หฤโหดโคตรนักเวทย์ (Mage are too Op) - ตอนที่ 143
ตอนที่ 143 : ยืนสง่าหรือคุกเข่า
จอห์นคนพ่อนั้นไม่ได้สวมเกราะหนัก มันเป็นเพียงแค่เกราะเบาที่หนาเท่านั้น
มันไม่ใช่ว่าเพราะเขาแก่เกินกว่าจะสวมชุดเกราะหนักช่วงอายุของผู้เชี่ยวชาญล้วนมากกว่าคนธรรมดา และแก่ชรายากกว่าคนทั่วไปมาก
ถึงแม้ว่าจอห์นจะสี่สิบแล้ว แต่รูปร่างหน้าตาของเขาดูเหมือนสามสิบต้นๆเท่านั้นและเพราะหน้าตาของเขาเต็มไปด้วยหนวดเครา
หากเขาโกนหนวดออกและเดินออกไปด้านนอกพร้อมบุตรชายของเขา บางที่ผู้ที่ไม่รู้อาจจะคิดว่าเขาเป็นพี่น้องกันมากกว่าเป็นพ่อลูกกัน
การต้องช่วยใครสักคนในการใส่เกราะ หน้าที่นี้ปกติจะเป็นของนักรบฝึกหัด และหากมีญาติสนิทถูกขอร้องให้ใส่เกราะให้นั่นหมายถึงพวกเขากําลังจะไปสงคราม และมันเป็นบรรยากาศเพื่อเตรียมพร้อมล่วงหน้าก่อนการเกิดสงคราม
จอห์นรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินคําพูดของพ่อของเขา
ในฐานะทายาท เขานั้นถูกปกป้องเป็นอย่างดีและไม่เคยย่างเท้าเข้าสู่สนามรบมาก่อน
แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ
จอห์นนั้นสนใจเกี่ยวกับสงครามเป็นพิเศษ แต่เนื่องจากคําสั่งของพ่อเขา เขาเลยไม่เคยเข้าไปใกล้สนามรบมาก่อน
และตอนนี้เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้สํารวจสนามรบโดยตรง โดยไม่มีอันตรายใดๆเข้ามาตรงหน้าเขา
จอห์นไม่อยากพลาดโอกาสนี้
จอห์นคนพ่อเองก็ไม่อยากให้ลูกชายของเขาพลาดโอกาสหายากแบบนี้ โอกาสที่เขาจะได้สอนโดยตรง
ด้วยความช่วยเหลือของลูกชาย จอห์นคนพ่อสวมเกราะเบาทั่วทั้งตัวได้สําเร็จจากนั้นเขาก็หันไปหาลูกชายและพูดว่า “ลูกตั้งแต่นี้ต่อไปเข้าจะได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการสู่สายตาของสาธารณชนเสียที่ว่าลูกนั้นคือทายาทของเมืองเดลพอน และจากนี้ไปเหล่านกน้อยต้องร้องเพลงเพื่อสรรเสริญเจ้าดอกไม้จะเบ่งบานเพื่อเจ้า และเจ้าจะกลายเป็นคนที่มีเกรียติสูงสุดในเดลขอนแห่งนี้”
ทั่วทั้งร่างของจอห์นสั่นไปด้วยความตื่นเต้น เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งและมองไปที่พ่อของเขาอย่างปราบปลื้ม “ข้าจะรักและเคารพท่านตลอดไป ท่านพ่อที่รักของข้า”
ในขณะที่ตระกูลเจ้าเมืองกําลังแสดงความรักระหว่างพ่อลูกและความกตัญญูอยู่นั่นเองโรแลนด์และเจ็ทกําลังนั่งอยู่บนเรือลําเล็ก
ถึงแม้ว่าดวงอาทิตย์จะส่องแสงร้อนเหนือหัวอย่างรุนแรงจนผมเกือบจะไหม้ ทว่าใบหน้าของเจ็ทกลับซีดเซียวอย่างมาก
โรแลนด์นั่งอยู่ตรงกันข้ามเขา กําลังนั่งอ่านหนังสือเวทย์ที่หยิบออกมาจากกระเป๋ามิติและถามว่า “นายกลัวน้ํางั้นเหรอ? ว่ายน้ําไม่เป็นเหรอ?”
“ไม่ ฉันกลัวทะเลเฉยๆ!” เจ็ทหัวเราะออกมาอย่างกระอักกระอ่วน “ฉันมักจะกังวลว่าเรือจะชนกับโขดหินหรือพัดไปโดยคลื่นหรือไม่”
โรแลนด์คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปยังทะเลรอบข้างเรือ เขานํานิ้วแตะลงไปยังแม่น้ํา
นิ้วของเขานับเป็นจุดศูนย์กลาง จากนั้นพื้นผิวของแม่น้ําก็เริ่มแข็งไปในทันที กลายเป็นน้ําแข็งสีขาวรัศมีกว่า 5 เมตร ปกคลุมไปทั่ว
จากชั้นน้ําแข็งบางๆมันก็เริ่มแข็งในทันที และการนั้นก็กลายเป็นชั้นน้ําแข็งราวครึ่งเมตร
เรือลําเล็กเองก็ถูกแช่แข็งไปเช่นกัน
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่ชั้นน้ําแข็งที่ลอยอยู่เหนือน้ําและถูกกัดเซาะไปอย่างช้าๆ แต่มันก็ช่วยยึดให้เรือไม่โคลงเคลงได้
เจ็ทดีใจและกระโดดไปยังชั้นน้ําแข็ง เดินไปโดยรอบ และพบว่ามันแข็งมาก เขาอุทานออกมาว่า “โหย นี่มันโคตรโหด นายใช้เวทย์อะไรงั้นเหรอ? วงแหวนเยือกแข็ง หรือดัชนีเยือกแข็ง?”
“ไม่ใช่ทั้งคู่นั่นแหละ มันก็แค่การใช้องค์ประกอบเวทย์อย่างง่ายๆโดยเปลี่ยนให้มันเป็นธาตุน้ำแข็งและคลุมพื้นผิวแม่น้ําเอาไว้”
“เหมือนกับหยดหมึกลงน้ําอ่ะนะ?” เจ็ทถามออกมา
โรแลนด์พยักหน้า เขาเองก็กระโดดออกจากเรือและยืนบนน้ําแข็งเช่นกัน
ในวงกลมรัศมีกว่า 5 เมตรนั้นค่อนข้างใหญ่พอสมควรเมื่อเทียบกับเรือ
แม้พวกเขาทั้งสองจะยืนอยู่บนมัน แต่มันก็ยังดูกว้างมาก
และเนื่องจากชั้นน้ําแข็ง ทําให้ทั้งสองเริ่มรู้สึกหนาว
เจ็ทมองไปที่น้ําแข็งใต้เท้าเขาและหันไปหาโรแลนด์พร้อมถามคําถามที่สงสัยออกมา “นายมีมานาเท่าไหร่กันเนี่ย?”
“200!” มันไม่ได้สําคัญอะไรโรแลนด์เลยไม่ได้ปิดบังมัน
มันมีสูตรตายตัวในการคํานวนค่าการเติบโตของมานาอยู่และด้วยฉายาของผู้ค้นพบเวทย์มันทําให้ทุกคนที่เก่งเลขเข้าใจมันอยู่แล้ว ดังนั้นมันไม่จําเป็นต้องโกหกแม้แต่น้อย
เจ็ทเงยหน้ามองฟ้าด้วยความเศร้า “ฉันพึ่ง 82 เอง แถมนั่นรวมสกิลเสริมแล้วด้วย พวกเราเป็นผู้ใช้เวทย์เหมือนกัน เลเวลพวกเราก็เหมือนกัน ทําไมค่ามานาของพวกเราต่างกันขนาดนี้?”
โรแลนด์พูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “พวกเรานักเวทย์นั้นเลือกที่จะเพิ่มค่าสถานะการเติบโตไปที่ความฉลาดเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่นักบวชจะเน้นไปที่สถานะการต้านทาน ฝ่ายหนึ่งมีมานามากกว่าส่วนอีกฝ่ายฟื้นฟูพลังเวทย์ได้เร็วกว่าพวกเราไม่สามารถเทียบกันได้หรอก”
“แต่นายมีสกิลพิเศษในการช่วยฟื้นฟูพลังเวทย์นี้ แถมยังได้เอฟเฟคเป็นสองเท่าด้วย!” เจ็ทมองไปที่เขา “ดีกว่าที่พวกเรามีชัดๆ”
เอ่อ…ก็จริง โรแลนด์นั้นไม่เพียงแค่มีค่ามานาเป็นสองเท่าของเจ็ท ทว่ายิ่งกว่านั้นค่าการฟื้นฟูพลังเวทย์ของเขายังมากกว่าเจ็ทที่เป็นนักบวชอีกด้วย
ถึงแม้ว่านักบวชไม่จําเป็นต้องเรียนเวทย์เหมือนกับนักเวทย์ เมื่อพวกเขาร่ายเวทย์พวกเขาแต่ใช้พลังจิตเพื่อสื่อสารกับจิตวิญญาณของเทพและขอยืมพลังแห่งเทพมาเพื่อใช้ตามจุดประสงค์ของเวทย์
นี่เป็นสาเหตุว่าทําไมมานาถึงสําคัญกับนักบวชเช่นกัน
“ลืมไปเถอะ มันเทียบกันไม่ได้อยู่แล้วระหว่างคนธรรมดากับอัจฉริยะ” เจ็ทค่อนข้างเปิดกว้างพอสมควร “นายคิดว่าจอห์นคนพ่อนั่นจะตกหลุมพรางนี้ไหม?”
โรแลนด์คิดและพูดว่า “โอกาสดีขนาดนี้ทําไมเขาจะไม่คว้าเอาไว้ละ?”
“อะไรทําให้นายมั่นใจขนาดนั้น? จากนิสัยของจอห์นพวกเราน่าจะยังไม่รู้จักเขามากขนาดนั้น”
โรแลนด์โยนหนังสือเวทย์กลับไปในกระเป๋ามิติและพูดว่า “นายเคยเล่นเกมออนไลน์ประเภทนํากองทัพมาก่อนรึเปล่า?”
“เจ็ทส่ายหน้าออกมา”
“มีเกมหนึ่งจําลองเกมเป็นยุคสงคราม ฉันชอบเล่นเป็นทหารม้าเบามากที่สุด เมื่อฉันเห็นศัตรูที่อยู่คนเดียวหรือออกห่างจากกองทัพฉันมักจะใช้โอกาสนี้พุ่งเข้าโจมตีทันที” โรแลนด์กล่าวด้วยความคิดถึง “เกือบทั้งหมดมันมักจะได้ผล ผู้เล่นที่เล่นกองกําลังทหารม้ามักจะมีนิสัยมองหา “ช่องว่าง” ของศัตรูและโจมตีด้วยสัญชาติญาณ แต่บางครั้งมันก็เป็นกับดักของศัตรู เมื่อนายพุ่งไปหาพวกเขาก็จะมีทหารที่ซุ่มอยู่มาล้อมรอบตัวนายไว้”
เจ็ทเข้าใจทันที “นายตัดสินจากประสบการณ์ของตัวเองและคิดว่าจอห์นน่าจะเคลื่อนไหวเมื่อพวกเรา “แบ่งกองกําลัง” กันใช่ไหม?”
โรแลนด์พยักหน้า “ฉันเล่นทหารม้าในเกมนี้มากว่าหมื่นครั้งแล้วเป็นเวลาหลายปี ฉันสามารถบอกว่าฉันสู้กับทุกคนในเซิร์ฟแล้ว แต่ฉันยังมีวินเรทที่สูงมากและฉันมักจะเล่นเพียงแค่ทหารม้าเชื่อเถอะว่าทหารม้าเป็นทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุด แม้ในการรบพื้นราบ ฉันก็ใช้ทหารม้าฉันมักจะโดนเพื่อนร่วมทีมด่าอยู่บ่อยๆเลย ฮ่าฮ่า”
“แนวคิดแบบนี้คล้ายๆกับจอห์นเลยสินะ!” เจ็ทตัวแข็งไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็เข้าใจได้ทันที “พวกนายเป็นคนประเภทเดียวกันสินะ”
“อ่าหะ ดังนั้นฉันคิดว่านี่จะเป็นโอกาสดีที่เขาจะพุ่งมาสังหารเขา” โรแลนด์พูดอย่างสบายๆ
เจ็ทเศร้าลงเล็กน้อย “ฉันคิดว่าฉันต่างจากพวกนายมากที่คิดกลยุทธ์พวกนี้ออกมาได้ ฮอร์กเป็นถึงวิศวกรโยธาและด้วยขอทานไม่กี่ร้อยคนเขาสามารถสร้างท่าเรือและสร้างสภาพแวดล้อมในการจัดการกับทหารม้าได้อย่างง่ายดาย ในขณะเดียวกันนายก็สามารถคาดเดาลักษณะนิสัยของศัตรูและจัดการตอบโต้กลับได้ แต่ฉันสิทําได้แค่ไปโบสถ์และภาวนาในทุกๆวันเท่านั้นดูไร้ประโยชน์สิ้นเชิงดูเหมือนว่าฉันต้องศึกษาพวกจิตวิทยาตั้งแต่วันนี้แล้วสินะ”
โรแลนด์หัวเราะออกมาเสียงดัง “นี่มันแค่การคาดเดาของฉันเท่านั้น บางที่จอห์นอาจจะไม่ตกหลุมพลางก็ได้”
จากนั้นโรแลนด์ ควาดคิดของโรแลนด์ก็ได้รับการยืนยัน
“ฮอร์กต้องการแชร์ภารกิจระดับอีปิคให้แก่ท่าน”
ต่อต้านการโจมตีของกองทัพเมืองเดลพอน
พวกเขาได้รับการแจ้งเตือนภารกิจเข้ามา พวกเขากดยืนยันภารกิจโดยไม่ลังเล
หลังจากอ่านรายละเอียดของภารกิจ เจ็ทก็มองไปยังโรแลนด์ด้วยท่าทีไม่พอใจ เหมือนกับมีมที่ว่าฉางเหว่ยบอกกับนายว่านายไม่รู้ศิลปะการต่อสู้
โรแลนด์หัวเราะขึ้นมา เขามองไปยังทางที่ห่างออกไป “แผนได้ผลสินะ แต่ดูเหมือนพวกเราต้องจัดการกับปัญหานิดหน่อยก่อนที่พวกเราจะสามารถกลับไปได้”
จากฝั่งต้นน้ําที่อยู่หลังพวกเขา มีเรือรบขนาดกลางสองลํากําลังมุ่งหน้ามายังปลายน้ําด้วยความเร็ว
ใบเรือสีขาวของพวกเขาถูกวาดเป็นรูปโล่ห์เป็นสัญลักษณ์ของเมืองเดลพอล
ในเวลาเดียวกัน ฮอร์กและลิงค์ที่ยืนอยู่บนหอคอยมองไปยังกองทัพที่กําลังออกมาจากทางเมืองเดลพอน
มีราวๆกว่าเจ็ดร้อยคน และพวกเขาออกจากเมืองและมุ่งหน้าตรงมายังท่าเรือ จากนั้นขบวนก็กระจายออกพร้อมล้อมรอบท่าเรือแห่งนี้จากในระยะไกล
มีกลุ่มของมือธนูอยู่หลังพวกทหารราบ
พวกเรารวมกันเกือบๆพันคน
และไม่มีทหารม้าอยู่เลย
ลิงค์มองไปยังเบื้องหลังของเขายังแม่น้ําขนาดใหญ่ จากนั้นก็หันหลังกลับมาและกล่าวว่า“ทางแม่น้ําเองก็ถูกปิดล้อมเหมือนกัน ทว่ามีเรือรบสองลํากําลังพุ่งมายังปลายน้ํา พวกนั้นน่าจะเข้าโจมตีโรแลนด์กับเจ็ท”
ฮอร์กสูดลมหายใจเข้า “เป็นเหมือนที่โรแลนด์คิดไว้เลย หมอนั่นวางแผนได้เก่งมาก หากเขามาอยู่ในกิลด์เราละก็ ฉันคงมอบตําแหน่งรองหัวหน้าให้เขาเลย”
ลิงค์แค่ยิ้มออกมา “นายเป็นคนเดียวที่เป็นรองหัวหน้าสําหรับฉัน”
ฮอร์กไม่ได้คิดมากนัก เขาและลิงค์เจอกันในเกมมานานมากแล้วและมักจะย้ายเกม เล่นกันไปเรื่อยๆ
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่เคยเจอตัวจริงของกันละกัน แต่พวกเขาก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานพวกเขาเข้าใจกันและกันได้เป็นอย่างดี
ฮอร์กรอครู่หนึ่งก่อนพูดออกมาว่า “มาเคลื่อนย้ายกองกําลังของเรากันแถอะ”
ทั้งสองเดินลงมาจากหอคอยสังเกตุการณ์
มีคนกว่าสามร้อยคนยืนรอพวกเขาอยู่
คนพวกนี้ยืนตรง มือของพวกเขาอยู่ข้างลําตัว ใบหน้าของพวกเขาเชิดสูงขึ้น
พวกเขาดูมีชีวิตชีวาเลยทีเดียว
ฮอร์กมองไปที่พวกเขาพร้อมกล่าวอย่างเคร่งเครียด “พวกนายนั้นเป็นขอทานกันมาก่อนทั้งต่ําต้อยและน่ารังเกียจ พวกขุนนางไม่เคยให้ความสนใจพวกนายเลยแม้แต่น้อย พ่อค้าเองก็ดูถูกทั้งพวกสามัญชนก็ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่มีใครอยากช่วยเหลือ แต่ในตอนนี้พวกนายมีที่อยู่จากความยากลําบากของตัวเอง ทว่าพวกเขาดูเหมือนไม่ต้องการให้พวกเรามีชีวิตที่ดี พวกมันต้องการทําลายทุกสิ่งที่พวกเรามี และพวกมันคิดว่าพวกเราไม่ควรมีชีวิตที่ดี พวกมันต้องการให้พวกเรากลับกลายเป็นเศษขยะอีกครั้ง! พวกนายยินยอมงั้นเหรอ?”
พวกเขาแต่งกายในชุดทหารพร้อมมีความเกรี้ยวกราดในดวงตาของพวกเขา
“ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของพวกเราแล้ว ทําไมพวกเราถึงเกิดมาต่ําต้อย ทําไมพวกเราถึงไม่สามารถมีชีวิตที่ดีได้ ทําไมพวกมันถึงเอาเปรียบพวกเราได้ทําไมมันถึงทําตัวเย่อ หยิ่งกับพวกเราได้เ” ฮอร์กตบไปที่หน้าอกของตัวเองและคํารามออกมา “ฉันไม่ยินยอม! จะยอมมี ชีวิตรอดและคุกเข่าต่อไปหรือยอมยืนตายอย่างมีเกรียติ พวกนายเลือกอะไรกัน?ตอบมาซะ!”
เหล่าทหารต่างถูกปลุกใจขึ้นใบหน้าของพวกเขาแดงก่ําเส้นเลือดปูนขึ้นมาจากหน้าผากลําคอพวกเขาชอาวุธขึ้นสูง “ยืนตายอย่างมีเกรียติ!”
“ยืนตายอย่างมีเกรียติ!”
“ยืนตายอย่างมีเกรียติ!”
เสียงคํารามดังต่อเนื่องเหมือนเสียงคํารามของมังกร มันกระจายไปยังนกโดยรอบและทําให้เหล่าหมาป่าโดยรอบสั่นหางด้วยความหวาดกลัว
ฮอร์กนํามือลงและเหล่าทหารก็เงียบลงในทันที ดวงตาของทุกคนต่างลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง
“พวกเราสามารถมีชีวิตที่ดีได้ด้วยมือของพวกเราเอง ด้วยจอบ ด้วยเคียว ตอนนี้ด้วยมือของพวกเราพวกเราสามารถเป็นกองทัพเพื่อจัดการพวกมัน ทําให้พวกมันหวาดกลัว ทําให้พวกมันลืมคําว่า “ต่ําต้อย” ที่มันเคยพูดกับพวกเราทิ้งไปซะ ทําให้คนรุ่นต่อไปของพวกเราสามารถเดินไปภายในถนนได้อย่างสง่างาม! พวกเขาจะได้อยู่ในบ้าน ไม่ต้องหวาดกลัวเมื่อพบเจอพ่อค้าหรือขุนนางไม่ต้องรู้สึกอับอายเพราะสถานะของตนเอง”
ดวงตาของเหล่าทหารขอทาน เต็มไปด้วยเพลิงแห่งความโกรธแค้น ทว่าตอนนี้มันมีอีกสิ่งหนึ่งเพิ่มเข้ามาคือความหวัง
ฮอร์กหัวเราะออกมาเบาๆ “จัดการพวกมันซะแล้วพวกเราสามารถมีชีวิตได้อย่างมีเกรียติ!”
“มีชีวิตได้อย่างมีเกรียติ!”
ราวกับเสียงคํารามพร้อมกันของเหล่าสิงโตกว่าร้อยตัวดังออกมาพร้อมกัน เสียงคํารามทําให้เมฆบนท้องฟ้าราวกับกําลังพังทลาย
เมฆบนฟากฟ้าถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ