หมอหญิงพลิกธรรมเนียม - บทที่ 8
พ้นจากป่าไผ่ พอเงยหน้ามองไปหลวนอวิ๋นชูกับฝูหรงต่างตะลึงงัน
มีสวนดอกไม้อะไรที่ไหน เห็นชัดว่ามาสุดทางแล้ว กำแพงต่ำเตี้ยสีแดงล้อมรอบขวางทางไป สันกำแพงคลุมด้วยกระเบื้องสีเขียวอมดำ ด้านล่างแกะลายเมฆลายมังกรน้ำ สร้างไว้อย่างประณีตงดงามยิ่ง ถ้ามองจากที่ไกลคล้ายมังกรสีเขียวอมดำตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ ทำหน้าที่เฝ้าระมัดระวังปกป้องนายที่อยู่ในเรือนแห่งนี้ นอกกำแพงมีต้นไม้สูงใหญ่หลายต้น แผ่กิ่งก้านสาขาออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายเกียจคร้าน บางครั้งก็ยื่นข้ามกำแพงเข้าไปแอบดูดวงหน้าคนงามที่อยู่ในกำแพง
อีกฝั่งของกำแพงคือที่ไหน คงไม่ใช่ถนนใหญ่เมืองหลวนเฉิงกระมัง
ถ้าข้ามกำแพงที่กั้นขวางอยู่นี้ไปได้ ก็อาจจะหนีออกจากจวนกั๋วกงไปได้ใช่หรือไม่ ริ้วแดงจางๆ ผุดขึ้นสองข้างแก้มของหลวนอวิ๋นชู
เห็นหลวนอวิ๋นชูมีท่าทีงงงัน ฝูหรงจึงกล่าวขึ้น “ที่นี่บ่าวก็เพิ่งมาเป็นครั้งแรก”
“เจ้าไม่ใช่บอกว่าข้ามาจวนกั๋วกงอยู่เสมอหรือ” หลวนอวิ๋นชูหมุนตัวไปมองนาง “เหตุใดจึงไม่เคยมา”
“เป็นเพราะเรื่องหมั้นหมายกับคุณชายสี่” ฝูหรงมองหลวนอวิ๋นชูแปลกๆ “ท่านพยายามหลบเลี่ยงอยู่ตลอดเวลา ก่อนแต่งงานไม่เคยย่างเหยียบมาที่เรือนลู่ย่วนเลยเจ้าค่ะ”
หลวนอวิ๋นชูได้แต่ยิ้ม ช่างโง่งมยิ่งนัก!
คนอื่นนินทาไม่กี่คำจะเป็นไรไป ความสุขชั่วชีวิตของตนจึงจะเป็นของจริง
“เกิดอะไรขึ้น” สี่จวี๋ที่เร่งตามมาทีหลังก็งงงัน หันไปถามซิ่วเอ๋อร์ “เจ้าไม่ใช่บอกด้านหลังมีสวนดอกไม้หรอกหรือ”
ซิ่วเอ๋อร์กำลังหอบหายใจ เช็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่หน้าผากพลางบอก
“อยู่ในกำแพง ข้างหน้ามีประตูวงเดือนประตูหนึ่ง สะใภ้สี่ตามบ่าวมาเจ้าค่ะ”
มองตามนิ้วมือซิ่วเอ๋อร์ไป เป็นเช่นที่นางพูด ด้านหน้าไม่ไกลนักมีประตูวงเดือนทรงโค้งเล็กๆ อยู่ประตูหนึ่ง ซ่อนตัวอยู่ในเงารุบรู่ของต้นไผ่ ถ้าไม่มองอย่างละเอียดก็จะหาไม่เจอ
“อย่างไรเล่า สวนดอกไม้นี้ไม่ใช่ของเรือนลู่ย่วนหรือ” สี่หลันมองซิ่วเอ๋อร์ด้วยความฉงน “ไฉนถึงกับใช้กำแพงล้อมรอบกั้นไว้”
“เป็นของเรือนลู่ย่วนน่ะสิ ข้าก็ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อก่อนพี่สี่หลันไม่ได้อยู่ที่เรือนนี้ ต่อให้เป็นคนในเรือนนี้ เกรงว่าก็มีไม่กี่คนที่รู้ว่าด้านหลังป่าไผ่มีสวนดอกไม้อยู่ ต่างเข้าใจว่าเลยจากป่าไผ่ไปแล้วก็เป็นที่อื่น”
ว่าแล้วซิ่วเอ๋อร์ก็พาทุกคนมาถึงหน้าประตูวงเดือน ยกมือขึ้นเคาะประตูสองสามที เปิดปากเรียก
“ลุงใบ้เปิดประตู ข้าคือซิ่วเอ๋อร์”
หลวนอวิ๋นชูในใจรู้สึกแปลกใจ “ข้างในยังมีคนอยู่?”
“เรียนสะใภ้สี่ ในสวนดอกไม้มีคนสวนคอยดูแลต้นไม้ดอกไม้อยู่ประจำในนั้นคนหนึ่ง เพราะเป็นคนใบ้ ทุกคนจึงเรียกเขาว่าลุงใบ้ บ่าวเองเพราะต้องมาส่งอาหารจึงได้รู้จักที่นี่”
ขณะกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นก็ได้ยินเสียง ‘แอ๊ด’ ประตูเล็กถูกเปิดออกจากด้านใน มีบุรุษอายุราวสี่สิบ ผิวดำเกรียม รูปร่างผอมสูง บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเลี่ยมฝังไว้ด้วยดวงตารูปสามเหลี่ยมทอประกายเฉียบคมทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกไม่ชื่นชอบคู่หนึ่ง พอเห็นซิ่วเอ๋อร์ก็แสยะปากยิ้ม เผยฟันเหลืองเต็มปากออกมา ดูน่ากลัวยิ่ง หลวนอวิ๋นชูฉุกคิดขึ้นมาได้ นางเคยดูบัญชีรายชื่อคนในเรือนลู่ย่วน ดูเหมือนจะไม่มีคนผู้นี้
ไม่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อ เช่นนั้นเบี้ยรายเดือนกับค่าใช้จ่ายของลุงใบ้ผู้นี้ใครเป็นคนรับผิดชอบ สวนดอกไม้มีไว้ให้คนมาเที่ยวชม ต่งอ้ายทำสวนดอกไม้ไว้ที่เรือนด้านหลัง แต่กลับไม่ให้คนเข้า เช่นนั้นสร้างขึ้นมาทำอะไร ในสวนดอกไม้แห่งนี้ซุกซ่อนความลับใดไว้
พอเห็นหลวนอวิ๋นชูกับคนอื่นๆ รอยยิ้มของลุงใบ้ก็แข็งค้างอยู่บนใบหน้า จากนั้นก็กางมือหยาบใหญ่ทั้งสองข้างขึ้น ทำมือทำไม้ใส่ซิ่วเอ๋อร์ด้วยท่าทางโกรธโมโห ปากก็ส่งเสียงอือๆ อาๆ
ที่แท้เขาหาใช่คนใบ้แต่กำเนิด หากแต่ถูกตัดลิ้นออกไป หลวนอวิ๋นชูรับรู้ได้ว่ามือที่ประคองนางอยู่กำลังสั่นระริกจึงหันไปมอง ฝูหรงตื่นตระหนกจนใบหน้าซีดขาวไปหมดแล้ว ชำเลืองตาไปทางด้านหลัง สี่จวี๋สี่หลันก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด ไหนเลยยังจะส่งเสียงออกมาได้
แม้จะเป็นบ่าว แต่อยู่ในจวนใหญ่ เปรียบกับคุณหนูลูกชาวบ้านทั่วไปแล้วยังเปราะบางกว่าหลายส่วน ไหนเลยจะเคยพบเจอคนที่ถูกตัดลิ้นทั้งยังมีชีวิตเช่นนี้
หากไม่ใช่หลวนอวิ๋นชูยังยืนนิ่งดุจภูเขาไท่ซานอยู่ที่นี่ เกรงว่าพวกนางคงหนีหายไปนานแล้ว
“ลุงใบ้ ท่านอย่าเพิ่งโกรธ” ซิ่วเอ๋อร์จับแขนเขาอย่างสนิทสนม ชี้มาที่หลวนอวิ๋นชู “ท่านนี้คือสะใภ้สี่ที่เพิ่งเข้าจวนมา จะเข้าไปดูข้างใน หาไม่ ข้าคงไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งห้ามของคุณชายสี่เด็ดขาด”
ลุงใบ้มองหลวนอวิ๋นชู ก้าวเข้ามาประสานมือทำความเคารพ จากนั้นก็ทำมือทำไม้
หลวนอวิ๋นชูเห็นแล้วเต็มไปด้วยความมึนงง ซิ่วเอ๋อร์ช่วยอธิบาย
“ลุงใบ้บอก คุณชายสี่สั่งไว้ ไม่มีคำอนุญาตจากเขา ไม่ว่าใครก็ไม่อนุญาตให้เข้าไปในสวนแห่งนี้ เชิญท่านกลับไปเถิด”
จะให้ต่งอ้ายอนุญาต เกรงว่าคงต้องไปขอคำชี้แนะจากท่านพญายมแล้ว
ลุงใบ้ผู้นี้โง่งมหรือว่าตัวอยู่ในแดนสุขาวดี ถึงไม่รู้ว่าโลกภายนอกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
“สะใภ้สี่…” ฝูหรงดึงๆ หลวนอวิ๋นชู “พวกเรากลับกันเถิดเจ้าค่ะ”
ฝูหรงรู้สึกว่าลุงใบ้ผู้นี้น่ากลัวเกินไป ยังคงหลบไปไกลๆ จะดีกว่า
หลวนอวิ๋นชูตบมือฝูหรงเบาๆ แสดงท่าทีให้นางสงบใจ ในเมื่อตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ในเรือนแห่งนี้ก็ไม่อาจมีสิ่งที่นางควบคุมไม่ได้อยู่ หาไม่…นางจะสบายใจได้อย่างไร
“ลุงใบ้ ท่านก็รู้ คุณชายสี่ขี่กระเรียนมุ่งสู่ประจิม* แล้ว…ข้าเป็นนายเพียงคนเดียวของเรือนแห่งนี้ เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ที่นี่ก็ควรจัดการเรื่องการเพาะปลูกต้นไม้ดอกไม้เสียที”
คล้ายไม่ใส่ใจในฐานะของนาง ลุงใบ้เอาแต่สั่นศีรษะ จากนั้นก็ทำมือทำไม้
“ลุงใบ้บอก เรื่องในสวนนายท่านจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่รบกวนให้ท่านต้องเหน็ดเหนื่อย เชิญท่านกลับไปเถิด”
นายท่าน?!
มิน่าลุงใบ้ที่เป็นคนสวนคนหนึ่งจึงถึงกับกล้ามองข้ามนางเช่นนี้ เพราะมีต่งกั๋วกงคอยหนุนอยู่เบื้องหลังนี่เอง
เพียงแต่ในเมื่อสวนแห่งนี้เป็นของต่งกั๋วกง เพราะเหตุใดจึงไม่สร้างไว้ที่เรือนของเขา
สวนดอกไม้ลึกลับ ลุงใบ้ที่ถูกตัดลิ้น ต่งอ้าย ต่งกั๋วกง…ทั้งหมดนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน หลวนอวิ๋นชูมองลุงใบ้ยืนทำมือทำไม้อยู่ที่นั่นอย่างใจลอย ไม่อาจเข้าใจความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนนี้ได้ แต่จิตใจที่ดูแคลนกลับหายไปไม่เหลือร่องรอย
“นอกจากประตูนี้แล้ว สวนแห่งนี้ยังมีประตูด้านอื่นอีกหรือไม่”
ถ้าสวนดอกไม้นี้ยังมีประตูอื่นอีก เช่นนั้นสวนดอกไม้นี้ก็อาจไม่ใช่ของเรือนลู่ย่วน เพียงเชื่อมติดกับเรือนลู่ย่วนเท่านั้น เรื่องนี้นางต้องซักถามให้กระจ่าง
ซิ่วเอ๋อร์มองลุงใบ้แวบหนึ่งแล้วเอ่ยตอบ
“ประตูวงเดือนนี้เป็นทางเข้าออกทางเดียวของสวนดอกไม้ ไม่มีประตูอื่นอีก”
หลวนอวิ๋นชูสีหน้าขรึมลงทันที ถามเสียงเยียบเย็น
“ลุงใบ้จะบอกว่าสวนแห่งนี้นายท่านเป็นคนควบคุมดูแลเอง ข้าไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย?”
คิดไม่ถึงว่าหลวนอวิ๋นชูจะถามออกมาเช่นนี้ ในดวงตาลุงใบ้มีประกายวาววับพาดผ่าน เขามองประเมินหญิงสาวตัวเล็กในชุดสีขาวที่ดูอ่อนแอบอบบางผู้นี้อีกครั้ง
หลวนอวิ๋นชูสีหน้าไม่เปลี่ยน กวาดสายตามองผ่านทุกคนไปช้าๆ สุดท้ายก็จับนิ่งอยู่ที่ร่างของลุงใบ้ พูดขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“ข้าเพิ่งแต่งเข้ามา เรื่องบางอย่างก็ยังไม่เข้าใจ ลุงใบ้ช่วยอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อยเถิด ในจวนมีนายหญิงใหญ่อยู่ เหตุใดคนที่เป็นพ่อสามี…จึงเข้ามายุ่งเรื่องในเรือนด้านหลังของสะใภ้โดยตรง”
นี่เป็นยุคสมัยโบราณ บุรุษจัดการเรื่องภายนอกสตรีจัดการเรื่องภายใน เรื่องในเรือนด้านหลังเจ้าบ้านฝ่ายหญิงต้องเป็นคนดูแล
ความหมายของหลวนอวิ๋นชูชัดเจนยิ่ง นั่นคืออยากรู้ว่าเพราะเหตุใดต่งกั๋วกงจึงเป็นคนควบคุมดูแลสวนแห่งนี้ด้วยตนเอง นี่ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างสงสัย
เรื่องก็เป็นเช่นนี้ แต่หลวนอวิ๋นชูออกจะพูดแรงไปสักหน่อย เน้นย้ำถึงฐานะของนางกับต่งกั๋วกงในจวนแห่งนี้ เมื่อพิจารณาใคร่ครวญอย่างละเอียด มีแม่สามีอยู่ มือของพ่อสามีก็ดูจะยื่นออกมายาวเกินไปแล้ว ถึงกับมายุ่งเรื่องของสะใภ้ ถ้าเป็นยุคสมัยปัจจุบันก็ไม่มีอะไร แต่ในยุคสมัยโบราณที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีเข้มงวดย่อมแฝงความหมายที่แตกต่างกันไป ในคำพูดที่นุ่มนวลเจือความหมายของการบีบบังคับให้ตอบคำถาม
ดูจากท่าทางของลุงใบ้ ไม่ต้องถามก็รู้ สวนดอกไม้แห่งนี้ต่งกั๋วกงต้องเป็นคนควบคุมดูแลด้วยตนเองอย่างแน่นอน เห็นหลวนอวิ๋นชูน้ำเสียงไม่เป็นมิตร สี่จวี๋สี่หลันก็สีหน้าแปรเปลี่ยน มองคนทั้งสองอย่างเคร่งเครียด กลัวยิ่งว่าทั้งสองขัดแย้งกันแล้วเรื่องจะลุกลามไปถึงนายท่าน
หลวนอวิ๋นชูไม่เป็นไร แต่พวกนางจะต้องถูกถลกหนังเป็นแน่
รู้ตัวว่าตนเองเผลอพลั้งไป ส่วนลึกในดวงตาลุงใบ้มีประกายตื่นตระหนกผุดขึ้นมาจางๆ ทว่าวูบเดียวก็เลือนหาย จากนั้นก็ทำมือทำไม้อีกพักใหญ่ สุดท้ายจึงมองหลวนอวิ๋นชูด้วยสีหน้านอบน้อมจริงใจ
เห็นลุงใบ้มีท่าทีเช่นนี้ ทุกคนต่างมองไปที่ซิ่วเอ๋อร์ด้วยความร้อนใจ ทว่าเพียงได้ยินซิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น
“เรียนสะใภ้สี่ ลุงใบ้บอกท่านเข้าใจผิดแล้ว นายท่านเพียงเพราะเห็นคุณชายสี่จากไปแล้ว วันนั้นบังเอิญนายท่านมาที่นี่ จึงถามอย่างไม่ได้ตั้งใจ ตอนคุณชายสี่ยังมีชีวิตอยู่ได้สั่งห้ามทุกคนไม่ให้เข้ามาในสวนแห่งนี้ แต่ไรมาสวนแห่งนี้ไม่เคยมีคนนอกเข้ามา ด้วยเหตุนี้เขาจึงพูดออกมาเช่นนั้น ขอสะใภ้สี่โปรดอย่าได้ถือโทษ”
คำตอบนี้ตอบได้ฝืดฝืนยิ่ง ฟังออกว่าลุงใบ้เหมือนพยายามจะปิดบังอะไรบางอย่าง แต่หลวนอวิ๋นชูก็รู้ว่าเขาไม่อยากบอก บีบคั้นถามต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ นางจึงพูดอย่างแสร้งทำเป็นไม่รู้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ลุงใบ้ก็นำทางเถอะ ข้าจะเข้าไปดูสักหน่อย”
เห็นชัดว่าคาดไม่ถึงที่หลวนอวิ๋นชูยังยืนกรานจะเข้าไป ลุงใบ้ตะลึงงันอยู่เป็นนาน สุดท้ายก็พยักหน้าด้วยความจำใจแล้วทำมือทำไม้อีกพักหนึ่ง
“ลุงใบ้บอก หากสะใภ้สี่จะเข้าไป ก็ขอให้ท่านเข้าไปเพียงคนเดียว ทั้งนี้จะได้ไม่เหยียบย่ำดอกไม้ต้นหญ้าเสียหาย เข้าไปแล้วโปรดจำไว้ว่าไม่อาจเที่ยวแตะต้องดอกไม้ใบหญ้าที่อยู่ข้างในส่งเดช โดยเฉพาะต้องระวังอย่าถูกขีดข่วนเป็นแผล”
ฟังอยู่พักใหญ่ ก็แค่กลัวคนอื่นจะไม่รู้จักทะนุถนอม เหยียบย่ำสวนเสียหาย คนที่ทุ่มเทจิตใจและกำลังดูแลต้นไม้ดอกไม้ รักต้นไม้อย่างจริงใจล้วนมีจิตใจเช่นนี้ ด้วยกลัวว่าหยาดเหงื่อแรงกายของตนจะถูกคนย่ำยี คำพูดของลุงใบ้นั้น หลวนอวิ๋นชูเข้าใจดีและไม่ได้โต้แย้ง
“ข้ารู้แล้ว” จากนั้นก็หันไปที่สี่จวี๋สี่หลัน “เจ้าสองคนรออยู่ข้างนอก ข้าเข้าไปสักประเดี๋ยวก็ออกมา”
เห็นฝูหรงกับซิ่วเอ๋อร์ตามมาด้วย ลุงใบ้ยังคงขวางอยู่ตรงนั้น ลังเลอยู่ชั่วขณะ ชายตามองสีหน้าเยียบเย็นของหลวนอวิ๋นชูที่ไม่ยอมให้มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น เขาจึงไม่ได้คัดค้าน หมุนตัวเดินนำเข้าไป
ทอดสายตามองไป หลวนอวิ๋นชูอดตะลึงงันไปไม่ได้ สวนดอกไม้ของคนทั่วไปล้วนตกแต่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จัดตามความสูงต่ำของต้นไม้และเป็นรูปทรงตามที่กำหนด ปลูกดอกไม้สดพันธุ์ต่างๆ
ทว่าที่นี่กลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งเนินเขาเล็กๆ มองไม่ออกว่ามีร่องรอยของการตัดแต่งดูแลแม้แต่น้อย เพียงสร้างกำแพงสีแดงซึ่งสันกำแพงคลุมด้วยกระเบื้องสีเขียวอมดำโอบล้อมไปตามแนวเขา ทั้งสี่ด้านปลูกต้นไม้นานาชนิดไว้เต็มไปหมด บ้างก็มีพุ่มไม้เตี้ยปลูกแทรกอยู่ บ้างก็มีดอกไม้ดอกเล็กแซมประดับเป็นระยะ พื้นที่บริเวณตรงกลางค่อนข้างเรียบเสมอกัน มีหญ้าต่างๆ ขึ้นเต็ม แม้จะเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่ทางใต้ก็อบอุ่น ในสวนจึงแลเขียวขจี
ในอากาศมีกลิ่นหอมเย็นจางๆ ขุมหนึ่งอบอวลอยู่ ภายในสวนมีทางเล็กคดเคี้ยววกวนตัดสลับกันไปมาหลายเส้น แบ่งเนินเขาออกเป็นหลายส่วน แต่กลับไม่มีรูปทรงตามที่กำหนด คล้ายหุบเขาที่ลึกและเงียบสงบเป็นธรรมชาติ ไม่มีร่องรอยการตกแต่งสลักเสลาด้วยฝีมือมนุษย์แม้แต่น้อย
“จริงด้วย! มีดอกไม้แปลกหญ้าประหลาดมากมายเพียงนี้” ฝูหรงยืนอยู่หน้าพรรณไม้สูงราวครึ่งฉื่อ* ผืนหนึ่ง “สะใภ้สี่ ท่านดูนี่สิเจ้าคะ มันคือดอกอะไร บ่าวไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
ลุงใบ้ก็หยุดฝีเท้า มองพืชเหล่านั้นแวบหนึ่ง ไม่มีท่าทีจะอธิบาย เพียงยืนอยู่ด้านข้างรอชมเรื่องสนุก เผยสีหน้าดูหมิ่นดูแคลนออกมา
“ข้าก็ไม่รู้จัก” ซิ่วเอ๋อร์ขยับขึ้นมาข้างหน้า “ไม่เพียงต้นนี้ ดอกไม้ ต้นหญ้ามากมายในนี้ ข้าก็ล้วนไม่รู้จักชื่อ” หันไปยิ้มซุกซนให้ลุงใบ้ “ข้าเคยถามลุงใบ้ ลุงใบ้กลับไม่เคยยอมบอก”
“ต้นนี้เรียกว่าจู๋เชียนเฉ่า ไม่นับว่าเป็นดอกไม้ เดิมเป็นพืชที่เกิดและเติบโตอยู่ทางภาคเหนือ พวกเจ้าไม่เคยไปภาคเหนือ ย่อมไม่รู้จัก” หลวนอวิ๋นชูลูบไล้ใบที่มีรูปทรงเกือบเป็นทรงกลมเบาๆ บอกอย่างใจเย็น “พวกเจ้าดู พืชชนิดนี้คล้ายฐานรองเทียน รอถึงเดือนสี่เดือนห้าออกดอก ก็จะพบว่าดอกของมันคล้ายมีเทียนสีม่วงเล่มหนึ่งปักอยู่บนฐานรอง ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อว่าจู๋เชียนเฉ่า บางแห่งก็เรียกว่าฝอจั้วเฉ่า**”
ซิ่วเอ๋อร์หันไปมองลุงใบ้ “ใช่หรือไม่ ลุงใบ้”
ลุงใบ้ผงกศีรษะด้วยท่าทางประหลาดใจ หลวนอวิ๋นชูกล่าวต่อ
“พวกเจ้าอย่าดูเบาหญ้าชนิดนี้ ประโยชน์ของมันมีมากทีเดียว…จู๋เชียนเฉ่ามีรสขมฤทธิ์อุ่น*** ไม่เพียงสามารถบำรุงกล้ามเนื้อเส้นเอ็น ช่วยให้เลือดลมเดินสะดวก แก้ร้อนในขับความชื้น ขจัดพิษลดอาการบวม ยังรักษาอาการเจ็บปวดจากบาดแผลฟกช้ำ และลดอาการเจ็บปวดจากการต่อกระดูกได้อีกด้วย เป็นยารักษาที่รู้จักกันดีทางภาคเหนือ พืชจากทางเหนือสามารถอยู่รอดได้ในภาคใต้ ทั้งยังเจริญเติบโตได้ดีเพียงนี้ ลุงใบ้ฝีมือดียิ่งนัก!”
ไม่ลืมกล่าวชมสักหลายคำ หลวนอวิ๋นชูมองตาลุงใบ้พลางยิ้มน้อยๆ
พูดมามากมายเพียงนี้ไม่ใช่เพื่อต้องการโอ้อวด จุดประสงค์ของหลวนอวิ๋นชูอยู่ที่โยนหินถามทางต่างหาก
พอเข้าประตูมานางก็พบว่าที่บอกที่นี่เป็นสวนดอกไม้ เกรงว่าเพียงเพื่อปิดหูปิดตาผู้คน ถ้าจะพูดตามตรงสถานที่แห่งนี้ควรเรียกว่าสวนสมุนไพรจะเหมาะสมกว่า พืชสมุนไพรที่มีอยู่เต็มสวนไม่อาจปิดบังนางที่จบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ผู้มาจากโลกในยุคปัจจุบันได้
เพียงแต่นางไม่เข้าใจ ปลูกสวนสมุนไพรเป็นเรื่องปกติธรรมดายิ่ง เพราะเหตุใดต่งกั๋วกงกับต่งอ้ายต้องสิ้นเปลืองสติปัญญามาปิดบังด้วย
เพียงเพราะการแพทย์ในแคว้นหลวนเป็นอาชีพชั้นต่ำทั้งเก้า กลัวคนจะหัวเราะเยาะหรือ
เรื่องต้องไม่เรียบง่ายเช่นนี้แน่!
ด้วยเหตุนี้เอง หลวนอวิ๋นชูจึงได้ลองหยั่งเชิงดูว่าลุงใบ้รู้หรือไม่ว่าต้นไม้ที่เขาดูแลอยู่ล้วนเป็นพืชสมุนไพรล้ำค่าและมีชื่อเสียงเลื่องลือ เห็นในดวงตาของลุงใบ้มีประกายชื่นชมพาดผ่าน ไม่มีสีหน้าดูถูกอีก รอยยิ้มของหลวนอวิ๋นชูก็ไม่จางลง แต่ในใจเย็นเยือก บุรุษอัปลักษณ์ผู้นี้ถึงกับเป็นผู้เชี่ยวชาญเต็มตัวผู้หนึ่ง!
เพียงแต่…เพราะเหตุใดเขาจึงถูกตัดลิ้นเล่า
นึกถึงเรื่องที่นายหญิงใหญ่มอบยาที่กินแล้วเป็นใบ้ให้กับตน หลวนอวิ๋นชูมีเหงื่อเย็นเม็ดเล็กๆ ซึมออกมาจากหน้าผากทันที หรือว่าลุงใบ้ผู้นี้ไปล่วงรู้ความลับสำคัญอะไรเข้าจึงถูกคนปิดปาก
“สะใภ้สี่ช่างมีความรู้กว้างขวาง ท่านเองก็ไม่เคยไปภาคเหนือ เหตุใดจึงรู้เรื่องเหล่านี้ได้”
ซิ่วเอ๋อร์ที่พิจารณาคำพูดและสังเกตสีหน้าคนเก่งเห็นลุงใบ้มีสีหน้าชื่นชม ก็รู้ว่าหลวนอวิ๋นชูพูดถูกต้องแล้ว จึงเอ่ยถามอย่างชาญฉลาด ขัดจังหวะการครุ่นคิดของหลวนอวิ๋นชู
นางตื่นจากภวังค์หันมามองซิ่วเอ๋อร์แวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่อินังขังขอบ
“ซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้เกิดในราชวงศ์ก่อน เหตุใดจึงรู้เรื่องราวในสมัยราชวงศ์ก่อนเล่า”
“เรื่องนี้…ย่อมอ่านจากบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์เจ้าค่ะ!”
เรื่องของราชวงศ์ก่อนมีเขียนไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ ยังต้องถามด้วยหรือ
ถ้าเกิดในสมัยราชวงศ์ก่อนจริง น่ากลัวคงไม่ได้อยู่ในโลกนี้ไปนานแล้ว
ซิ่วเอ๋อร์ถูกย้อนจนใบหน้าแดงฉาน แต่หลวนอวิ๋นชูกลับยังพูดไม่จบ นางหยอกล้อต่อ
“เจ้าก็ยังรู้ว่าในโลกนี้มีของสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า ‘หนังสือ’ ด้วยหรือ”
สะใภ้สี่ผู้นี้ดูท่าทางนุ่มนิ่มอ่อนแอ พูดจาขึ้นมากลับคมกริบทีเดียว!
ซิ่วเอ๋อร์หน้าตาแดง ถอยไปอยู่ด้านข้างอย่างเคอะเขิน แอบสาบานในใจ ต่อไปจะยามพูดจากับเจ้านายท่านนี้ จะต้องระมัดระวังตัวเต็มที่
ฝูหรงเข้ามาช่วยแก้หน้าให้อย่างเหมาะแก่เวลา เจือการโอ้อวดอยู่หลายส่วน
“ซิ่วเอ๋อร์ไม่รู้อะไร เวลาสะใภ้สี่อยู่ในห้องได้อ่านหนังสือของแคว้นหลวนจนเกือบจะหมดแล้ว ทั้งยังอ่านผ่านตาก็ไม่ลืม หยิบมาใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว”
ยกย่องสรรเสริญไม่หยุดปาก หลวนอวิ๋นชูฟังจนสองหูร้อน สองแก้มมีริ้วแดงผุดขึ้น
ซิ่วเอ๋อร์กลับคืนสู่ปกติแล้ว ทางหนึ่งฟังทางหนึ่งก็พูดอย่างเอาใจ
“บ่าวช่างหูตาคับแคบ ยังเข้าใจว่าสะใภ้สี่เพียงสนใจเขียนกลอนแต่งบทกวีเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าสะใภ้สี่ไม่เพียงเปี่ยมล้นสติปัญญา หูตายังกว้างไกลเพียงนี้”
“เรื่องนี้แน่นอน สะใภ้สี่…”
“พอแล้วๆ สะใภ้สี่ของพวกเจ้าอิ่มทิพย์ไม่กินอาหารบนโลกมนุษย์แล้ว!”
เห็นคนทั้งสองคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ คุยโวยกย่องไม่จบไม่สิ้น หลวนอวิ๋นชูจึงตัดบทพวกนาง ฝูหรงหันไปแลบลิ้นให้ซิ่วเอ๋อร์
มองไปแต่ไกลเห็นลุงใบ้หยุดอยู่หน้าไม้พุ่มหนึ่งที่สูงราวหนึ่งช่วงแขน ทั้งสามจึงพากันเดินเข้าไปใกล้
“หืม? ดอกไม้นี้หน้าตาแปลกประหลาดยิ่ง ไม่รู้ชื่ออะไร ใช้รักษาโรคได้เช่นกันหรือ”
ฝูหรงพูดพลางหันไปทางหลวนอวิ๋นชู
หลวนอวิ๋นชูยกมุมปาก ลุงใบ้จงใจหยุดอยู่ตรงนี้ คงคิดจะลองภูมินาง
ชาติก่อนเรียนแพทย์แผนจีน ย่อมชื่นชอบพืชสมุนไพรมาก กลิ่นหอมของสมุนไพรที่อบอวลไปทั้งสวนทำให้หลวนอวิ๋นชูดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ถ้าสวนสมุนไพรแห่งนี้สามารถส่งเสริมนางให้นำสิ่งที่ศึกษาเรียนรู้เมื่อชาติก่อนมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ นางย่อมยินดีเป็นที่สุด
คิดจะเป็นเจ้านายที่แท้จริงของสวนสมุนไพรแห่งนี้ก่อนอื่นนางต้องพิชิตลุงใบ้ให้ได้ก่อน ไม่ว่าเขาจะเป็นคนของใคร นางจะต้องเอาตัวเขามาใช้สอยให้ได้ อย่างน้อยต้องทำได้ถึงขั้นให้นางสามารถเข้าออกสวนแห่งนี้ เก็บพืชสมุนไพรของที่นี่ได้ตลอดเวลาจึงจะได้ นางก้าวช้าๆ ไปข้างหน้า สังเกตต้นไม้อย่างละเอียดแล้วเอ่ยขึ้น
“พืชนี้มีชื่อว่าดอกอูลาสีน้ำเงิน* เป็นต้นไม้ของทางเหนือเช่นกัน ออกดอกในช่วงเดือนหกเดือนเจ็ด ดอกสีน้ำเงินอมม่วง มองดูแล้วคล้ายหมวกเหล็กของนักรบ ดังนั้นจึงเรียกดอกอูลาสีน้ำเงิน รากของมันรักษาโรคได้ แยกออกเป็นรากแก้วกับรากแขนง…รากแก้วเรียกว่าอูโถว รักษาโรคไขข้ออักเสบได้ ส่วนรากแขนงก็คือฟู่จื่อที่พวกเราเรียกกันอยู่บ่อยๆ มีสรรพคุณเสริมพลังหยาง ขับไล่ความเย็น แก้โรคปวดไขข้อ”
พูดแล้วหลวนอวิ๋นชูก็หยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเสริมขึ้น
“อูโถวนี้มีพิษร้ายแรง เวลาใช้ต้องระมัดระวัง ไม่อาจเอามาใช้ทั้งดิบๆ”
* ขี่กระเรียนมุ่งสู่ประจิม เป็นสำนวน หมายถึงตาย โดยชาวจีนมีความเชื่อว่าเมื่อคนตายไปจะได้เป็นเทพเซียนอาศัยในแดนสุขาวดีซึ่งอยู่บนภูเขาทางตะวันตก และนกกระเรียนก็เป็นพาหนะของเทพเซียน จึงมีสำนวนที่กล่าวถึงการตายอย่างอ้อมตามความเชื่อนี้หลายสำนวน เช่น ขี่นกกระเรียนบรรลุเซียน ขี่นกกระเรียนกลับสู่ประจิม
* ฉื่อ (เชียะ) เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน สมัยโบราณเทียบระยะประมาณ 10 นิ้วหรือหนึ่งส่วนสามเมตร ปัจจุบันยังใช้คำนี้ในความหมายว่า ‘ฟุต’
** จู๋เชียนเฉ่าหมายถึงเชิงเทียน ฝอจั้วเฉ่าหมายถึงอาสนะพระ
*** ยาสมุนไพรจีนจะแบ่งคุณสมบัติของยาออกเป็นห้าอย่าง ได้แก่ เสมอกัน (ไม่ร้อนไม่เย็น) อุ่น (ไม่รุนแรงเท่าร้อน) ร้อน เย็น (ไม่รุนแรงเท่าหนาว) และหนาว ใช้รักษาตามความเหมาะสมของสภาพภายในร่างกายผู้ป่วย
* ดอกอูลาสีน้ำเงิน หรือต้นโหราเดือยไก่ (Aconitum carmichaelii Debeaux) เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นมีความสูงประมาณ 60-120 เซนติเมตร มีหัวอยู่ใต้ดิน