ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่324 แต่งภรรยา
นายหญิงหม่ากับหม่าซิ่วเหนียงที่มาส่งตัวเจ้าสาวต่างรีบลากเฉินซื่อไปอีกทาง
หม่าซิ่วเหนียงส่งผ้าเช็ดหน้าให้เฉินซื่อ นายหญิงหม่าก็กล่อมนางเสียงเบาว่า “บุตรสาว
เจ้าไม่ได้แต่งไปไกล สกุลเผยก็เป็นคนมีเมตตา ไม่ว่าจะวันปกติหรือหน้าเทศกาล หากอยาก
กลับบ้านก็กลับมาได้ ถ้าเจ้าเป็นแบบนี้ บุตรสาวเจ้ามาเห็นจะรู้สึกอย่างไร? วันมงคลเช่นนี้ หาก
ร้องไห้จนหน้าเลอะย่อมไม่น่ามอง อีกอย่าง หากจะร้อง ก็ยังร้องตอนนี้ไม่ได้ รอให้บุตรสาวเจ้า
ขึ้นเกี้ยวไปก่อนค่อยร้องก็ยังไม่สาย”
เฉินซื่อรับผ้าเช็ดหน้าของหม่าซิ่วเหนียงมาซับนํ้าตา กลืนก้อนสะอื้นแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้
แต่ข้าทนไม่ไหวนี่นา เจ้าก้อนน้อยตัวกลมขาวผ่องที่ข้าอุ้มมาแต่เล็ก ประคองไว้กลางฝ่ ามือ ไม่
ง่ายกว่าจะเลี้ยงจนเติบใหญ่ จะต้องแต่งไปอยู่บ้านผู้อื่นเสียแล้ว ไม่พูดถึงต้องคลอดบุตรชาย
บุตรสาว แค่ต้องดูแลของใช้ของกินของคนแก่เด็กเล็กในบ้าน ไม่รู้จะมีใครเห็นใจมองเห็นความ
ลําบากของนางหรือไม่ ตอนที่เป็นแม่คนจะราบรื่นสมใจหรือเปล่า…”
ล้วนแต่เป็นคนที่มีบุตรสาว นายหญิงหม่ากับเฉินซื่อจึงเข้าอกเข้าใจกัน นางได้ยิน
เช่นนั้นก็ถอนหายใจ โอบไหล่ของเฉินซื่อพลางเอ่ยว่า “ตอนที่ซิ่วเหนียงออกเรือนข้าก็เหมือนเจ้า
นี่แหละ แต่เจ้าดูสิ ซิ่วเหนียงของพวกเราก็อยู่ดีมีสุขมิใช่รึ? เจ้าต้องเชื่อใจอาถังของเจ้า นาง
จะต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแน่”
สองคนคุยกันไป ก็เงยหน้าขึ้นมาเจออวี้หย่วนที่เหงื่อชุ่มหน้าพอดี
พออวี้หย่วนเห็นเฉินซื่อก็ดวงตาเป็นประกาย ทําหน้าดีใจยกใหญ่ แล้วรีบวิ่งเข้ามาหา
“อาหญิง ท่านเห็นท่านอาหรือไม่ขอรับ? ครอบครัวนายท่านเว่ยมาถึงกันแล้ว แต่ท่านอาไม่รู้
หายไปไหน ข้าหาทั้งนอกทั้งในแต่ก็ไม่เจอเลย!”
เฉินซื่อไม่มีเวลาให้โศกเศร้า รีบถามว่า “ห้องหนังสือหาแล้วหรือยัง? ห้องบัญชีล่ะ?
หรือว่าจะอยู่ที่สวนดอกไม้ด้านหลัง?”
อวี้หย่วนส่ายศีรษะ “ไม่เจอเลยขอรับ”
เฉินซื่อร้อนใจตามไปด้วย รีบหาที่ทางให้สองแม่ลูกสกุลหม่า จากนั้นก็ออกไปตาม
หาอวี้เหวินพร้อมอวี้หย่วน
สองคนหาอวี้เหวินเจอที่ตรอกด้านหลังเรือนสกุลอวี้อย่างยากลําบาก ใครจะคิดว่าอวี้
เหวินกําลังนั่งเช็ดนํ้าตาอยู่บนขั้นบันไดประตูหลัง
เฉินซื่อกับอวี้หย่วนชะงักเท้าหยุดทันที
อวี้เหวินที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวไม่ได้หันมามอง เพียงเอ่ยว่า “เจ้าปล่อยให้ข้าอยู่
คนเดียวสักพักเถิด”
นํ้าเสียงนั่นยังเครือก้อนสะอื้นอยู่ด้วย
นํ้าตาของเฉินซื่อไหลพรากอีกครั้ง
สองสามีภรรยากอดคอกันสะอื้นไห้
อวี้หย่วนแม้จะคิดว่าน่าขัน แต่นํ้าตาก็ไหลตามไปด้วยอีกคน
ยังดีที่อวี้ป๋ อตามมาเจอ เขาเห็นเช่นนั้นก็ย่นคิ้วทันที “พวกเจ้าทําอะไรกันอยู่? เร็วเข้า
เลิกคิดอะไรไม่เข้าท่าได้แล้ว ไม่เพียงสกุลเว่ยที่มาถึงครบแล้ว นายท่านเจียงก็มาแล้วเช่นกัน
หากไม่มีนายท่านอู๋คอยรับหน้า วันนี้สกุลเราคงต้องอับอายเป็นแน่”
อวี้เหวินอย่างไรก็เป็นบุรุษ ไม่นานก็จัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ จึงเดินตามอวี้ป๋ อ
ไปรับรองแขก
เฉินซื่อยืนปวดใจเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะฝืนยิ้มแล้วเดินเข้าเรือนไป
สกุลเผยทางนั้นกําลังเตรียมพิธีไปรับเจ้าสาวแล้ว
เฉวียนฝูเหรินที่สกุลเผยเชิญมาคือมารดาของเผยฉาน
แม้นางจะมาจากสกุลสาขาของสกุลเผย แต่นางไม่เพียงมีบิดามารดาและตายายอยู่
พร้อมหน้า หลังจากที่แต่งเข้าสกุลเผย ก็ให้กําเนิดบุตรชายห้าคนกับบุตรสาวอีกสองคน สกุลฝั่ง
มารดาก็มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ญาติผู้พี่อีกตั้งยี่สิบกว่าคน กระทั่งเผยฉานยังรู้จักไม่ครบ
เมื่อสกุลเผยมีคนแต่งงาน ย่อมจะเชิญนางเป็นเฉวียนฝูเหรินทุกครั้งไป
นางเองก็ยากจะมีโอกาสได้เห็นเผยเยี่ยนในชุดสีแดงสดสักครั้ง ตอนที่มางานพร้อมกับ
นายหญิงรองยังอดกระเซ้าเผยเยี่ยนไม่ได้ว่า “อาสามใส่ชุดนี้มีชีวิตชีวาดีแท้ ต่อไปก็ควรสวมชุด
ที่มีสีสันให้มากหน่อยถึงจะถูก”
เผยเยี่ยนโตขนาดนี้แล้ว มีเพียงตอนยังเล็กที่เลือกเสื้อผ้าเองไม่ได้เท่านั้นที่เคยใส่สีแดง
สด ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกขัดใจ มือก็ดึงเสื้อผ้าไปมาอย่างกระดาก
มารดาของเผยฉานเห็นแล้วก็รีบเอ่ยห้ามทันที “ทําเช่นนั้นไม่ได้ ระวังชุดจะหลุดลุ่ยเอา”
เผยเยี่ยนร้อง “อืม” อย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง แต่ก็เลิกดึงเสื้อทันที
มารดาของเผยฉานเห็นแล้วก็อดขําไม่ได้
คนที่ปกติเย่อหยิ่งถึงเพียงนั้น พวกนางเหล่าสะใภ้มิใช่เคยนินทาเขาลับหลังเพียงครั้ง
เดียว ถกกันอยู่เสมอว่าไม่รู้ตอนที่แต่งงานเขาจะเป็นเช่นนี้อยู่หรือไม่
วันนี้นับว่าได้เห็นเสียที
ดวงหน้ายังเยียบเย็นเหมือนปกติ แต่ดวงตากลับเจิดจ้าเป็นประกาย ต่อให้ซ่อนอย่างไร
ก็ข่มความยินดีไว้ไม่มิด
งานแต่งสามวันไม่นับเด็กแก่
มารดาของเผยฉานอยากแกล้งเผยเยี่ยน แต่กลับถูกบุตรชายที่ตามมาด้วยกระตุกแขน
เสื้อเอาไว้ก่อน “ท่านแม่ ท่านอยากไปคารวะท่านแม่เฒ่าทางนั้นหรือไม่ขอรับ ไม่รู้ว่าท่านแม่
เฒ่ามีสิ่งใดจะคุยกับท่านหรือเปล่า”
มารดาเผยฉานร้อง “ไอหยา” เสียงหนึ่งคล้ายเพิ่งนึกออก แล้วส่งเผยเจียงที่อายุได้เจ็ด
ขวบให้เผยฉาน “เจ้าพาเขารออยู่ตรงนี้ ข้าไปครู่เดียวเดี๋ยวกลับมา”
เผยเจียงเป็นน้องชายแท้ๆ ของเผยปัว ครอบครัวเขาก็เหมือนกับเผยฉาน ไม่เพียงปู่ ย่า
ตาทวดอยู่ครบ คนยังเฉลียวฉลาดช่างพูดตั้งแต่เล็ก ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยถึงได้เลือกเขาให้เป็น
เด็กร่วมเกี้ยวด้วย
ในมือเขามีโถมงคลใบหนึ่ง ปากโถวางผลผิงกั๋วเอาไว้ เมื่อเห็นว่ามารดาของเผยฉาน
เดินจากไป ก็หันไปอ้อนเผยฉานว่า “พี่ฉาน ข้าเมื่อยมือ ท่านช่วยข้าถือหน่อยสิ”
เผยฉานจึงขู่เขาว่า “เจ้าไปบอกอาสามโน่น”
เผยเจียงจึงไม่กล้าส่งเสียงอีก
เผยเยี่ยนไม่รู้ว่าเมื่อมอบโถมงคลให้เด็กร่วมเกี้ยวแล้วสามารถผ่านมือผู้อื่นได้หรือไม่
แต่พอได้ยินเผยเจียงเอ่ยเช่นนั้น ก็กลัวว่าเขาจะเมื่อยมือ จึงส่งโถมงคลให้คนอื่นไปถือ หยิบ
ลูกกวาดส่งเข้าปากเผยเจียง พลางเอ่ยว่า “เจ้าถือไว้ดีๆ ห้ามวางไปทั่ว รอให้ข้าแต่งอาสะใภ้เจ้า
เสร็จแล้ว ข้าจะยกแท่นฝนหมึกเช่อเยี่ยนให้เจ้า”
ดวงตาของเผยเจียงกลิ้งไปมาแล้วเอ่ยว่า “ท่านอาสาม ข้าไม่อยากได้แท่นฝนหมึกเช่อ
เยี่ยน ข้าต้องการแท่นฝนหมึกแกะรูปนกกระเรียนบนโต๊ะของท่าน”
เผยเยี่ยนชะงักกึก
ในจวนล้วนแต่มีคนกลัวเขา น้อยมากที่จะมีใครพูดจากับเขาเช่นนี้
เขาหัวเราะเอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้ สายตาเฉียบคมไม่เลว นั่นคือแท่นฝนหมึกเฉิงหนีเยี่ยน
เชียวนะ แต่ในเมื่อข้าตั้งใจจะมอบแท่นฝนหมึกให้เจ้าแล้ว ย่อมไม่มีทางเลือกอันที่แย่กว่าให้เจ้า
แน่ เจ้าต้องคิดดูให้ดี แท่นฝนหมึกเฉิงหนีเยี่ยนไม่แน่ว่าจะดีไปกว่าแท่นฝนหมึกเช่อเยี่ยนหรอก
นะ”
ลูกตาของเผยเจียงหมุนติ้วอย่างรวดเร็ว ดวงหน้าซาลาเปากําลังคํานวณอย่าง
เคร่งเครียด “แต่ข้าได้ยินคนพูดว่า แท่นฝนหมึกที่ตั้งอยู่บนโต๊ะท่านอาสาม เป็นแท่นฝนหมึกที่ใช้
ในสนามสอบนี่ขอรับ”
เผยปัวอีกสองปีก็ต้องลงสนามสอบแล้ว
เผยเยี่ยนหัวเราะเสียงดัง “นี่เจ้ากําลังทวงของให้อาปัวรึ?”
เผยเจียงไม่กล้ายอมรับ
เผยเยี่ยนรู้สึกว่าเด็กคนนี้น่าสนใจไม่เลว หากว่าต่อไปเขามีลูกชาย ถ้าเป็นเหมือนเผย
เจียงได้ก็คงดี
เขาค้อมตัวก้มไปอุ้มเผยเจียงขึ้นมา “ได้สิ! ถึงเวลานั้นข้าจะยกแท่นฝนหมึกนั่นให้เจ้า
ถือกลับบ้านไปเลย”
เผยเจียงชอบใจยิ้มยิงฟันจนตาหยีไปหมด
เผยเยี่ยนถึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าถือผลผิงกั๋วไว้ได้แล้วหรือไม่”
ตามหลักแล้ว เด็กนั่งเกี้ยวควรจะอุ้มผลผิงกั๋วไว้มือหนึ่ง ส่วนอีกมือก็อุ้มโถมงคล
เผยเจียงรีบตอบตกลง แล้วดันตัวดิ้นจะลงจากอ้อมแขนของเผยเยี่ยน
เผยฉานกลัวว่าเด็กชายจะทําโถมงคลกับผลผิงกั๋วในมือร่วง จึงรีบเข้าไปประคองเผย
เจียงตอนลงถึงพื้น
เผยเยี่ยนถามเผยฉานว่า “เจ้าเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว?”
เด็กๆ ในสกุลต่างเล่าเรียนวิชากับท่านผู้เฒ่าสกุลอี้ เขามักได้ยินท่านผู้เฒ่าสกุลอี้เอ่ยอยู่
บ่อยๆ ว่าเผยเยี่ยนเฉลียวฉลาดเพียงใด เขาไม่เคยพูดคุยกับเผยเยี่ยนตรงๆ มาก่อน พอได้ยิน
เผยเยี่ยนถามเช่นนี้ เขาก็หัวเราะแล้วเล่าถึงบทเรียนในช่วงนี้ให้เผยเยี่ยนฟัง
เผยเยี่ยนชี้แนะเขาไปหลายประโยค
การสนทนาโต้ตอบเช่นนี้ ทําให้ความว้าวุ่นใจของเผยเยี่ยนค่อยๆ สลายไปได้
รอถึงตอนที่เขาต้องขี่ม้าไปเรือนสกุลอวี้ เขาก็เริ่มกลุ้มใจกับการเข้าหอช่วงกลางคืนอีก
ครั้ง
เขาเชื่อคําสอนแบบเต๋า ฝึกฝนและขัดเกลาตนตามคําสอนของเต๋า เพื่อให้มีอายุยืนยาว
สิ่งสําคัญในการมีอายุยืนยาวคือการละเว้นและยับยั้งใจตน
แม้คัมภีร์ของเต๋าจะมีหลายคําสอน แต่เมื่อก่อนเขาไม่เคยสนใจหาอ่าน ตอนนี้เขาจะ
แต่งงานแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าในสกุลย่อมไม่สะดวกเปิดปากพูดเรื่องพรรค์นี้กับเขา ส่วนท่านผู้เฒ่า
ก็ไม่อยู่แล้ว เผยเซวียนไปเมืองหลวง ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยจึงได้แต่ไหว้วานท่านผู้เฒ่าสกุลอี้มา
พูดเรื่องพวกนี้กับเขาแทน
ท่านผู้เฒ่าสกุลอี้เห็นว่าเผยเยี่ยนเติบใหญ่เพียงนี้แล้ว แต่เล็กก็ชอบอ่านตําราปกิณกะ
หากเขาพูดมากไปมีแต่จะทําให้เผยเยี่ยนต้องเสียหน้า จึงทิ้งหนังสือหลายเล่มให้เผยเยี่ยนไป
อ่านเอาเอง
เผยเยี่ยนก็นั่งดูอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง
แต่ไม่รู้ว่าเพราะหนังสือพวกนั้นวาดออกมาได้ไม่ดี หรือว่าเดิมเขาก็ไม่ชอบของพวกนี้
แต่แรก เมื่อไม่เห็นก็แล้วไปเถอะ แต่พอได้เห็นแล้ว เขาก็หน้าเขียวคลํ้า ความคิดวาบหวามพลัน
หายวับไปหมด
หากว่าเข้าหอต้องทําเช่นนั้นจริงๆ แล้วเขาจะทําอย่างไร…
ผลปรากฏว่าเขาเอาแต่ดึงหน้าบึ้งตึงตลอดพิธีแต่งงาน
เผยฉานที่ไปรับเจ้าสาวเป็นเพื่อนเขาได้แต่กระตุกชายเสื้อเผยเยี่ยนบ่อยๆ กระซิบบอก
เขาซํ้าๆ ว่า “อาสาม ท่านยิ้มสักหน่อยเถอะ ทุกคนกําลังมองท่านอยู่นะ!”
เผยเยี่ยนยิ้มไม่ออกจริงๆ ต่อให้มีฉีกยิ้มบ้างบางครั้ง แต่ก็ฝืดเฝื่อนเต็มที แต่นั่นกลับทํา
ให้อวี้เหวินหัวเราะอย่างขบขัน ในใจก็คิดว่า ต่อให้เป็นเผยสยากวงแล้วอย่างไร เมื่อถึงเวลา
แต่งงานก็ล้วนประหม่าจนพูดไม่ออกเช่นกัน
บุตรเขยเป็นเช่นนี้นับว่าใช้ได้แล้ว!
เขาจึงไม่ได้สร้างความลําบากให้เผยเยี่ยนอีก ปล่อยให้อวี้หย่วนแบกอวี้ถังออกจาก
ประตูไปด้วยความสมอกสมใจยิ่ง
กระทั่งเกี้ยวรับเจ้าสาวจากไปท่ามกลางเสียงอึกทึกของประทัดแล้ว อวี้เหวินก็ยังยืน
หัวเราะส่ายหน้าอยู่ที่เก่า กลับเป็นเจียงเฉาที่เริ่มใจเต้นกับข้อเสนอของเผยเยี่ยน
เผยเยี่ยนทําเช่นนี้ก็เพราะคิดช่วยสกุลอวี้ สกุลอวี้ไม่มีกําลังถึงเพียงนี้เสียหน่อย ดังนั้น
จึงจําเป็นต้องให้เขาออกหน้าหนุนหลัง ให้สกุลอวี้ได้กอบโกยกําไรไปอย่างง่ายดาย
คนที่ค้าขายนั้น กลัวแต่ว่าฝ่ ายตนจะไม่ได้ผลประโยชย์ หากว่าสามารถหาเส้นแบ่งที่
จัดสรรผลประโยชน์ได้ลงตัว กิจการนั้นๆ ย่อมดําเนินไปได้อย่างมั่นคงยาวนาน
เจียงเฉาพลันหาบทบาทของตนที่จะเป็นประโยชน์ต่อเผยเยี่ยนได้ ความมั่นใจจึง
เพิ่มขึ้นในชั่วพริบตา
เขาตัดสินใจใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วร่วมมือกับสกุลเผย ก่อนจะกลับก็ไปพบเผย
เยี่ยนอีกครั้ง แล้วบอกแผนการของเขาให้เผยเยี่ยนฟัง
เจียงเฉาดื่มสุรามงคลของสกุลเผยด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เผยเยี่ยนทางนั้นกราบไหว้ฟ้าดินแล้ว กําลังจะเข้าเรือนหอ
การได้กลั่นแกล้งเผยเยี่ยนโดยไม่แบ่งอาวุโสเช่นนี้ คนสกุลเผยตั้งหน้าตั้งตารอกันมาก
ดังนั้นคนที่มาคอยดูเจ้าสาวจึงล้นหลามเป็นพิเศษ
ทุกคนต่างส่งเสียงบอกให้เผยเยี่ยนปลดผ้าคลุมหน้า
เผยเยี่ยนปวดหัวหนัก ไม่เข้าใจว่าทําไมเรือนหอจึงอัดแน่นไปด้วยผู้คนเช่นนี้
เขาอยากจะไล่คนออกไปเสีย แต่รู้ว่าการทําเช่นนั้นคงทําลายบรรยากาศย่อยยับ กลัว
จะทําให้อวี้ถังเสียใจเอาได้
เขาข่มความหงุดหงิดไว้ในอกก่อนจะค่อยๆ เลิกผ้าปิดหน้าของอวี้ถังขึ้น
อวี้ถังอดจะเงยหน้ามองเผยเยี่ยนแล้วอดเม้มปากกลั้นยิ้มไม่ได้
อวี้ถังที่ผ่านการแต่งหน้างดงามกว่าวันปกติ รอยยิ้มบางเบานั้น เหมือนกับลมวสันต์ที่
พัดผ่านผืนดินรกร้าง เผยเยี่ยนรู้สึกเหมือนในใจเกิดเป็นทุ่งหญ้าที่มีต้นอ่อนเขียวขจีผุดขึ้นเต็มไป
หมด
“อาถัง…” เผยเยี่ยนครางออกมาเบาๆ เสียงเอะอะรอบกายคล้ายหายวับไร้ตัวตน มี
เพียงเสียงหัวใจของเขาที่เต้นตึกตักระรัว
อวี้ถังมองหน้าเผยเยี่ยน ชั่วขณะนั้นรู้สึกว่าไม่อาจละสายตาหนีได้เลย
เผยเยี่ยนในชุดสีแดงสดช่างหล่อเหลาเหลือเกิน
ดวงหน้าขาวดั่งหยก ปอยผมงอนดั่งปีกนก สายตาวับวาวที่ไม่อาจเก็บซ่อนความปีติ…
ทําให้หัวใจของอวี้ถังเหมือนถูกแช่ในนํ้าอุ่นร้อน แทบละลายไปสิ้น
“ไอหยา เจ้าสาวช่างงามเสียจริง!” คนในเรือนหอต่างทอดถอนใจด้วยความตื่นเต้น
ทําลายบรรยากาศสนิทสนมของคนทั้งสอง
เสียงจ้อกแจ้กจอแจลอยเข้าหูสองคนอีกครั้ง
เผยเยี่ยนกับอวี้ถังเบนหน้าออกจากกันโดยไม่นัดแนะ ทั้งไม่กล้าหันมามองฝ่ ายตรง
ข้ามอีกเลย