง ช่วยถือตะกร้ากับเล่นดอกเหมยที่อยู่ในนั้น
เสียงหัวเราะของพวกเด็กๆ ทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นอดยิ้มตามไม่ได้
พวกมู่เถาเยาจับกลุ่มสองคนสามคนแยกกันไปชมดอกเหมยที่มีหิมะเกาะ
จั่วอีเหิงมองพวกเด็กๆ ที่เก็บดอกไม้กันอย่างสนุกสนาน อดยิ้มตามไม่ได้ “เป็นเด็กนี่ดีจังนะ ใสซื่อน่ารัก ไม่ต้องกังวลอะไร”
กู้หานใช้ไหล่สะกิดเพื่อน ยิ้มถาม “แล้วอายุอย่างพวกเราตอนนี้มันไม่ดีหรือไง”
ยี่สิบต้นๆ ไม่ใช่วัยที่เหมือนดอกไม้บานสะพรั่งสำหรับผู้หญิงหรือไง
จั่วอีเหิงยิ้ม “ดีที่สุดอยู่แล้ว” ไม่ดีก็พูดออกมาไม่ได้
จะให้เธอพูดว่าเธอกังวลเรื่องอายุขัยของพ่อแม่ก็ไม่ได้หรือเปล่า
รุ่นหลังๆ มานี้ คนในครอบครัวเธอที่เสียชีวิตมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ…หากเธอไม่แต่งงานไม่มีลูกแล้วพ่อแม่ของเธอจะไม่ตายเร็วล่ะก็ เธอย่อมยินดี
แต่เธอรู้ว่าไม่มีความเป็นไปได้แบบนั้น
ใครใช้ให้บรรพบุรุษตระกูลจั่วของเธอถึงแม้จะไม่ได้ทำร้ายใครก่อน แต่กลับถูกสิ่งไม่ดีเล่นงานกลับเพราะใช้วิชาจนเลยเถิดช่วยเหลือคนเลวที่ร่ำรวยให้พ้นเคราะห์จนเกิดผลกระทบต่อคนจำนวนไม่น้อย
มันก็เหมือนกับหลักการที่ว่า ‘ต่อให้เราไม่เจตนาโดยตรง ก็ย่อมต้องรับผลของการกระทำ’
ตระกูลจั่วมีส่วนผิด
ดังนั้นพวกเขาไม่กล้าโทษใครอื่น แต่จะพยายามหาทางหลุดพ้นจากพันธนาการนี้ หรือเรียกอีกอย่างว่าคำสาป
พอนึกถึงตรงนี้จั่วอีเหิงก็อดหันไปมองตี้อู๋เปียนไม่ได้
เจ้าชายเล็กคนนี้ ทั้งๆ ที่มีชีวิตอยู่กลับมีลักษณะโหงวเฮ้งคนตาย แต่พลังจื่อกลับอยู่ทั่วตัวไม่หายไปไหน…
ถัดจากเสี่ยวเยาเยาก็มีอีกคนที่เธอทำนายไม่ได้
ตอนนี้เธอชักสงสัยสิ่งที่เธอเรียนมาตั้งแต่เด็กแล้ว
กู้หานเขย่าแขนเพื่อนสนิท ขมวดคิ้วเรียก “อีเหิง”
ทำไมเพื่อนสนิทเธอถึงเหม่อมองพี่สามล่ะ
สายตาร้อนแรงขนาดนั้น คงไม่ได้…คิดอะไรเกินเลยใช่ไหม
ไม่ว่าพี่สามจะป่วยหรือไม่ก็ไม่มีทางพัฒนาความสัมพันธ์กับอีเหิงได้
ไม่ใช่เรื่องสถานะ แต่เป็นเพราะ…
กู้หานมองเด็กสาวรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวยิ่งกว่าหิมะ มีเสน่ห์ยิ่งกว่าดอกเหมยที่อยู่ข้างตี้อู๋เปียน
ถ้าพี่สามหายดีแล้ว เขากับเสี่ยวเยาเยาต้องคู่กันแน่
ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ แต่พวกเขาทุกคนคิดแบบนี้!
อีเหิงที่ฉลาดขนาดนี้มองความแตกต่างระหว่างพวกเขาไม่ออกเหรอ
หรือว่า…
กู้หานส่ายหน้า เธอเชื่อในการวิเคราะห์ของตัวเอง อีเหิงไม่น่าใช่คนที่จะไปแทรกในความสัมพันธ์ของคนอื่น
“หืม อะไรเหรอ” จั่วอีเหิงถูกกู้หานเขย่าจนได้สติกลับมา
“…เอ่อ…ฉันบอกว่าดอกเหมยที่บานไม่เต็มที่ก็สวยดีนะ เตรียมผลิบานอยู่บนกิ่ง” ไว้วันไหนค่อยหาโอกาสคุยกับเพื่อนหน่อยแล้วกัน
ถ้าเธอมองผิดไปก็แล้วไป ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างว่าจะได้ให้ถอนตัวทัน…
จั่วอีเหิงโน้มตัวไปดมดอกเหมยแดงที่ส่งกลิ่นหอมแล้วยิ้มพูด “นั่นสิ ดอกเหมยไม่ใช่แค่สวย กลิ่นก็ผู้ดี ถึงกลิ่นจะอ่อนแต่กลับสดชื่นถึงข้างใน ชวนให้เคลิบเคลิ้ม”
กู้หานพยักหน้า “ถึงแม้ หากมองหากลิ่นอื่นในฤดูใบไม้ผลิ เราจะไม่มองหากลิ่นสัมผัสนี้ แต่เมื่ออยู่ในป่าเหมยสักพัก ร่างกายเราจะฉาบด้วยกลิ่นอันแสนสง่านี้”
เนื่องจากฝึกยุทธมาแต่เด็ก มู่หว่านที่อยู่ใกล้สองคนนี้ที่สุดพอได้ฟังก็พยักหน้า “พี่สองคนคุยกันดูสูงศักดิ์มากเลยค่ะ! ไม่เหมือนพวกเราที่ ว้าย ดอกนี้สวยจังเลย ว้ายดอกนั้นก็สวยเป็นบ้า”
กู้หานกับจั่วอีเหิงหัวเราะพร้อมกัน
จั่วอีเหิงยื่นมือออกไปสะกิดมู่หว่านเล็กน้อยแล้วยิ้มพูด “เสียแรงที่เรียนการแสดงมานะเรา ทำไมไม่มีอารมณ์สุนทรีเลยล่ะ พวกเรามีการศึกษากันทั้งนั้น ไม่ใช่คนไม่รู้หนังสือ”
มู่หว่านกับน่าหลานอวิ๋นไคเดินมาทางนี้
“พี่สองคนคะ อารมณ์สุนทรีเนี่ยเวลาอยากมีมันก็ทำเป็นมีได้อยู่หรอกค่ะ แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นสักหน่อย!” รอตอนเป็นนักแสดงก็ต้องบังคับให้มีแล้วล่ะ
กู้หานกับจั่วอีเหิงหัวเราะ
น่าหลานอวิ๋นไคพูดด้วยความรู้สึกขำ “เสี่ยวหว่าน เธอคงเห็นวิวสวยๆ มาเยอะแล้วก็เลยไม่รู้สึกอะไร”
มู่หว่านพยักหน้าด้วยความภูมิใจ “ถูกต้อง! หมู่บ้านเถาหยวนซานของพวกเราปลูกต้นผลไม้ไว้เยอะแยะ มีทุ่งดอกไม้หลากสี เมืองหลวงที่ที่ดินแพงทุกตารางนิ้วแบบนี้มีสวนสวยๆ แค่ไม่กี่แห่ง เทียบกับหมู่บ้านเถาหยวนซานที่กว้างใหญ่คนน้อยเต็มไปด้วยภูเขาทุ่งดอกไม้ไม่ได้หรอก”
กู้หานตื่นเต้น “อยากไปจังเลย!”
เธอเป็นคนเมืองหลวง ไม่ค่อยได้เห็นทุ่งดอกไม้ที่บานเต็มเขานักยกเว้นตอนไปเที่ยว
ความรู้สึกแบบนั้นไม่เหมือนชมดอกไม้ในสวนสาธารณะ
มู่หว่านยิ้มตาโค้ง “ตอนนี้เป็นหน้าหนาวไม่มีดอกไม้ แต่ใบไม้สีเขียวกลับมีให้เห็นตลอด ถ้าชอบก็ไปอยู่นานหน่อยได้ค่ะ ฉันจะพาพวกพี่เที่ยว หมู่บ้านเถาหยวนซานของเราเป็นแดนสวรรค์ที่เหมาะแก่การใช้ชีวิตและไปพักตากอากาศ”
กู้หานกับจั่วอีเหิงพยักหน้าตอบพร้อมกัน “เอาสิ”
น่าหลานอวิ๋นไค “ไว้เดือนกุมภามีนาพวกพี่ไปฝั่งตะวันตกดูดอกคาโนล่าบานเต็มหมู่บ้านของผมได้นะครับ! ทุ่งดอกคาโนล่าสีเหลืองแซมด้วยบ้านสีขาวสวยเหมือนภาพวาดเลยล่ะครับ”
กู้หานพูดด้วยความตื่นเต้น “งั้นตกลงตามนี้นะ พวกเราจะอยู่หมู่บ้านเถาหยวนซานจนถึงก่อนตรุษจีน จากนั้นกลับบ้านฉลองตรุษจีน เสร็จแล้วจะไปดูดอกคาโนล่าที่บ้านอวิ๋นไค!”
น่าหลานอวิ๋นไคยิ้มพลางพยักหน้า หันไปมองเด็กสาวข้างกาย “เสี่ยวหว่านจะมาด้วยใช่ไหม”
“เอ่อ…”
“เธอวางแผนไปที่อื่นแล้วเหรอ”
“เอ่อ เดิมทีว่าจะตามเสี่ยวเยาเยาไปดูเยี่ยนหังกับอู๋ซวงที่เผ่าพร้อมเสี่ยวเหมียนกับเสี่ยวเหยา” เสี่ยวเยาเยาบอกว่าฉลองตรุษจีนที่หมู่บ้านเถาหยวนซานเสร็จก็จะกลับเผ่า
“อย่างนั้นเหรอ” น่าหลานอวิ๋นไคแอบเศร้าเล็กๆ
พอมู่เถาเยาได้ยินน่าหลานอวิ๋นไคชวนทุกคนไปดูดอกคาโนล่าเธอก็เดินเข้ามาพร้อมตี้อู๋เปียน
“เสี่ยวหว่าน เยี่ยนหังกับอู๋ซวงอยู่ที่เผ่า พวกเธอจะไปหาเมื่อไรก็ได้ แต่ดอกคาโนล่าฝั่งตะวันตกบานแค่เดือนกุมภามีนา แถมเดือนมีนาก็เปิดเทอมแล้ว ไปดูเดือนกุมภาเหมาะสมที่สุด เสี่ยวเหมียนต้องชอบความสวยงามตามธรรมชาติแบบนั้นแน่ ไว้ถึงตอนนั้นฉันจะถามพวกอาจารย์ด้วยว่าจะไปเที่ยวสักวันสองวันแล้วค่อยไปที่เผ่าดีไหม”
“คุณปู่คุณย่าต้องดีใจมากแน่” น่าหลานอวิ๋นไคยิ้มหน้าบาน
มู่หว่าน “ก็ได้ งั้นฉันไปด้วย”
น่าหลานอวิ๋นไคดีใจยิ่งกว่าเดิม