หลังจากช่วย [องค์หญิงน้ำแข็ง] จากโรงเรียนอื่น เราก็เริ่มต้นด้วยการเป็นเพื่อนกันล่ะครับ - ตอนที่ 18 ความรู้สึกครั้งแรกของเจ้าหญิงน้ำแข็ง
- Home
- All Mangas
- หลังจากช่วย [องค์หญิงน้ำแข็ง] จากโรงเรียนอื่น เราก็เริ่มต้นด้วยการเป็นเพื่อนกันล่ะครับ
- ตอนที่ 18 ความรู้สึกครั้งแรกของเจ้าหญิงน้ำแข็ง
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ มิโนริคุง”
“อืม อรุณสวัสดิ์ ชิโนโนะเมะ”
เช้าวันจันทร์ถัดมา หลังจากที่ชิโนโนะเมะขึ้นมาบนรถไฟ ผมก็ทักทายเธอเหมือนทุกครั้ง จากนั้นเราก็ขยับไปยืนที่มุมด้านข้างของตู้โดยสาร
แม้จะเป็นแค่กิจวัตรธรรมดา แต่มันก็ยังคงสร้างความเคยชินแปลกๆ ที่รู้สึกดีให้ผม
ชิโนโนะเมะถอนหายใจเบาๆ และในมือนั้น เธอถือถุงสีดำเรียบหรูที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เธอยื่นมันให้ผม
“นี่ค่ะ มิโนริคุง ฉันทำข้าวกล่องมาให้”
“ขอบคุณมากนะ ชิโนโนะเมะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าปริมาณมันน้อยไป เยอะไป หรือถ้ามีอะไรที่กินไม่ได้ บอกฉันได้นะคะ”
คำพูดอ่อนโยนของเธอทำให้ผมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“อืม เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากจริงๆ …ว่าแต่ เมื่อวานฉันก็พูดไปแล้วนะ แต่ขอพูดอีกครั้งว่าฉันกินแกงจนหมดเกลี้ยงเลยล่ะ มันอร่อยสุดๆ ถึงคำสุดท้ายเลย”
ชิโนโนะเมะยิ้มสดใสกับคำพูดของผม
“ดีจังค่ะ ฉันเองก็มีความสุขที่คุณชอบ …อาทิตย์นี้ฉันจะไปทำให้คุณอีกนะคะ รอคอยได้เลย”
“อืม ฉันจะรออย่างใจจดใจจ่อเลยล่ะ”
เราคุยกันต่อเล็กน้อยก่อนจะถึงโรงเรียน เช้านั้นรู้สึกสดใสกว่าที่เคย เพราะรอยยิ้มและความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ของชิโนโนะเมะที่ทำให้วันธรรมดาของผมมีสีสันขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
◆◆◆
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ! เดี๋ยวสิ!”
…เอาล่ะ จะอธิบายยังไงดีนะ?
ผมมองไปที่เออิจิที่จ้องมองข้าวกล่องในมือผมด้วยสายตาเหลือเชื่ออย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี จะให้เขาเชื่อว่าผมบังเอิญค้นพบพรสวรรค์ในการทำอาหารขึ้นมาเฉยๆ คงยากไปหน่อย
ยังดีที่ชิโนโนะเมะเลือกกล่องข้าวและถุงหิ้วสีดำเรียบง่าย มันดูไม่แปลกตาและเข้ากับผมได้ดี
“แกไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!?”
“…คิดแล้วว่าแกต้องพูดแบบนี้ แล้วตัวเลือกที่ว่าฉันอาจจะเป็นคนทำเองล่ะ?”
“ไม่มีทางน่ะสิ! แกทำอาหารไม่เป็นเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ก็จริงนะ เคยเล่าให้แกฟังแล้วนี่”
ถ้าเขาแค่เข้าใจผิดไปเองก็คงไม่เป็นไร แต่ผมไม่อยากโกหก อีกอย่างมันก็ดูไม่ให้เกียรติชิโนโนะเมะด้วย
…ดูเหมือนจะต้องพูดความจริง
“เป็นเพื่อนคนที่ฉันเคยเล่าให้ฟังน่ะ เธอทำมาให้”
“ชัดเลย! เธอสนใจแกแน่ๆ นี่มันเหมือนส่งสัญญาณชัดๆ!” [TLN:ขนาดเพื่อนยังรู้]
“ก็ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย”
“ไม่หรอก! แบบนี้มันชัดเจนสุดๆ! หรือแกจะบอกว่าตัวเองเป็นพวกพระเอกนิยายที่ซื่อบื้อ?”
“ไม่ใช่โว้ย”
ถ้าสถานการณ์นี้เป็นผู้หญิงคนอื่นนอกจากชิโนโนะเมะ ผมอาจจะคิดแบบนั้นเหมือนกัน
แต่เรื่องนี้มันพูดออกไปไม่ได้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเธอก่อน
“เอาเป็นว่า ฉันไม่ได้ซื่อบื้อขนาดนั้นหรอก มันมีเหตุผลหลายอย่าง”
“อย่าบอกนะว่า…เธอมีแฟนอยู่แล้ว?”
“ไม่ใช่ อย่าไปขุดคุ้ยเรื่องนี้เลย”
เออิจิดูครุ่นคิดเล็กน้อยกับคำพูดของผม
“…ในฐานะเพื่อนสนิท ฉันอยากถามแค่อย่างเดียว แกไม่ได้โดนปั่นหัวใช่มั้ย?”
“ไม่มีทาง นั่นไว้ใจฉันได้”
เมื่อผมพูดแบบนั้น เอย์จิก็ถอนหายใจออกมา
“ถ้าแกพูดแบบนั้น ฉันก็เชื่อแกก็แล้วกัน มีอะไรบอกฉันได้นะ”
…เออิจิเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ ผมรู้สึกโชคดีที่มีเขาเป็นเพื่อน
“อืม ขอบใจนะ ถ้ามีอะไรฉันจะบอกแน่”
จากนั้น ผมก็เตรียมเปิดข้าวกล่องออก แต่เอย์จิก็ดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างอีก
“เอาล่ะ ลองหยั่งเชิงดูหน่อยละกัน”
“พูดอะไรนะ?”
ด้วยความที่เราอยู่ในห้องเรียนที่มีเสียงจอแจ ผมไม่ได้ยินชัดเจน แต่เอย์จิก็ส่ายหัว
“เปล่า ไม่มีอะไร หิวแล้วล่ะ กินข้าวกันเถอะ”
“อืม เอาสิ”
ผมเปิดข้าวกล่องออกมา และเออิจิก็อุทานออกมาเสียงดัง
“โห!”
“สุดยอดเลยนะ นี่มันจัดเต็มมากๆ”
ข้าวกล่องของผมแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นหนึ่งมีข้าวสวยขาวสะอาด อีกชั้นเต็มไปด้วยกับข้าวที่หลากสีสัน
ทั้งผัดผัก บร็อกโคลีอบเนย ไส้กรอกปลาหมึก เนื้อพันโกโบ และไข่ม้วน ทุกอย่างดูน่าทานสุดๆ
“ขอบคุณสำหรับอาหารครับ”
ผมเริ่มกินทีละคำ
“…อร่อยมาก”
รสชาติของอาหารทุกอย่างลงตัว ไข่ม้วนไม่ใช่แบบหวาน แต่เป็นรสเค็มที่เข้ากับข้าวได้ดี ส่วนกับข้าวอื่นๆ ก็ปรุงรสอย่างพอดี
ตอนที่ผมกินอยู่นั้น เอย์จิก็มองมาที่ผมอย่างตั้งใจ
“มองอะไร ไม่แบ่งให้หรอกนะ”
“ฉันไม่ได้มองเพราะอยากกินหรอก… แต่แกดูเหมือนกำลังกินของอร่อยมากๆ น่ะ ไม่เคยเห็นแกกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย”
คำพูดของเออิจิทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย
…หรือว่า? ไม่สิ มันไม่น่าจะเป็นไปได้หรอก
“มะ มันคงแค่จินตนาการของนายมั้ง?”
“…อย่างนั้นเหรอ?”
ผมพยักหน้ารับคำของเออิจิแล้วกินต่อ
แต่ยิ่งกิน ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าแก้มเริ่มจะยกขึ้นเองโดยไม่รู้ตัวจนต้องเอามือกดไว้
…อา แบบนี้เอง
นี่คงเป็นเพราะชิโนโนะเมะ เวลาที่เธอกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย มันคงส่งผลกับผมจนเผลอแสดงออกเหมือนเธอ
แต่ในเมื่อเธอตั้งใจทำมาให้ ผมจะทำหน้าเหมือนกินแล้วไม่อร่อยมันก็คงไม่ถูก
ท้ายที่สุด ผมก็กินข้าวกล่องจนหมด ในขณะที่เออิจิยังคงมองมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ตลอดเวลา
◆◆◆
“ขอบคุณสำหรับอาหารนะ ข้าวกล่องวันนี้อร่อยมาก”
“ดีจังค่ะ ดูเหมือนจะถูกปากมิโนริคุง ฉันก็ดีใจ”
ระหว่างทางกลับบ้านบนรถไฟ ผมคืนกล่องข้าวให้ชิโนโนะเมะ เธอรับไปด้วยใบหน้าที่ดูเปี่ยมสุข
“พรุ่งนี้ฉันจะทำมาให้อีกนะคะ อย่าลืมรอทานล่ะ”
“อืม ขอบใจมากนะ”
คำพูดของเธอทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
…และในที่สุด ผมก็เผลอปล่อยให้รอยยิ้มระบายบนใบหน้าของตัวเองโดยไม่ทันได้รู้ตัว
◆◆◆
“นี่ โชตะ มีเรื่องอยากขอช่วยหน่อย จะได้ไหม?”
“…ขอให้ช่วยอะไรล่ะ?”
วันต่อมา เออิจิจู่ๆ ก็เข้ามาขอร้องอะไรบางอย่างจากผม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก ผมจึงถามกลับไปอย่างสงสัย
“คิริกะเธอบอกว่าอยากไปร้านขนมหวานที่เป็นร้านพิเศษให้ได้เลย แต่ปัญหาคือ นายก็น่าจะรู้ว่าฉันไม่ค่อยชอบของหวานใช่ไหม?”
“อืม เคยบ่นให้ฟังอยู่เหมือนกัน”
เออิจิไม่ถูกกับของหวาน ในขณะที่แฟนสาวของเขา นิชิซาวะ คิริกะ เป็นคนรักขนมหวานเป็นชีวิตจิตใจ แถมยังชอบเที่ยวร้านขนมเป็นงานอดิเรก
“ทีนี้ เธอบอกว่าร้านนั้นกำลังมีงานเทศกาลมองบลังค์ประจำฤดูใบไม้ร่วงอยู่ แต่มันจะจบอาทิตย์นี้แล้ว เพื่อนคนอื่นก็ไม่ว่างกันหมด… ฉันเลยอยากให้นายไปเป็นเพื่อนเธอหน่อย จะได้ไหม?”
คำพูดนั้นทำให้ผมถึงกับอึ้งไป
“ไปเนี่ย… ให้ไปกันแค่สองคนเหรอ?”
“ใช่ เธอบอกว่าถ้าไปคนเดียวมันไม่สนุก”
“…แล้วนายไม่รู้สึกแย่เหรอ? ที่ให้แฟนตัวเองไปกับผู้ชายคนอื่น?”
พอได้ฟังคำถาม เออิจิก็หัวเราะ
“ฉันเคยบอกนายแล้วไง ว่าฉันไม่ได้คิดมากเรื่องนี้… แต่ถ้าจะให้ไปกันสองคนจริงๆ ฉันก็มาปรึกษานายก่อนนี่แหละ”
คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกดีใจขึ้นมานิดหน่อย
เพราะมันทำให้รู้ว่าเขาเชื่อใจผม… แต่ปัญหาก็คือ
“สรุปเขาอยากไปวันไหนล่ะ?”
“วันพฤหัสฯ มะรืนนี้”
“งั้นก็ต้องเป็นหลังเลิกเรียนสินะ…”
ผมมีนัดกับชิโนโนะเมะอยู่แล้วหลังเลิกเรียน แต่ก็ต้องคิดดูให้ดี
“คือว่าหลังเลิกเรียนฉันมีธุระน่ะ ขอไปปรึกษาอีกฝ่ายก่อนแล้วจะบอกนายคืนนี้”
“อ้อ ได้เลย!”
หลังพูดแบบนั้นกับเออิจิ ผมก็เริ่มคิดหนักว่าจะบอกชิโนโนะเมะยังไงดี…
◆◆◆
“ไปกับผู้หญิงสองต่อสองเหรอคะ?”
สุดท้ายผมก็ตัดสินใจบอกชิโนโนะเมะไปตามตรง การปิดบังอะไรแบบนี้น่าจะไม่ใช่เรื่องดี
“ใช่ อย่างที่บอกไปเมื่อกี้ สองคนนั้นไม่ได้ถือสาอะไร… แต่ถ้าเธอรู้สึกไม่สบายใจ ฉันจะปฏิเสธก็ได้”
แน่นอนว่าความสำคัญของชิโนโนะเมะต้องมาก่อน ผมจึงถามความคิดเห็นของเธอ
เธอได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ… ช่วยเลือกทางนั้นเถอะ เพราะพวกเขาเป็นเพื่อนที่สำคัญของคุณใช่ไหมคะ? สำหรับฉัน แค่ไปรอที่สถานีที่คุณจะลงก็พอแล้ว”
“ขอบคุณนะ ฉันจะไปรับเธอเอง ช่วยรออยู่ที่นั่นหน่อยนะ… อาจจะใช้เวลาสักพัก แต่ฉันจะรีบไป”
ชิโนโนะเมะยิ้มเล็กๆ ให้ผม
“ไม่เป็นไรค่ะ วันพฤหัสฯ ฉันก็ไม่ได้มีเรียนพิเศษอะไรอยู่แล้ว”
คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกขอบคุณเธอมากๆ และหลังจากนั้นผมก็ส่งข้อความตอบรับให้เออิจิทันที
◆◇◆
วันพฤหัสบดี
หลังเลิกเรียน ฉันก็เดินตรงไปยังสถานีรถไฟ
‘น่าจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที’
ข้อความจากมิโนริคุงส่งมาถึงฉัน ฟังดูแล้วก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร… ตอนนั้น ฉันคิดแบบนั้น
“…รู้สึกไม่สงบเอาเสียเลย”
ฉันเผลอพึมพำออกมา เพราะใจที่กำลังว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่ได้การละ… แบบนี้ไม่ดีแน่”
ฉันพยายามบอกตัวเอง
ทันใดนั้นเอง รถไฟที่มุ่งหน้าไปยังสถานีของเขาก็มาถึงพอดี
เหมือนร่างกายจะขยับไปเองโดยไม่ทันคิด… ฉันก้าวขึ้นรถไฟไปแล้ว
◆◆◆
“ไม่ได้การเลยนะคะ… ฉันเสียความเยือกเย็นไปซะแล้ว”
เดิมที ไม่น่าจะใช่แถวนี้ที่มิโนริคุงบอกว่าจะมา
ฉันถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินต่อไป
บริเวณนี้ ฉันเคยมาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ตอนที่มาซื้อเสื้อผ้ากับเขา ดังนั้นฉันจึงเผลอมองไปรอบๆ อย่างไม่ตั้งใจ
“มีอะไรเยอะแยะไปหมดเลยนะคะ มิโน…”
ฉันเกือบเผลอเรียกชื่อเขาออกมา… ก็เพราะทุกครั้งที่มาสถานที่ใหม่ๆ มิโนรุคุงจะอยู่กับฉันเสมอ
ฉันเม้มริมฝีปากแล้วออกเดินอีกครั้ง
จนกระทั่งฉันเห็นร้านหนึ่งสะดุดตา มันดูเหมือนคาเฟ่ แต่ที่จริงแล้วกลับเป็นร้านขนมหวานโดยเฉพาะ
ในร้านนั้นมีการจัดงานเฟสติวัลขนมมงบล็องซึ่งจะมีถึงแค่สิ้นสัปดาห์นี้… ฉันอดคิดไม่ได้
“ถ้าชวนมิโนริคุงมาที่นี่ เขาจะมาด้วยไหมนะ”
ฉันพึมพำเบาๆ ก่อนจะส่ายหัวทันที ที่นี่มันใกล้กับโรงเรียนของเขาเกินไป ถ้ามาอาจทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ไม่ได้เด็ดขาด
ฉันกำลังคิดว่าควรกลับแล้วหรือยัง
และในตอนนั้นเอง
ฉันเห็นเข้า
“—มิโนริคุง!”
เขากำลังนั่งอยู่กับผู้หญิงสวยคนหนึ่ง ทั้งสองดูมีความสุขขณะกินมงบล็องด้วยกัน
อ้อ ใช่สิ เขาพูดถึงเฟสติวัลขนมหวานนี่นี่เอง… ก็คือที่นี่สินะ
จู่ๆ หัวใจก็เหมือนถูกบีบแน่นจนเจ็บปวด
ฉันเป็นคนอนุญาตเขาเอง… รู้ดีอยู่แก่ใจ
แต่ก็ยังเจ็บ… อยากจะถามว่าทำไม แต่กลับเปล่งเสียงอะไรออกไปไม่ได้
ราวกับลืมวิธีหายใจไปแล้ว ฉันรู้สึกสับสนและมึนงง
แล้วเมื่อฉันรู้ตัวอีกที…
ฉันก็กลับมายืนที่สถานีของตัวเองเสียแล้ว
[TLN:ต่อจากนี้คือของจริง]