หฤโหดโคตรนักเวทย์ (Mage are too Op) - ตอนที่ 142
ตอนที่ 142 : กักขัง
รูปปั้นของโลแลนนั้น ตั้งอยู่บริเวณเมืองหลวงอยู่ใกล้กับทะเลสาบ
รูปปั้นนั้นถูกสร้างด้วยทรายสีเงิน และปกป้องด้วยกฎของเกมที่ว่าไม่สามารถทําลายและไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้
รูปปั้นนั้นสูงประมาณ 3 เมตร เป็นรูปของชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมเวทย์ธรรมดาๆ มือสองข้างยกขึ้นมา ใบหน้าแหงนมองท้องฟ้าเป็นมุม 45 องศา ทําให้ท่าทางของชายหนุ่มนั้นราวกับศิลปิน
ยิ่งไปกว่านั้น มีอ่างสีทองขนาดใหญ่ ซึ่งดูราวกับเป็นถ้วยที่แตกหัก ตั้งอยู่บริเวณเท้าของรูปปั้นทราย
จริงๆแล้วนั้นมันเป็นอ่างทองแดง ทว่าเมื่อมันยังไม่ได้ออกซิไดซ์ มันจึงเป็นทองแดงที่มีสีทอง
โรแลนด์รู้สึกได้ถึงเจตนาของผู้พัฒนาเกมทันทีหลังจากอ่านจบ
รูปปั้นทรายที่มีชามแตกใบใหญ่ ไว้สําหรับการขอเหรียญทอง นี่ถือเป็นสัญลักษณ์ของความร่ํารวย
นี่มันหลอกลวงกันชัดๆ
หรือว่านี่เป็นการแอบด่ากันงั้นหรอ? โรแลนด์คิดสิ่งนี้อยู่ในใจ
ทางทีมผู้พัฒนาเกมนั้นสร้างรูปปั้นทรายนี้ขึ้นมาเพื่อให้สําหรับผู้เล่นที่เป็นนักเวทย์ที่ต้องการเรียนสกิลติดตัวการฟื้นฟูมานา ต้องมายังรูปปั้นนี้พร้อมทั้งโยนเหรียญให้กับมันเสียก่อน
ถ้าหากให้ประเมินแบบคร่าวๆขั้นต่ําโรแลนด์จะได้รับเงินอย่างน้อย 10 ล้านหรือ 20 ล้านหยวนและหากเป็นอย่างมากบางทีเขาอาจจะได้มากกว่าร้อยล้านก็เป็นได้
อีกนัยหนึ่งก็คือผู้พัฒนาเกมได้ส่งเงินกว่า10 หรือ 100 ล้านหยวนมาให้โรแลนด์โดยตรงแล้วเขาจะบ่นอะไรได้อีก?
การได้รับเงินกว่าล้านหยวนในการหาข้อผิดพลาดของเกมและเงินนั่นก็มาจากผู้เล่นซะส่วนใหญ่พวกเขาราวกับฝูงแกะ ต่อให้คนส่วนใหญ่รับได้ แต่ตราบใดเท่าที่ยังมีคนอิจฉาอยู่และรู้สึกว่าโดนเอาเปรียบพวกเขา พวกเขาก็จะไปโพสต์ระบายภายในฟอรั่มและเรียกคนมากมายมาพูดคุยกันภายในกระทู้ของเขา โดยกล่าวอ้างว่าโรแลนด์นั้นเป็นนักการตลาดของเกมและมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทหรือบอกว่าเขานั้นเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาซึ่งใช้วิธีนี้เรียกเก็บเงินจากเหล่าผู้เล่น
เรื่องพวกนี้จะทําให้เกิดความปั่นปวนได้ง่ายมาก
ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่เชื่อ แต่ตราบใดที่ยังมีคนเชื่ออยู่ มันก็จะกลายเป็นปัญหาสําหรับโรแลนด์
และนี่ก็ส่งผลต่อบริษัทเกมเช่นกัน
โรแลนด์คิดว่าทางผู้พัฒนาเกมนั้นออกแบบรูปปั้นนี้มาเพื่อให้คนส่วนใหญ่หัวเราะใส่และยอมจ่ายได้โดยง่ายโดยทําให้พวกเขาลดอารมณ์โกรธแค้นกับโรแลนด์ให้ได้มากที่สุด
แน่นอนเป็นแค่ความคิดของโรแลนด์เท่านั้น
โรแลนด์ส่ายหัวออกมายังอดไม่ได้ เขารู้ดีว่าฉายาไอ้งเง่านี้จะติดตัวเขาไปในอนาคตทําให้เขารู้ สึกปวดหัวเล็กน้อย
หลังจากนั้นทุกคนก็บิดฟอรั่มและเริ่มกินหม้อไฟกัน
“ความรู้เกี่ยวกับอาหารในโลกนี้ต่ํามากๆ อาหารส่วนใหญ่รสชาติแย่มาก ขนาดอาหารในงานเลี้ยงที่พวกเราได้กินเมื่อวานในปราสาทของนายกยังไม่อร่อยเลย” ฮอร์กในตอนนี้นั้นต้องกินอาหารปริมาณที่มากกว่าเดิม ตอนนี้เขานั้นตัวใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม เขากินอย่างจริงจังและพูดว่า“พวกเราทํากินเองยังดีซะกว่า”
โรแลนด์ตักเนื้อใส่จานเขาพร้อมถอนหายใจออกมา “คนส่วนใหญ่ยังไม่มีจะกินเลย ทําไมพวกเขาต้องสนใจด้วยละว่าจะทํายังไงให้มันอร่อย?”
“แต่ฉันคิดว่ามันเป็นความสามารถเฉพาะเชื้อชาติมากกว่า” ลิงค์กินอย่างสุภาพเขาเคี้ยวช้าๆพร้อมนํามือปิดปากและพูดขึ้นว่า “อาทิเช่น ขนาดอาณาจักรที่พระอาทิตย์ไม่มีวันตกดินร่ํารวยมาหลายปีแล้ว แต่อาหารพวกเขาก็รสชาติไม่ได้ดีนัก”
พวกเขาทั้งสามหัวเราะออกมา ในโลกจริงนั้นมีเพียงไม่กี่สิ่งที่พวกเขาสามารถล้อเลียนมันกับทุกคนได้โดยไม่มีปัญหา
อาทิเช่น ความสามารถในการทําอาหารของอาณาจักรที่พระอาทิตย์ไม่ตกดิน
สุภาพบุรุษฟูซางบนรถประจําทางและรถไฟและอื่นๆ
เพราะอาหารนั้นมีรสชาติที่ดีทุกคนจึงกินกันอย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้เพียงน้ําซุปก้นหม้อเท่านั้น
“ถ้าหากพวกเรารวมตัวกันพวกเราจะสามารถตอบโต้ได้ดียิ่งขึ้น แต่ยังมีปัญหาอยู่อีกอย่าง” โรแลนด์ชี้ไปที่กําแพงเมืองที่อยู่ในระยะไกลและเนื่องจากมีคบเพลิงอยู่ทําให้กําแพงนั้นจึงดูสูงและตระหง่านอย่างผิดปกติในตอนกลางคืน “ท่าเรือแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในอาณาเขตของพวกเขา ถ้าหาก พวกเขานั้นไม่เลือกที่จะต่อสู้กับเราและเลือกที่จะปิดกั้นสิทธิ์ของเราในการเข้าออกเมือง ถ้าเป็นอ ย่างนี้ท่าเรือแห่งนี้จะมีความสําคัญอะไรได้อีก?”
ฮอร์กพยักหน้า “นั่นเองก็เป็นสิ่งที่กําลังกังวลอยู่เหมือนกันบอกให้อีกไม่กี่วันคนของพวกฉันมาถึงพวกเขาก็อาจจะไม่ปล่อยให้พวกนั้นสามารถเข้าเมืองได้ และนักเดินทางคนไหนที่ใช้บริการท่าเรือของพวกเราก็จะไม่ได้รับสิทธิ์ให้เข้าเมืองและพวกเราก็จะเท่ากับว่าสร้างท่าเรือแห่งนี้มาจากศูนย์เปล่า”
ในขณะที่อีกด้านหนึ่งเจ็ทพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พวกเราแค่สู้ด้วยวิธีของเราไม่ได้หรอ? มันก็แค่นายกของเมืองกับทหารอีกนิดหน่อยยังไงพวกเราก็สามารถคืนชีพได้และสามารถฆ่าพวกเขาได้ความสูญเสียของพวกเขานั้นถือเป็นการสูญเสียจริงๆ”
“แต่ปัญหาของเราคือพวกเราไม่มีสาเหตุให้โจมตี” โรแลนด์พูดออกมา “ระบบภารกิจมันเลื่อนลอยมาก แต่ตามสัญชาติญาณของฉัน ฉันคิดว่าระบบภารกิจนั้นจะขึ้นอยู่กับฝ่ายดีและต่อให้มีผู้เชี่ยวชาญหลายสิบคนจากกิลด์ปีกสีเงินมาถึงและล้อมรอบเมืองไว้ ไม่ใช่ว่านั่นต่างจากพวกหัวขโมยตรงไหนงั้นเหรอ? บางที่ระบบอาจจะออกภารกิจการแบบ “กําจัดเกมเมอร์ผู้ชั่วร้าย” หรืออะไรทํานองนี้ออกมาก็ได้”
เจ็ทขมวดคิ้วหลังฟังจบ
เขาเองก็เป็นผู้เล่นและรู้ดีถึงความน่ากลัวของแรงกระตุ้นที่มาจากภารกิจ ซึ่งจะหมดลงก็ต่อเมื่อภารกิจสําเร็จเท่านั้น
ต่อให้สมาชิกกิลด์ปีกสีเงินแข็งแกร่งขนาดไหน ทว่าพวกเขาจะรับมือผู้เล่นนับร้อยนับพันได้งั้นเหรอ?
มันคงเป็นเรื่องน่าแปลกหากทั้งกิลด์ไม่ถูกไล่ล่าจนเหลือเลเวล 0
ฮอร์กเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา “พวกเราทําได้แค่คอยตั้งรับงั้นเหรอ?”
“ไม่ต้องห่วงน่า พวกเราสามารถวางกับดักไว้ได้!” โรแลนด์ยิ้มออกมา
ดวงตาของฮอร์กเบิกโพลงขึ้น “โอ้ท่านพี่กงหมิง พวกเราจะใช้กลยุทธ์อะไรกันดีละ?”
ในขณะเดียวกันภายในปราสาท จอห์นทั้งสองกําลังนั่งเผชิญหน้ากัน และยังมีเท่าทหารหนุ่มที่ยืนกันอยู่อีกมากมาย
เปลวเพลิงภายในตะเกียงส่องสว่าง สะท้อนไปบนหน้าของทุกๆคน
ท่ามกลางเสียงแตกเป็นครั้งคราว จอห์นคนพ่อกล่าวว่า “ตอนนี้พวกบุตรทองคําได้เตรียมการในขั้นแรกของพวกมันเสร็จสิ้นไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีการขุดร่องลึกกว่าสองสามเมตรไว้รอบท่าน้ําอีกดังนั้นทหารม้าของพวกเราจึงไม่สามารถวิ่งเข้าไปได้ และนอกจากนี้พวกเขายังวางไม้ไว้ในบริเวณร่องลึกทําให้คนสามารถเดินไปมาได้ ทว่าไม่ใช่กับทหารม้าเนื่องจากมันหนักเกินไปแผ่นไม้จะ พังลงทันทีเมื่อเราวิ่งผ่าน”
ทหารหนุ่มสองคนมีสีหน้าแสดงความไม่พอใจ “กลวิธีแบบนี้มีไว้สําหรับพวกขี้ขลาดเท่านั้นพวกบุตรทองคํานั่นไม่มีความกล้าหาญแม้แต่น้อย สงครามควรสู้กันอย่างตรงไปตรงมา พวกมันอ่อนแอขนาดไหนกันถึงกล้าใช้วิธีสกปรกพรรค์นี้ต่อต้านทหารม้าของเรา?”
กลุ่มคนทั้งหลายรู้สึกหดหูขึ้นทันที
พวกเขารู้ดีอยู่ในใจว่าพวกเขาสามารถพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าพรรคพวกได้เท่านั้น หากเขาพูดมันต่อหน้าขุนนางหรือเจ้าเมืองคนอื่น พวกคนอื่นๆคงหัวเราะจนขาดใจตาย
หากกลยุทธ์ของจอห์นมีความยุติธรรมจริงเขาคงเลือกที่จะทํากองทหารม้าหนักและไม่ให้หน้าไม้แก่ทหารม้า
มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการพยายามใช้ประโยชน์จากความคล่องตัวของทหารม้าเบาเพื่อควบคุมการเสียชีวิตและการบาดเจ็บ รูปแบบการต่อสู้แบบนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ขี้ขลาดที่พวกเขาพูดถึง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจอห์นเขาคิดว่าทหารม้าเบาภายใต้การนําของเขานั้นไร้เทียมทาน ทว่าอีกฝ่ายเลือกที่จะขุดร่องลึกขึ้นมาเพื่อจํากัดความได้เปรียบของเขา
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งจอห์นก็กล่าวว่า “ข้าต่อสู้และเป็นผู้นําการรบมานานกว่ายี่สิบปีแล้วและข้าก็เคยพบเจอกลยุทธ์เช่นนี้มาก่อน แต่พวกมันถูกใช้เพื่อป้องกันเหล่านักเวทย์จากการระดมยิงบอลเพลิงที่รุนแรงเท่านั้น โดยปกติการขุดร่องพวกนี้จะมีเพียงแค่ร่องเดียวเท่านั้นและทําให้ทหารม้าของเราสามารถกระโดดไปได้ ทว่าฝั่งของพวกบุตรทองคํากลับขุดมันไว้ถึงสิบวงและระยะห่างระหว่างร่องลึกแต่ละอันนั้นแคบมากเห็นได้ชัดว่าพวกมันนั้นรู้วิธีรับมือทหารม้าของพวกเรา”
“ทว่า ข้าคิดดว่าบางทีพวกมันอาจจะไม่ได้คิดมันเพื่อรับมือกับกองกําลังทหารม้า บางทีพวกมันอาจจะแค่หาวิธีขุดร่องลึกขึ้นมาเพื่อมีการต่อสู้พวกมันสามารถใช้ผืนดินหลบซ่อนได้เหมือนพวกหนูสกปรก”
ทหารหนุ่มหัวเราะออกมาหลังจากเขาพูดจบ แต่ไม่มีใครหัวเราะตามเขา เขาจึงรีบ หุบปากเงียบด้วยความอับอาย
“ อย่างไรก็ตามฉันคิดว่าพวกเขาไม่รู้ว่านี่เป็นวิธีจัดการกับทหารม้า บางทีพวกเขาอาจแค่คิดที่จะขุดสนามเพลาะเพิ่มเติมและในกรณีที่เกิดการสู้รบพวกเขาสามารถมุดลงไปในโลกและหลบหนี ได้เหมือนหนู”
เจ้าหน้าที่หนุ่มหัวเราะหลังจากที่เขาพูดแบบนี้ แต่ไม่มีใครตอบกลับเขาและเขาก็รีบปิดปากด้วยความลําบากใจ
“ความจริงที่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้ไม้กั้น แต่ใช้วิธีการที่รอบคอบกว่านี้แสดงให้เห็นว่าอย่า งน้อยพวกเขาก็ได้เรียนรู้วิธีทําสงครามแล้ว” จอห์นคิดเรื่องนี้และพูดว่า “นี่อาจเป็นอุบายของโรแลนด์ – เขาเป็นนักเวทย์ผู้ฉลาดหลักแหลม ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เขามีความรู้ทางทหารอยู่บ้า
คนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วย
แม้จะอยู่ในฐานะที่เป็นศัตรูกัน แต่พวกเขาก็รับรู้ถึงความใฝ่รู้และความลึกลับของนักเวทย์
แต่ในความเป็นจริง…การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นโดยฮอร์ก ซึ่งเป็นแม่ทัพลําดับที่สองของกิลด์เขามักจะออกคําสั่งสําหรับการต่อสู้บ่อยครั้ง รวมถึงได้เรียนเทคนิคในการออกคําสั่งและขบวนทัพจากข้อมูงทฤษฎีต่างๆ
การขุดสนามเป็นแนวยาวหลายๆแนวเป็นสิ่งพื้นฐานเมื่อปะทะกับทหารม้า
“พวกเจ้ามีวิธีทําให้พวกเขาออกจากท่าเรือหรือไม่?” จอห์นมองไปที่คนอื่นๆอย่างคาดหวัง “ไม่เช่นนั้นพวกเราก็ต้องทําสงครามระยะยาว แม้ว่ามันจะดีต่อพวกเราแต่มันก็ส่งผลต่อชื่อเสียงของพวกเราเป็นอย่างมาก โดยพวกเราจะโดนนินทาเอาได้ว่าไม่สามารถเอาชนะขอทานไม่กี่ร้อยคนและผู้เชี่ยวชาญเพียงสี่คนได้”
ทุกคนส่ายหน้าออกมา
พวกเขาคิดแผนการใดๆไม่ออกเลยในตอนนี้
ผู้เชี่ยวชาญของฝั่งตรงข้ามมีถึงสี่คนโดยเป็นทั้ง นักเวทย์ นักบวช และนักรบอีกสองคน
โดยระดับของพวกเขานั้นสองคนอยู่ในระดับชั้นยอด และอีกสองคนอยู่ในระดับใกล้ชั้นยอดแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นภูมิศาสตร์ของฝ่ายตรงข้ามได้เปรียบกว่ามาก และในสถานการณ์แบบนี้แม้จะมีทหารราบพุ่งเข้าโดจมตีโดยยอมทิ้งชีวิตไป พวกเขาก็ไม่สามารถบุกเข้าไปได้อยู่ดี
กลับกันจะมีทหารตายเป็นจํานวนมาก
ท้ายที่สุดแล้วกองกําลังทหารราบในเดลพอนนั้นไม่แข็งแกร่งนัก
ทุกคนถอนหายใจออกมา
ทันใดนั้นก็มีหน่วยสอดแนมสองคนเดินเข้ามาและพูดว่า “ท่านครับมีการเคลื่อนไหวของเป้าหมายจากการเฝ้ามองของพวกเราพบว่าเหมือนพวกเขาจะทะเลาะกันและผู้ใช้เวทย์ทั้งสองออกจากท่าเรือไปตามทางของกระแสน้ําด้วยเรือลําเล็ก”
ดวงตาของจอห์นเบิกขึ้นกว้างทันที “จริงงั้นเหรอ?”
“การทะเลาะกันนี้มีประโยชน์มาก” จอห์นลุกขึ้น “ส่งข้อความให้กองทหารเรือของพวกเราลงไปยังต้นน้ําและจมเรือของพวกเขาซะ”
จอห์นคนลูกมีท่าทีกังวลอย่างมาก “ท่านพ่อ ข้าคิดว่ามันเป็นกับดัก”
จอห์นโบกมือทันที “มันไม่สําคัญต่อให้มันเป็นกับดัก ตราบใดที่พวกมันแยกออกจากกันต่อให้เป็นกับดักหรือไม่มันก็เป็นการเดินแผนที่ผิดพลาด การแยกตัวออกจากกันหมายถึงการแยกกําลังรบออกจากกัน ให้ทหารราบและนักธนูรีบออกจากเมืองและล้อมพวกเขาไว้ทันที”
จอห์นคนลูกนั้นรู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติทว่าก็ไม่มีเหตุผลที่ดีพอที่จะโต้แย้งพ่อของเขา ดังนั้น เขาจึงทําได้แค่ปล่อยผ่านมันไป
พวกทหารทั้งหลายต่างเร่งรีบออกไปข้างนอกและทําตามคําสั่งของจอห์นคนพ่อ
จากนั้นจอห์นก็หันไปหาลูกชายของเขาพูดว่า “ลูกช่วยไปหยิบเกราะให้พ่อที!”
เมืองที่พระอาทิตย์ไม่ตกดิน = อังกฤษ, สเปน (จริงอาหารสเปนอร่อยมากเลยนะ)
ฟูซาน = คนญี่ปุ่น